บทที่ 619.1 อากาศร้อนแผดเผา ลมหิมะเส้นทางยาวไกล

กระบี่จงมา! Sword of Coming

แสงอาทิตย์แรกสาดส่องเหนือนคร

เตี๋ยจ้าง ต่งฮว่าฝู ฟ่านต้าเช่อ ต่างก็เลือกที่จะถอยร่นออกไป

หนิงเหยา เฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วอยู่ที่เดิมต่อ

เฉินผิงอันย้อนกลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง เปลี่ยนมาสวมหน้ากากของชายฉกรรจ์วัยกลางคน ช่วยจับตามองสถานการณ์ทางการรบให้กับเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วก่อน บางครั้งก็เอ่ยเตือนบ้าง

เมื่อเทียบกับฟ่านต้าเช่อที่จำเป็นต้องพูดจาอย่างตรงไปตรงมาแม่นยำแล้ว เวลาพูดกับเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋ว เฉินผิงอันจะใช้ถ้อยคำกระชับเรียบง่ายกว่ามาก แค่เพิ่มรายละเอียดที่เขาตรวจสอบเจอว่าเป็นช่องโหว่เท่านั้น

ส่วนมากแล้วเป็นคำแนะนำถึงวิถีทางโคจรของกระบี่บินและการเลือกจุดที่จะให้กระบี่บินพุ่งตรงไป เป็นการทบทวนกระดานหมากแบบเร็วๆ อย่างหนึ่ง เพื่อพยายามทำให้สถานการณ์ที่ดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่าดื่มเหล้าจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว เฉินผิงอันก็จะไม่เห็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองคนนี้เป็นสำคัญ ในความเป็นจริงแล้ว การที่เฉินผิงอันเพ่งสมาธิชมศึก มองดูการออกกระบี่ของเฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋ว ทำให้เขาได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย

จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปหาฟ่านต้าเช่อ

ฟ่านต้าเช่อมองเฉินผิงอันที่อยู่ในรูปโฉมของชายฉกรรจ์ก็รู้สึกระอาใจเล็กน้อย เป็นศัตรูกับเฉินผิงอัน ช่างเป็นความซวยแปดชาติจริงๆ หลุมศพบรรพบุรุษไม่ได้มีควันเขียว แต่มีควันดำกลิ้งหลุนๆ โลงศพถึงได้กดทับไว้ไม่อยู่

นอกจากความระอาใจ ฟ่านต้าเช่อก็ยังรู้สึกขอบคุณ หากไม่เป็นเพราะการปรากฏตัวของเฉินผิงอัน ฟ่านต้าเช่อคงลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกอยู่อีกนาน

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง โยนเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ไปให้ฟ่านต้าเช่อ ยิ้มกล่าวว่า “หัดจำความดีของข้าด้วย”

ต่งฮว่าฝูกล่าว “ใช้เงินของฟ่านต้าเช่อซื้อเหล้า วันหน้าก็เอาออกมามอบให้เป็นน้ำใจแก่ฟ่านต้าเช่อ ข้าได้เรียนรู้แล้ว”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แปะยันต์ขจัดสิ่งสกปรกกระดาษเหลืองไว้บนร่าง ให้มันช่วยกำจัดกลิ่นคาวเลือด

เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “จะไปช่วยเก็บเงินที่อื่นแล้ว?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย เพราะกังวลว่าจะช่วยให้เสียเรื่อง กลายเป็นว่าดึงดูดความสนใจจากปีศาจใหญ่ที่แอบซ่อนอยู่ในมุมมืดมาให้คนอื่นเขา ก็เลยไม่กล้าออกแรง เดี๋ยวต่อจากนี้ข้าคิดว่าจะปรึกษากับพวกเซียนกระบี่ดูสักหน่อยว่าจะขอรับผิดชอบหัวกำแพงเมืองช่วงเล็กๆ สักช่วงหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อ รอให้คนที่เต็มใจมาติดกับ ถึงเวลานั้นหากพวกเจ้าคนใดถอยออกจากสนามรบแล้วก็สามารถไปหาข้าได้ ไปลองชื่นชมมาดการบังคับกระบี่ของผู้ฝึกตนใหญ่ดูสักหน่อย จำไว้ว่าเอาเหล้าไปด้วย ไม่ให้ดูเปล่าๆ หรอกนะ”

ต่งฮว่าฝูส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ไปแล้ว”

เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ข้าเองก็เหมือนกัน”

ฟ่านต้าเช่อพบว่าเฉินผิงอันมองมาที่ตน จึงแข็งใจพูดตามสัตย์จริงว่า “ข้าไม่กล้าไป”

เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ต้าเช่ออ่า คนไม่ไป แต่เหล้าไปถึงได้นะ ใครอยากจะเจอเจ้ากัน”

เตี๋ยจ้างและต่งฮว่าฝูลุกขึ้นยืนพร้อมกัน มุ่งหน้าไปทางหัวกำแพงเมืองทิศใต้อีกครั้ง

ฟ่านต้าเช่อเองก็อยากตามไปด้วย แต่กลับถูกเฉินผิงอันยกมือขึ้นกดลงบนความว่างเปล่า บอกเป็นนัยแก่เขาว่าไม่ต้องรีบร้อน

เฉินผิงอันเอ่ย “รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหายเหล่านี้ รู้สึกกดดันมากเลยใช่ไหม? ราวกับว่าช่วยพวกเขาครั้งหนึ่งก็เป็นตัวถ่วงพวกเขาครั้งหนึ่ง?”

ฟ่านต้าเช่อพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลังจากมีความคิดนี้แล้ว อันที่จริงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่ว่าหากจะให้ดียิ่งกว่านี้ เจ้าก็ควรจะเก็บความคิดพวกนี้ลงไป ฟ่านต้าเช่อ อย่าลืมล่ะว่า เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง ตอนนี้อายุยังไม่ถึงสามสิบปี รู้หรือไม่ว่าอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลของพวกเรา ต่อให้จะเป็นอุตรกุรุทวีปที่ได้รับการขนานนามว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ไม่ช้าก็เร็วต้องเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทอง อายุเท่านี้นับว่าเป็นคนหนุ่มที่ร้ายกาจขนาดไหน?”

เฉินผิงอันชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่ใช่ว่าใต้หล้าไพศาลมีคนอย่างข้า แล้วใต้หล้าไพศาลจะมีแต่คนที่เป็นอย่างเฉินผิงอันทั้งหมด ในบรรดาคนวัยเดียวกันบนภูเขาที่อายุพอๆ กับเจ้าและข้า ขอแค่พอจะมีความสามารถในการสังหารศัตรูอยู่บ้าง คนที่ดีกว่าข้า แน่นอนว่าต้องมี แล้วก็น่าจะมีไม่น้อยด้วย แต่คนที่สู้ข้าไม่ได้นั้นกลับมีเยอะมาก เยอะมากอย่างถึงที่สุด”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนอยู่ที่บุรพแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของข้า ข้าเคยท่องผ่านยุทธภพมากมาย หากเจ้าฟ่านต้าเช่อไปฝึกตนอยู่ที่นั่นก็จะต้องเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่ราชวงศ์แห่งหนึ่งมอบความหวังใหญ่ไว้ให้ เมื่อก่อนเจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้าล้อเล่นบ่อยๆ คำบอกที่ว่าจะดีจะชั่วตนก็เป็นถึงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตห้า คือคำพูดเยาะเย้ยตัวเอง แต่อันที่จริงกลับไม่ใช่ทั้งหมด ที่บ้านเกิดของข้า ปีศาจภูตผีขอบเขตถ้ำสถิตตนหนึ่งก็ถือเป็นปีศาจใหญ่ที่สมชื่อ คือผีร้ายที่ชวนหวาดผวาพรั่นพรึงแล้ว เจ้าลองคิดดู ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดคนหนึ่งก็อาจจะอายุสามสิบกว่าๆ เหมือนกัน แต่ที่แจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น กลับเป็นตำแหน่งที่สูงส่งเพียงใด?”

ฟ่านต้าเช่อพยักหน้ารับ “เมื่อก่อนไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ ไม่ค่อยสนใจเรื่องของใต้หล้าไพศาลสักเท่าไร นับแต่เล็กจนโต ข้าก็รู้สึกมาตลอดว่าพรสวรรค์ของตัวเองนับว่าพอถูไถ แต่กลับไม่ดีพอ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม แบมือสองข้างออก ประกบสองนิ้วชี้ไปยังปลายสุดสองด้าน “เรื่องที่ข้าพูด เมื่อเกิดกับพวกหนิงเหยา เฉินซานชิว เจ้าฟ่านต้าเช่อจึงรู้สึกว่าไม่ว่าตัวเองทำอะไรก็ผิดไปหมด นี่คือความสุดโต่งอย่างหนึ่ง ส่วนฟ่านต้าเช่อที่อยู่บ้านเกิดของข้า กลับดูเหมือนว่าสามารถพกกระบี่ต่อกรกับแคว้นศัตรูได้แล้ว นั่นก็คือความสุดโต่งอีกอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าล้วนไม่ควรรับเอามาทั้งสองอย่าง”

เฉินผิงอันเก็บมือกำเป็นหมัด แล้วเอาไปแกว่งอยู่ตรงกลางระหว่างเส้นก่อนหน้านี้ “เรื่องราวใดๆ ล้วนมีความสุดโต่งได้ทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่จิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งควรจะอยู่ที่ตรงนี้ หยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ไม่สั่นคลอน เรื่องนอกกาย หากพูดให้ใหญ่หน่อยก็เป็นแค่เรื่องนอกกายจริงๆ ยากที่จะถูกพวกเราควบคุมไว้ได้ทั้งหมด แต่จิตดั้งเดิมของผู้ฝึกตนกลับมักจะเป็นเรื่องที่อยู่ในมือของเจ้าและข้า อยู่ใกล้ในระยะประชิดเสมอ เป็นความสามารถส่วนตัวที่สามารถขัดเกลาให้พัฒนาดียิ่งขึ้นได้เสมอ ฟ้าดินเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ก็เป็นแค่กรวยตั้งเล็กๆ ในฟ้าดิน แต่จิตใจคนนั้นยิ่งใหญ่ครอบจักรวาล สามารถสูงกว่าใหญ่กว่าฟ้าดินได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่ ส่วนที่ความคิดมุ่งไป ส่วนที่กระบี่พุ่งไปถึง ทั้งชีวิตและจิตใจล้วนมีอิสระเสรี ประโยคนี้ ข้าคิดว่าถูกต้องมากๆ ข้ามอบให้เจ้าเปล่าๆ พร้อมเหล้าในกาที่อยู่ในมือของเจ้าตอนนี้”

ดวงตาของฟ่านต้าเช่อใสกระจ่าง กระดกเหล้าดื่มหนึ่งอึกใหญ่ เช็ดมุมปากแล้วเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เฉินผิงอัน คำพูดพวกนี้ หากเมื่อก่อนเจ้าพูดกับข้า บางทีข้าอาจจะแค่ฟังเข้าใจ แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะฟังเข้าหู ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ข้าเข้าใจแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อันที่จริงก็เหมือนกันนั่นแหละ ข้าเองก็เคยเจอกับความยากลำบากน้อยใหญ่ เคยเดินๆ หยุดๆ คิดนี่คิดนู่นมาก่อน ถึงได้เดินมาถึงทุกวันนี้ได้”

ฟ่านต้าเช่อเงียบไปครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “ประโยคที่มอบให้ข้าพร้อมกับเหล้านั้น เป็นประโยคที่อริยะปราชญ์ยอดฝีมือท่านใดพูดหรือ? ยิ่งข้าใคร่ครวญก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือมาลูบปลายคาง “ต้าเช่ออ่า สมองของเจ้าไม่ค่อยเฉลียวฉลาดก็แล้วไปเถอะ เหตุใดสายตาก็ไม่ดีไปด้วยเล่า”

ฟ่านต้าเช่อยิ้มพลางลุกขึ้นยืน แกว่งกาเหล้าในมืออย่างแรง เตรียมจะไปหาพวกเฉินซานชิว

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยื่นมือออกมาคว้ากาเหล้านั้น ลุกขึ้นยืนแล้วสบถด่าเสียงดัง “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสองกลับกล้าแสร้งวางมาดวีรบุรุษผู้องอาจด้วยรึ เหล้านี่ไม่ต้องจ่ายเงินหรือไร?”

ฟ่านต้าเช่อรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย รีบก้าวเร็วๆ จากไป เพียงแต่อดไม่ไหวหันหน้าไปมองเถ้าแก่รองผู้นั้น เห็นว่าเขาเอียงศีรษะ ใช้นิ้วจับตรงจอนผมของตัวเอง จากนั้นก็ปลดหน้ากากปลอมลงมา

ฟ่านต้าเช่อถาม “เฉินผิงอัน ถึงอย่างไรก็ลืมนางไม่ลง ข้าไม่ได้เรื่องมากเลยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันเก็บหน้ากากที่จูเหลี่ยนเป็นผู้สร้างใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “หากพูดถึงแค่จิตใจที่ลุ่มหลงในรัก คนที่รักเดียวใจเดียว ก็ไม่มีอะไรดีไปมากกว่านี้แล้ว”

ฟ่านต้าเช่อพูดอย่างกังขาว่า “ตอนที่พวกเราเพิ่งรู้จักกัน เจ้าไม่ได้พูดแบบนี้นี่นา? ด่าข้าซะไม่เหลือชิ้นดีเลย”

เฉินผิงอันที่สีหน้าอ่อนเพลียหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ยิ้มกล่าวว่า “ไม่มีแรงจะพูดเรื่องวิชาความรู้ที่อยู่ในนี้กับเจ้าอีกหรอก ไปใคร่ครวญดูเอาเองเถอะ ยังมีอีกนะ ช่วยเอามาดของเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตประตูมังกรออกมาหน่อย ไก่ตีกันเอาหัวจิกกัน ผู้ฝึกกระบี่ตีกันไม่จดจำแค้น”

อันที่จริงเฉินผิงอันไม่เป็นห่วงความรู้สึกของฟ่านต้าเช่อแล้ว เวลาอยู่กับพวกเขา ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเรื่องการฝึกตนหรือคำพูดคำจา ฟ่านต้าเช่อก็ล้วนไม่โดดเด่นเช่นพวกเขา แต่เฉินผิงอันมั่นใจเลยว่า บนเส้นทางของการฝึกตน ฟ่านต้าเช่อจะต้องเดินไปได้ไกลมากอย่างแน่นอน ตอนนี้เฉินผิงอันแค่ค่อนข้างเป็นกังวล กลัวว่าฟ่านต้าเช่อฟังเหตุผลนั้นของตนไปแล้ว รู้แล้ว แต่กลับพบว่าตนเองทำไม่ได้ หรือไม่ก็ทำได้ไม่ดี นั่นกลายไปเป็นปัญหาอีกข้อหนึ่ง

หลักการเหตุผลข้อหนึ่ง หากไม่เคยรู้มาก่อน เดิมทีก็เป็นการปฏิเสธแบบไร้รูปลักษณ์อย่างหนึ่ง เมื่อรู้แล้ว อีกทั้งยังเข้าใจแล้ว นั่นก็คือการยอมรับอย่างหนึ่ง แต่หากทำไม่ได้ ก็จะกลายเป็นการปฏิเสธอีกแบบหนึ่ง

โดยทั่วไปแล้วเมื่อมาถึงขั้นนี้ ก็คือหลักการเหตุผลเดินไปถึงจุดสิ้นสุด เดินไปถึงจุดที่ต้องฝังร่างตัวเองบนเส้นทางหัวใจแบบที่ไม่เหลือแม้แต่กระดูก

ส่วนที่น่ากลัวที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าความรู้ที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ซึ่งคล้ายคลึงกับหลักการเหตุผลนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความตาย พอตายทีก็จะตายไปเป็นแถบๆ

คิดไม่ถึงว่าฟ่านต้าเช่อจะเอ่ยว่า “หากต่อจากนี้จิตแห่งกระบี่ของข้ายังไม่เด็ดเดี่ยวมั่นคงได้อย่างที่เจ้าพูด ไม่อาจวางตัวให้ไม่ได้รับอิทธิพลจากพวกเฉินซานชิว เฉินผิงอัน จำไว้ว่าช่วยเตือนข้าสักหน่อย ครั้งเดียวไม่ได้ก็สองครั้ง ข้าคนนี้ไม่มีข้อดีอะไร ก็แค่ยังพอจะรับฟังคนอื่นอยู่บ้าง”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง”

สุดท้ายฟ่านต้าเช่อเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ควรจะฟังคำแนะนำจากข้าสักคำ สงครามใหญ่ครั้งนี้ยังต้องต่อสู้กันอีกนาน ไม่ได้ขาดแค่เวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนนี้ เจ้าไปพักรักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยกลับไปที่หัวกำแพงเมือง ไม่อย่างนั้นหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ในอนาคตเมื่อต้องการให้พวกเราออกจากหัวกำแพงเมืองลงสนามรบ คงยากที่เจ้าจะกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้ เจ้าคืออาจารย์กระบี่ที่ช่วยคุมหลังให้ข้า ต่อให้เจ้าไม่เป็นห่วงตัวเองก็ควรเป็นห่วงชีวิตน้อยๆ ของข้าบ้าง วันหน้ายังอยากจะดื่มเหล้าที่ไม่ต้องจ่ายเงินอีกหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”

แล้วเฉินผิงอันก็เรียกเรือยันต์ออกมาแล้วไปจากหัวกำแพงเมืองจริงๆ

ฟ่านต้าเช่อไปถึงที่กำแพงทางทิศใต้แล้ว หนิงเหยาพยักหน้ายิ้มกล่าวกับเขา “ขอบใจมาก”

ฟ่านต้าเช่อพยายามจะขึงหน้าให้จึงนิ่งขรึม เพียงแต่ว่าทำไม่ได้ ก็เลยคลี่ยิ้มเสียเลย

ต่งฮว่าฝูวิจารณ์ว่า “ทึ่มชะมัด”

เฉินซานชิวที่กระบี่บินสังหารศัตรูได้อย่างสง่างามที่สุดในบรรดาคนทั้งกลุ่มยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่งถ่านดำ เจ้ามีปัญญาทำให้หนิงเหยาเอ่ยขอบคุณเจ้าได้ไหม?”

ต่งฮว่าฝูหันหน้ามาถาม “พี่หญิงหนิง เอ่ยขอบคุณข้าได้หรือไม่?”

สายตาหนิงเหยามองตรงไปเบื้องหน้าตลอดเวลา ตกรางวัลให้ด้วยคำว่า ไสหัวไป

ต่งฮว่าฝูพยักหน้ารับ แสดงว่ารับคำนี้เอาไว้แล้ว จากนั้นก็หันหน้าไปมองเฉินซานชิวกับฟ่านต้าเช่อ ถามว่า “พี่หญิงหนิงไม่เคยเกรงใจข้า พวกเจ้าทำได้แบบนี้ไหม?”

เฉินซานชิวยกนิ้วโป้งให้

ฟ่านต้าเช่อสูดลมหายใจเข้าลึก เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา แสงกระบี่เปล่งวาบหนึ่งครั้งก็พุ่งลงไปจากหัวกำแพงเมือง

เฉินผิงอันบังคับเรือยันต์ เพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จึงเลียนแบบลูกศิษย์ของตัวเอง ฟุบตัวลงบนหัวเรือ ใช้มือพายต่างไม้พาย ดูเหมือนจะไวขึ้นอีกนิดจริงๆ ด้วยนะ?

……

ระหว่างศึกใหญ่ ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยหลายคนที่มาจากต่างถิ่นถอยจากหัวกำแพงทิศใต้มายังหัวกำแพงทางทิศเหนือ ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นอีกกลุ่มหนึ่งที่บำรุงพละกำลังจนสมบูรณ์พร้อมแล้วเข้ามาแทนที่ตำแหน่งคนที่ออกไป เพียงแต่ว่าตอนที่พวกเขาเดินส่วนไหล่กัน ส่วนใหญ่ฝ่ายหลังกลับมีรอยยิ้มบนใบหน้า

อวี้เจวี้ยนฟูนั่งอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ กัดแผ่นแป้งย่างแผ่นสุดท้าย ปณิธานหมัดทั่วร่างเปี่ยมล้น แต่กลับไม่อาจออกหมัดได้เสียที นี่ทำให้อวี้เจวี้ยนฟูที่ได้แต่ชมศึกอยู่บนหัวกำแพงเกิดความปรารถนาอย่างใหญ่หลวงต่อการเดินขึ้นสู่ที่สูงของการเรียนวรยุทธ ถึงอย่างไรขอบเขตเจ็ดร่างทองก็ยังไม่เหมือนขอบเขตเดินทางไกล ขอแค่เลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกล ก็สามารถทะยานลมได้เหมือนผู้ฝึกลมปราณ แล้วก็จะออกหมัดได้อย่างสาแก่ใจ

จูเหมยสีหน้าซีดขาว ในใจยังหวาดผวาไม่คลาย นางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

หลังจากที่นางเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาก็ต้องเสี่ยงอันตรายอยู่หลายครั้ง หากไม่ได้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยช่วยคุมหลังให้ ก็ต้องถูกจินเจินเมิ่งช่วยเหลือ แม้แต่หลินจวินปี้ที่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรก็ยังเคยช่วยนางหนึ่งครั้ง หากไม่เป็นเพราะหลินจวินปี้มองออกว่านักรบเดนตายเผ่าปีศาจตนหนึ่งแกล้งตาย จงใจออกกระบี่ล่อให้อีกฝ่ายแสดงท่าไม้ตาย สุดท้ายหลินจวินปี้จึงก็ถอนกระบี่ออกในชั่วประกายไฟแลบ แล้วให้จินเจินเมิ่งออกกระบี่สังหารปีศาจ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของจูเหมยก็คงได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน ต่อให้รากฐานของมหามรรคาจะไม่ถูกทำร้ายให้บาดเจ็บสาหัส แต่ก็ต้องถอยออกจากหัวกำแพงเมืองไปทั้งอย่างนี้ ไปรักษาบาดแผลอยู่ที่จวนซุนแต่โดยดี นับจากนี้ไปเรื่องศึกสงครามก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอีก

หลินจวินปี้พูดคุยถึงประสบการณ์ที่ได้จากศึกก่อนหน้านี้กับจินเจินเมิ่ง

นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่หลินจวินปี้พูดคุยกับจินเจินเมิ่งเป็นการส่วนตัว พูดเรื่องผลดีผลเสีย ช่องโหว่ จุดบกพร่องและจุดที่มหัศจรรย์มากมายของการออกกระบี่ของสองฝ่าย

รอยยิ้มของจินเจินเมิ่งอบอุ่นราวกับแสงตะวัน ยังคงไม่พูดอะไรมากอยู่เหมือนเดิม แต่เห็นได้ชัดว่าสนิทสนมกับหลินจวินปี้เพิ่มขึ้นอีกนิด

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่จินเจินเมิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ราวกับไม่เคยมีฝุ่นผงมลทินใดแปดเปื้อนตัวเขาได้ผู้นี้ มีกลิ่นอายของความเป็นมนุษย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

หลินจวินปี้หยิบขวดใบเล็กใบหนึ่งที่ราชวงศ์เส้าหยวนทำขึ้นอย่างประณีตออกมา เทยาออกมาสามเม็ด สีสันของยาแตกต่างกัน ตัวเองเก็บยาสีเหลืองไข่ห่านเอาไว้ โยนยาที่เหลืออีกสองเม็ดซึ่งเป็นสีเขียวไข่กากับสีเขียวฤดูใบไม้ผลิให้กับจินเจินเมิ่งและจูเหมย

จินเจินเมิ่งและจูเหมยต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ลังเลไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็เลือกจะรับยาไว้ แล้วต่างคนก็ต่างกลืนยาลงไป

หลินจวินปี้เริ่มรวบรวมสมาธิ ผ่อนลมหายใจเข้าออก เม็ดยาค่อยๆ หลอมละลาย ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นไหลกรูไปยังช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งหลาย

หลินจวินปี้แบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมาทบทวนช่วงท้ายของสถานการณ์ถามใจในยามนั้นซ้ำอีกรอบ

ทุกครั้งที่ทบทวนหนึ่งครั้งก็สามารถทำให้จิตแห่งเต๋าของหลินจวินปี้สมบูรณ์ได้เสี้ยวหนึ่ง

ตอนนั้นระหว่างที่คีบเม็ดหมากจากบนกระดานเก็บใส่ลงในโถ เด็กหนุ่มชุดขาวที่บอกว่าตัวเองชื่อชุยตงซานได้ถามคำถามข้อหนึ่ง เขาถามหลินจวินปี้ว่ากล้าอยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อออกกระบี่สังหารปีศาจหรือไม่

หลินจวินปี้บอกว่ากล้า เพียงแต่ความเสี่ยงมากเกินไป ผลประโยชน์น้อยเกินไป ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าใด

“ไม่ใช่คำแนะนำ แต่เป็นคำสั่ง เพราะว่าเจ้าโง่เกินไป ดังนั้นข้าเลยได้แต่พูดให้มากหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ความหวังดีของข้าถูกเจ้ามองเป็นประสงค์ร้าย เป็นเหตุให้เรื่องดีที่เดิมทีใหญ่เทียมฟ้ากลับกลายเป็นเหตุผลให้เจ้าไม่พอใจข้า ถึงเวลานั้นหากข้าฆ่าเจ้าตาย เจ้าอาจจะยังรู้สึกว่าตัวเองได้รับความอยุติธรรม”