……
……
สำนักฝึกหลวงมีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีความเป็นมาเนิ่นนานยิ่งกว่าการก่อสร้างราชวงศ์ต้าโจว บังเกิดต้นไม้ใหญ่นับไม่ถ้วนที่ผลิดอกออกผลออก แม้กระทั่งต้นไม้โบราณบางชนิดยังมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี
ฉากนองเลือดนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน มีต้นไม้โบราณมากมายถูกทำลาย แต่ต้นไม้ส่วนใหญ่ยังมีชีวิตรอดต่อมาได้โดยเฉพาะป่าใกล้วังหลวงผืนนั้นที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก เงียบสงบอย่างถึงที่สุด แรกเข้ามาในสำนักฝึกหลวงเฉินฉางเซิงก็สังเกตเห็นป่าผืนนี้ ต่อมาใช้เวลาในที่แห่งนี้มากี่รุ่งสาง ฝึกกระบี่มากี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้
เขารู้ดีว่าต้นไม้ต้นนี้แข็งแกร่งมั่นคงยิ่งนัก กิ่งก้านใบย่อมแข็งแรงเช่นกัน แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย
ของสิ่งนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ขอบของมันไม่ได้แหลมคม ทั้งยังมีผิวเรียบลื่น เหมือนผ่านการขัดเงามาแล้ว
เขาหันกลับไปมอง ก็พบว่าบริเวณที่ต้นไม้ถูกโค่นลงนั้นมีโพรงลึกราวหนึ่งนิ้ว
ใบไม้บดบังแสงสว่างจากท้องฟ้าที่เดิมมืดครึ้มอยู่เอาไว้ ในโพรงนั้นมีหิมะทับถมและฝุ่นละออง ยากจะมองให้ชัดเจนว่าในนั้นมีสิ่งใด
ก่อนที่มันจะโค่นลง ที่นี่จะต้องเป็นโพรงของต้นไม้อย่างแน่นอน
มือขวาของเค้าคลำเจอสิ่งนั้น ที่อยู่ในโพรงนี้
หรือก็คือ ของสิ่งนั้นเคยเสียบอยู่ในโพรงนี้มาตลอด
เฉินฉางเซิงไม่อาจแน่ใจได้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่
กระบี่ของซางสิงโจวมาถึงแล้ว
กระบี่นักพรตของอารามฉางชุน ซื่อความหมายถึงความบริสุทธิ์ที่สุดแต่ไม่อ่อนโยน สะบั้นวายุหนาวเย็น ตกลงมาตรงทรวงอกของเขา
……
……
ยามที่ซางสิงโจวเดินเข้ามาหาเฉินฉางเซิงนั้น สวีโหย่วหรงกำลังเดินเข้าไปในสำนักฝึกหลวง
หวังจือเช่อสะบัดปลายนิ้วอีกครั้ง
สายลมอ่อนริมทะเลสาบโบกสะบัด โดยไร้เสียง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระหว่างสำนักฝึกหลวงและสวนร้อยหญ้านั้น บังเกิดม่านกำบังขึ้นมาอีกครั้ง
ในตอนนี้ สวีโหย่วหรงมีท่าทางแปลกประหลาด
นางยกมือซ้ายขึ้น ปลายนิ้วชี้ไปยังท้องฟ้าที่ว่างเปล่านั้น
ปัง
เกิดเสียงเบาๆ ขึ้น
ราวกับฟองอากาศถูกเจาะแตกโดยเส้นผมนุ่มละเอียด
ม่านกำบังไร้ลักษณ์นั้นหายไปโดยไร้ร่องรอย
ในที่สุดสวีโหย่วหรงก็เหยียบเข้าไปในสำนักฝึกหลวงสำเร็จ
ใบหน้าซีดขาวของเขา ปรากฏคราบเลือดที่มุมปาก
หวังจือเช่อไม่ได้ใช้วิชาดัชนี แต่เป็นเคล็ดวิชาเด็ดดาราที่คิดค้นขึ้นเองเมื่อครั้งเรียนที่เรือนเก่าในตรอกตงหลิน
เค้าคิดไม่ถึงว่านางจะสามารถรับวิชาดัชนีนี้ได้ ทำให้เขาประหลาดใจมาก
แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่นางมายังสำนักฝึกหลวงแล้ว นางก็ไม่มองเขาอีกเลย กลับเอาแต่มองไปยังอาจารย์และลูกศิษย์คู่นั้นในป่า
สายลมอ่อนพัดอาภรณ์นักพรตขาวปลิวไสว คันธนูไม้ถงพร้อมสรรพ ลูกธนูอู๋ขึ้นสาย พร้อมโจมตีตลอดเวลา
สถานการณ์พลันตึงเครียด
นางเตรียมใช้ลูกธนูอู๋หยุดยั้งซางสิงโจว หวังจือเช่อจะไม่หยุดยั้งนางหรือ หรือว่านางเชื่อมั่นว่าจะมีคนห้ามเขาไว้กัน
คนนั้นจะเป็นผู้ใดกัน
แน่นอนว่าไม่อาจเป็นถังซานสือลิ่ว
เขาถูกหวังจือเช่อควบคุม กลายเป็นรูปปั้นอยู่ริมทะเลสาบนั้นแล้ว
เนื่องจากไม่สามารถหันคอกลับมามองได้ จึงไม่อาจเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในป่า มองเห็นเพียงผิวน้ำของทะเลสาบและท้องฟ้า
ตอนนี้หิมะไม่ตกแล้ว แต่เมฆกลับบดบังท้องฟ้าอยู่ไม่เลือนหายไ ทำให้ทั้งเมืองหลวงดูแล้วเงียบวังเวงยิ่งนัก
แรกเริ่มเดิมทีเขาเอาแต่พร่ำบ่นว่าสวรรค์นั้นตาบอด
ตอนนี้กลับเขาทำได้เพียงสวดมนต์ให้เฉินฉางเซิง ได้แต่หวังว่าคนบนฟ้าจะรีบเบิกเนตรเสียที
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องดังขึ้นในป่า
พลันปรากฏแสงขึ้นในดวงตาเขา
มีหลุมปรากฏขึ้นในหมู่เมฆ
แสงจากท้องฟ้าพรั่งพรูลงมาจากที่นั่น ราวกับน้ำตก งดงามยิ่งนัก
ถังซานสือลิ่วคิดด้วยความตกใจ เป็นไปได้ไหมว่าใครคนผู้นั้นลืมตาขึ้นมาแล้ว
……
……
ร่างมังกรราวเทือกเขาทมิฬ เคลื่อนตัวขึ้นลงอย่างช้าๆ เบื้องหลังแนวเมฆ พาลให้เกิดลมกังเฟิงขึ้น
หลังจากที่มังกรดำจากสำนักฝึกหลวงไป ก็ไม่ได้ไปไหนไกล แต่กลับแอบซ่อนอยู่ ณ จุดนี้ เพื่อเตรียมแหวกฟ้าทะลุเมฆา
หากเฉินฉางเซิงพบเจอเรื่องอันตรายจริงๆ ไหนเลยนางจะสนใจเรื่องกฎเกณฑ์การต่อสู้ ในส่วนของคนที่เป็นกรรมการผู้นั้น…นางอยากต่อกรกับเขามานานแล้ว
จู่ๆ ทะเลเมฆก็ไหลเชี่ยวกราก และแหวกออกเป็นโพรงใหญ่
นางมองไปยังพื้นดินด้วยความประหลาดใจ
นางมองเห็นตรอกซอกซอยในเมืองหลวง เห็นสุสานเทียนซู และวังหลวง
ไปจนถึงสำนักฝึกหลวง
จุดเชื่อมต่อระหว่างสำนักฝึกหลวงและวังหลวงนั้นคือป่ารกชัฏผืนหนึ่ง
จู่ๆ ป่าผืนนั้นก็สว่างวาบขึ้นมา
มิใช่เพราะว่าแสงสว่างจากท้องฟ้าที่ปรากฏออกมา แต่เป็นเพราะแสงจากกระบี่เล่มหนึ่ง
ต้นไม้ใหญ่กว่าสิบต้นถูกโค่นลงเรียงเป็นทางตรงชี้ไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของป่า
ที่นั่นเคยมีต้นไม่ที่ถูกโค่นลงครึ่งซีก จู่ๆก็อันตรธานหายไป กลายเป็นเศษไม้นับไม่ถ้วนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
นอกจากเศษไม้ที่ลอยคว้างอยู่แล้ว ยังมีหิมะเบาบางที่เริ่มตกในเช้าวันนี้ รวมถึงน้ำในทะเลสาบที่ตกลงมาราวกับฝนกระหน่ำเมื่อไม่นานมานี้
มีเงาสองร่างท่ามกลางภาพประหลาดภาพนี้
ซางสิงโจวยืนอยู่เบื้องหน้าเฉินฉางเซิง กระบี่นักพรตได้แกว่งไกวอย่างเป็นต่อ
เฉินฉางเซิงไม่ตาย เนื่องจากในมือเขานั้นมีกระบี่เพิ่มมาอีกหนึ่งเล่ม
และเป็นกระบี่นี้ที่ป้องกันกระบี่ของซางสิงโจวไว้
กระบี่ของเฉินฉางเซิงคือกระบี่โง่งม
วิชากระบี่นี้ถูกซูหลีขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า และเคยช่วยเหลือเฉินฉางเซิงไว้นับครั้งไม่ถ้วน
ในสวนโจวเมื่อครู่ เฉินฉางเซิงอาศัยวิชากระบี่นี้รอดตายมาอย่างหวุดหวิดติดต่อกันหลายครั้ง
แต่ครั้งนี้ เฉินฉางเซิงไม่ได้ถูกฟันกระเด็น
ขาขวาของเขานั้นจมลึกลงไปในพื้นดิน ฝังแน่นราวกับฝังรากลึกลงไปก็มิปาน
เดิมทีนี่คือวิชากระบี่วิชาหนึ่ง ขอเพียงใช้กระบี่ก็จะสามารถสำแดงความวิจิตรและพลังที่แท้จริงออกมาได้
แต่คำถามก็คือ กระบี่ด้ามนี้มาจากที่ใดกันเล่า
ไม่มีผู้ใดมีเวลามากพอที่จะขบคิดปัญหาข้อนี้
เสียงนกหวีดร้อง ดังก้องไปทั้งป่า
อาภรณ์นักพรตของซางสิงโจวปลิวไสว กระบี่นักพรตกวัดแกว่งขึ้นลงอีกครั้ง
ลมพายุหิมะติดตามมา
เงาร่างของซางสิงโจวหายไป
แสงจากกระบี่มากมายปรากฏขึ้น
ในป่านั้นเต็มไปด้วยร่องรอยจากกระบี่
ทันใดนั้นทุกอย่างก็เงียบลง
เฉินฉางเซิงยกกระบี่ขึ้นรับ
เคร้ง เคร้ง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง
เสียงกระบี่แหลมคมกว่าสิบเสียงดังขึ้นรอบกายเขา
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ ซางสิงโจวพลันออกกระบี่ติดต่อกันนับสิบครั้ง
กระบี่เหล่านี้แกว่งไกวไปมารวดเร็ว แม้กระทั่งเสียงกระบี่กระทบกันของกระบี่สองเล่ม ยังไม่ทันดังออกมาเสียด้วยซ้ำ
แต่กระบี่เหล่านี้ล้วนถูกเฉินฉางเซิงรับเอาไว้ได้ทั้งหมด
เขายกกระบี่ขึ้นและเลิกคิ้ว
งอเข่าซ้ายลง
ยืนนิ่งอยู่กับที่
ไม่ไหวติง
ไม่ว่าคำกล่าวของท่านจะยากเอ่ยเพียงใด เจตนากระบี่จะยากคาดเดาเพียงไหน ข้าเพียงยกกระบี่ขึ้นขวาง วางใจให้ดิ่งลึก ก็จะดำดิ่งเข้าสู่โลกเล็กๆ ของตน
นี่คืออาณาจักรกระบี่อย่างแท้จริง
เพียงแต่ภายใต้การโจมตีรุนแรงดุจพายุฝนของซางสิงโจวนี้ เขาจะสามารถต้านทานได้นานเพียงใดกัน
แม้เขาจะครอบครองอาณาจักรกระบี่ แม้อาณาเขตจะสมบูรณ์แบบมากเพียงใด มีปราณแท้สมบูรณ์ยากจะจินตนาการมากเพียงใด สุดท้ายก็ไม่อาจประคับประคองต่อไปได้ตลอดกาล
ยิ่งไปกว่านั้น ซางสิงโจวคือคนระดับนั้น เขาที่บำเพ็ญวิถีพรตมานับพัน ก็ไม่มีใครทราบได้ว่าภายในแขนเสื้อที่ห้อยลงมานั้นยังมีลูกเล่นอันใดแอบซ่อนเอาไว้อีก
เฉินฉางเซิงไม่คิดเปิดโอกาสให้อาจารย์ของตนอีก
ในเวลาที่ไม่อาจคาดเดาล่วงหน้า แต่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ เขาต้องแย่งกระบี่ออกมาก่อน
แสงกระบี่สาดส่องไปทั่วป่า
รวดเร็วเสียจนยากจินตนาการ มิต่างฟ้าแลบ
เจตนากระบี่นี้ตื้นเขินมาก แต่กลับไม่ธรรมดา ราวกับมัจฉาที่แหวกว่ายในธารน้ำ อยู่ตรงหน้า แต่กลับยากจะจับต้อง
วงโคจรของวิถีของกระบี่เล่มนี้มหัศจรรย์ยิ่งขึ้น ทั้งยังลึกลับเกินจะคาดเดา
กระบี่เล่มนี้ทะลวงเปลือกไม้สามชิ้นติดกัน ตัดเศษไม้สองสามท่อน อ้อมผ่านมือซ้ายของเขาไป ราวกับจะแทงผ่านลมและหิมะโดยไม่ตั้งใจ
ไม่รู้มีเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอจากที่ใด ทั้งลมและหิมะปลิวว่อน
ซางสิงโจวปรากฎตัวขึ้นบนหิมะที่ห่างออกไปหลายจั้ง พร้อมบาดแผลระหว่างแขนเสื้อ
เฉินฉางเฉิงยืนขึ้น หยิบยกกระบี่ในมือ และมองเขาอย่างเงียบ ๆ