บทที่ 619.2 อากาศร้อนแผดเผา ลมหิมะเส้นทางยาวไกล

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานใช้สองนิ้วคีบเม็ดหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาแกว่งส่าย “ข้อแรก หลังจากที่อยู่ต่อแล้ว ฆ่าปีศาจใหญ่ไปมากน้อยแค่ไหนล้วนไม่สำคัญ หากสามารถฆ่าได้มากหน่อยจนได้รับการยอมรับจากเซียนกระบี่หนึ่งหรือสองท่านก็จะยิ่งดีกว่า”

ชุยตงซานโยนหมากเม็ดนั้นใส่ลงไปในโถเก็บเม็ดหมาก แล้วคีบหมากเม็ดใหม่ขึ้นมา “ข้อสอง หากขู่เซี่ยอยู่ข้างกายพวกเจ้า ตัวเจ้าเองลองสังเกตการณ์กะน้ำหนักหนักเบาให้ดี ย่อมไม่ตายอย่างแน่นอน ขู่เซี่ยโง่กว่าเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนดีบนภูเขาที่หาได้ยาก ดังนั้นยิ่งเจ้าเหมือนคนดีมากเท่าไร ออกกระบี่ได้เด็ดขาดเท่าไร สังหารปีศาจได้เท่าไร ถ้าอย่างนั้นทุกวันที่อยู่บนหัวกำแพง การยอมรับที่ขู่เซี่ยมีต่อตัวเจ้าก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เดิมทีขู่เซี่ยก็คิดไว้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งขู่เซี่ยอาจยินดีเปลี่ยนวิธีการตายเสียใหม่ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อตัวเจ้าหลินจวินปี้ เพื่อเสาคานของแคว้นราชวงศ์เส้าหยวนในอนาคต เมื่อถึงนาทีนั้น เจ้าต้องระวังให้มากแล้ว อย่าให้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยต้องรบตายอยู่ที่นี่เพื่อเจ้าจริงๆ เจ้าหลินจวินปี้จำเป็นต้องอาศัยจูเหมยและจินเจินเมิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจูเหมย ให้ขู่เซี่ยล้มเลิกความคิดที่จะกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ เพื่อจะได้คุ้มครองพวกเจ้าออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ จำไว้ว่าต่อให้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยืนกรานว่าจะย้อนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ก็ควรจะส่งพวกเจ้าให้ไปถึงทักษินาตยทวีปเสียก่อน เขาถึงจะหวนกลับมาได้ จะทำอย่างไร ความหมายอยู่ตรงไหน ข้าไม่สอนเจ้า หัวสมองที่อายุยังไม่มากก็ขึ้นสนิมแล้วของเจ้านั้นต้องคิดหาวิธีการเอาเอง”

ชุยตงซานโยนหมากเม็ดที่สองออกไป “ข้อที่สาม ระหว่างเส้นทางที่เจ้าออกไปจากภูเขาห้อยหัว เจ้าที่อยู่ร่วมกับจูเหมย จินเจินเมิ่งแค่วางตัวให้เหมาะสมก็พอ อย่าวาดงูเติมขาด้วยการพยายามซื้อใจพวกเขาเด็ดขาด ไม่สู้ให้ข้าสอนเคล็ดลับอย่างหนึ่งแก่เจ้า หลินจวินปี้ที่เวลาปกติใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขา ยังคงเป็นหลินจวินเมิ่งที่มีความหยิ่งทระนงวางตัวสูงส่งอยู่เหมือนเดิม เมื่อเทียบกับหลินจวินปี้คนที่ออกกระบี่สังหารปีศาจอยู่บนหัวกำแพงเมืองก่อนหน้านี้แล้ว ต้องเป็นคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เจ้าทำมาก่อนหน้านี้จะเสียเปล่าทั้งหมด ทั้งจูเหมยและจินเจินเมิ่งไม่ใช่พวกคนอย่างเหยียลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง จิตใจของฝ่ายหลังเป็นไปในทางรูปธรรม ฝ่ายแรกเมื่อเทียบกันแล้วเป็นนามธรรมมากกว่า นี่คือฟ้าดินสองอย่าง ตัวเจ้าเองลองชั่งน้ำหนักดูให้ดี”

“ข้อที่สี่ กลับไปถึงราชวงศ์เส้าหยวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ขนบธรรมเนียมฝ่ายบุ๋นรุ่งเรืองแล้ว เจ้าก็ปิดปากให้สนิท ห้ามพูดถึงแม้แต่คำเดียว หากไม่รู้จักปิดปาก เจ้าก็ไสหัวไปปิดประตูไม่ต้อนรับแขกซะ ก่อนเจ้าจะปิดปาก แน่นอนว่าควรจะพูดคุยอย่างลับๆ กับอาจารย์ของเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าจงปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ นอกจากเรื่องของข้าแล้ว เรื่องน้อยใหญ่ไม่จำเป็นต้องปิดบัง อย่าได้เห็นอาจารย์ของเจ้าเป็นคนโง่ ใต้เท้าราชครูย่อมเข้าใจเจตนาของเจ้า ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกอคติ กลับกันยังจะรู้สึกปลาบปลื้ม เพราะเดิมทีเจ้ากับเขาก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาจะต้องช่วยปกป้องมรรคาให้แก่เจ้าอย่างลับๆ ช่วยทำเรื่องที่อาจารย์พึงกระทำแก่ลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างเจ้า เขาไม่มีทางลงสนามช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่เจ้าด้วยตัวเอง เพราะนั่นเป็นวิธีการชั้นต่ำเกินไป เชื่อว่าใต้เท้าราชครูไม่เพียงแต่จะไม่ทำเช่นนี้ กลับกันยังจะควบคุมกำลังไฟ ใช้วิธีที่ตรงข้ามกันแทน ถึงอย่างไรเหยียนลวี่ที่โง่กว่าเจ้าก็เป็นหมากของเจ้าแล้ว เมื่อกลับไปถึงบ้านเกิดก็ทำเรื่องที่เจ้าควรทำ พูดในเรื่องที่เจ้าสมควรพูด แต่ราชครูจะปิดข่าวที่ราชวงศ์เส้าหยวนอย่างแน่นหนา ไม่อนุญาตให้ใครเอาเรื่องประสบการณ์ของเจ้าในใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปคุยโวอย่างส่งเดช จากนั้นเจ้าก็สามารถรอให้สำนักศึกษาและสถานศึกษาช่วยพูดแทนเจ้าได้แล้ว ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ยิ่งหลินจวินปี้ปิดปากเงียบเท่าไร ราชวงศ์เส้าหยวนก็จะยิ่งเก็บปากเก็บคำมากเท่านั้น ชื่อเสียงจากสี่ด้านแปดทิศก็จะพุ่งเข้ามาหาเอง ต่อให้เจ้าปิดประตูก็ยังขวางไว้ไม่อยู่”

“ไม่ใช่แค่ราชวงศ์เส้าหยวนเท่านั้น ราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ แม่ทัพ อัครเสนาบดี ผู้ฝึกตนบนภูเขา ยุทธภพในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขาล้วนจะต้องรู้ว่ามีเด็กหนุ่มนามหลินจวินปี้คนหนึ่งได้ออกเดินทางไกลไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อเจอกับสงครามก็กล้าออกกระบี่สังหารปีศาจโดยไม่คิดจะถอยร่น”

ชุยตงซานคีบเม็ดหมากเอาไว้ ยิ้มถามว่า “ท่ามกลาง ‘ข้อที่สี่’ นี้ จุดที่เป็นรายละเอียดที่สุดอยู่ตรงไหน? ลองคิดดูให้ดี อย่าทำให้ข้าผิดหวังกับคำตอบของเจ้า”

หลินจวินปี้เอ่ยตอบ “ให้อาจารย์ของข้ารู้สึกว่าการวางตัวเข้าสังคมของข้ายังดูอ่อนหัดอยู่เหมือนเดิม แล้วก็ให้อาจารย์ได้ทำเรื่องบางอย่างที่ไม่ว่าอย่างไรตัวลูกศิษย์ก็ทำไม่ได้ ในใจอาจารย์จะได้ไม่รู้สึกแสลงใจ”

ชุยตงซานโยนหมากเม็ดนั้นออกไป “ยังดี ยังไม่โง่จนตาย รอไปก่อนเถอะ วันหน้าการศึกของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะยิ่งดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ใต้หล้าไพศาลจะถูกไม้ฟาดแสกหน้าจนมึนงง พอฟื้นคืนสติขึ้นมาได้บ้าง เรื่องราวของเจ้าหลินจวินปี้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะยิ่งมีค่า”

ชุยตงซานคีบเม็ดหมากขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยเยาะเย้ยว่า “ต่อให้เป็นอริยะ นักปราชญ์และวิญญูชนลัทธิขงจื๊อที่อยู่สายบุ๋นคนละสายกับอาจารย์ของเจ้า ก็จะหันมามองเจ้าหลินจวินปี้ในมุมใหม่ ท่านราชครูจะยิ่งเห็นเจ้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่มีความหวังบนมหามรรคามากขึ้น แต่สำนักศึกษาสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊ออาจไม่ได้มองเจ้าเป็นลูกศิษย์ของราชครูแคว้นหนึ่งอีกต่อไป ความมหัศจรรย์ของเรื่องนี้ เมื่อเจ้าได้สัมผัสด้วยตัวเองมากเข้าก็จะทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนได้ดื่มเหล้าหมักรสชาติเข้มข้น”

ชุยตงซานโบกเม็ดหมากที่คีบอยู่ในนิ้ว “แต่ก็อย่าได้หลงระเริงไปล่ะ ชื่อเสียงในวันนี้ล้วนจะกลายเป็นคำติฉินนินทาในวันหน้า และส่วนใหญ่แล้วคนที่ชื่นชมและคนที่วิจารณ์ก็มักจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันเสมอ นี่ก็คือความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง หากคิดจนเข้าใจแล้ว ก็จะเป็นเหล้าหมักอีกกาหนึ่งที่ทำให้คนเมามายได้”

ชุยตงซานโยนเม็ดหมากในมือไปกระแทกใส่โถเก็บเม็ดหมาก เสียงเม็ดหมากกระทบโถดังกังวาน จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อ “คนอย่างเหยียนลวี่นี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ให้ดีขึ้นได้ จูเหมยเอง เจ้าก็จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากนาง โดยเฉพาะกับฝ่ายหลัง หากจัดการความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้อย่างเหมาะสม เจ้าก็จะพบเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดคิด”

หลินจวินปี้ถามเสียงเบา “หมายถึงตระกูลที่อยู่เบื้องหลังจูเหมย?”

ชุยตงซานส่ายหน้า “ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น สมองเจ้าเละเป็นแป้งเปียกจริงๆ ยังจะเล่นหมากล้อมอะไรอีก? เดินไปก้าวหนึ่งมองแค่สองก้าวก็คิดว่าจะเอาชนะได้จริงๆ แล้วงั้นหรือ?”

หลินจวินปี้พูดอย่างจริงใจว่า “ขออาจารย์ชุยช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าด้วย”

ชุยตงซานเอ่ย “จูเหมยเอ่ยอะไร ไม่ได้แย่ไปกว่าการที่อวี้เจวี้ยนฟูเห็นอะไรกับตาตัวเองเลย สตรีสองคนนี้ตัวติดกันดั่งเงา ความสัมพันธ์สนิทสนมอีกทั้งยังบริสุทธิ์ มีเรื่องอะไรที่จะไม่พูดถึง? อวี้เจวี้ยนฟูยอมรับในนิสัยใจคอของจูเหมย จูเหมยยอมรับเจ้าหลินจวินปี้ แน่นอนว่าย่อมต้องพูดจาเป็นธรรมตามความหมายที่แท้จริงแทนเจ้าอยู่แล้ว แล้วก็เพราะความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของจูเหมย อวี้เจวี้ยนฟูถึงได้ยอมรับฟัง ถ้าอย่างนั้นอุบายต่ำช้าตอนที่เจ้าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในสายตาของอวี้เจวี้ยนฟูแล้วก็จะไม่เพียงแต่ไม่กลายเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตของเจ้าหลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวน กลับกันยังจะช่วยให้นางมองเจ้าอย่างเต็มตามากขึ้น ข้าพูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

หลินจวินปี้เอ่ยเสียงเบา “ผู้น้อยกลัวว่าจะเข้าใจผิด เข้าใจได้ไม่ลึกซึ้งมากพอ ยินดีรับฟังท่านอธิบายอย่างละเอียด”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คนที่ไร้ข้อบกพร่องคือคนที่ไม่อาจสนิทสนมด้วยมากที่สุด หากปฏิเสธเจ้าไปแล้วค่อยยอมรับในตัวเจ้า การยอมรับเช่นนี้จะมั่นคงไม่สั่นคลอนมากกว่าการยอมรับจากตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอกัน แค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ? เล่นหมากล้อมก็ไม่เป็น ใจคนก็มองไม่ออก ข้าเริ่มนึกเสียใจภายหลังแล้วที่คิดจะทำการค้าระยะยาวกับเจ้า ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองต้องขาดทุนกันนะ? หลินจวินปี้ เล่นหมากล้อมกับเจ้ามาหลายตาขนาดนี้ ข้าไม่เคยมีความกังวลใดๆ แม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่าคิดอยากจะร่วมมือทำการค้ากับเจ้าแล้วจะกลับกลายเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้ แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”

หลินจวินปี้ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

ชุยตงซานหรี่ตาลง “ดีแต่ถาม แต่ไม่รู้จักคิด? เจ้ารู้หรือไม่ว่าความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ข้าฆ่าเจ้าได้ รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร? หากตอบผิด เจ้าก็ต้องตาย”

หน้าผากหลินจวินปี้มีเหงื่อผุดซึมออกมา “ข้าสามารถโง่ตายได้ แต่ไม่สามารถทำให้อาจารย์ชุยเดือดร้อน กลายเป็นว่าท่านสายตาไม่ดีถึงได้มาทำการค้ากับคนโง่”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าตัวดี ยังพอจะสั่งสอนได้บ้าง”

ฝ่ามือของชุยตงซานวางอยู่บนเม็ดหมากที่อยู่ในโถ ถูฝ่ามือเบาๆ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ผู้ฝึกกระบี่ของแผ่นดินกลางคนหนึ่งที่ฉลาดมากพออีกทั้งยังกล้าตายโดยไม่เสียดายชีวิต อวี้เจวี้ยนฟูที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวซึ่งมีชาติกำเนิดมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเหมือนกันย่อมไม่มีทางรังเกียจได้ คนตระกูลอวี้ หรือแม้แต่ตาเฒ่าเสินโจวจือผู้นั้น เจ้าคิดว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไรต่อผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มที่อวี้เจวี้ยนฟูไม่รู้สึกรังเกียจ? เป็นเรื่องเล็กที่จะมีหรือไม่มีก็ได้หรือ? ตาแก่ตระกูลอวี้ โจวเสินจือ พวกตาแก่หนังเหนียวเหล่านี้เคยเห็นคนฉลาดครึ่งๆ กลางๆ อย่างหลินจวินปี้คนเดิมในอดีตมาน้อยนักหรือ? ตาเฒ่าตระกูลอวี้ใช้ฝ่ามือเดียวควบคุมการดับสูญและการลุกผงาดของสองราชวงศ์ใหญ่ มีคนฉลาดแบบไหนบ้างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ตาแก่โจวมีชีวิตอยู่มาหลายพันปี เห็นการขึ้นการลงของเรื่องราวทางโลกมามากมายแล้ว คนที่พวกเขาพบเห็นมาน้อย ก็คือคนหนุ่มที่ทั้งฉลาดแล้วก็โง่เขลาในเวลาเดียวกัน เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิตชีวา ไม่เห็นฟ้าดินอยู่ในสายตา แต่บนร่างกลับเต็มไปด้วยความมุทะลุดุดันเปี่ยมด้วยพลัง กล้าสละชื่อเสียง ไม่เสียดายชีวิต”

ชุยตงซานยกมือขึ้น ขยับออกห่างโถเก็บเม็ดหมากมาชุ่นกว่า บิดหมุนข้อมือเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงในจุดที่ละเอียดอ่อนของใจคน เป็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่งดงาม เพียงแต่พวกเจ้ามองไม่เห็นความจริงก็เท่านั้น จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผม? ผู้ฝึกตนกับคนเป็นเทพเซียน มีสายตาที่ดีแต่ดันไม่ใช้ แกล้งทำเป็นคนตาบอด ฝึกตน ฝึกจิตใจกะผายลมอะไร เจ้าหลินจวินปี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นคนบนภูเขาที่จะได้หยัดยืนอย่างสูงส่งอยู่ในราชวงศ์ หากไม่เข้าใจจิตใจของคน จะวิเคราะห์ใจคน รู้จักคน จะใช้คน ควบคุมคนได้อย่างไร? จะใช้จิตใจคนได้อย่างไม่เกิดข้อกังขาได้อย่างไร?”

หลินจวินปี้รู้สึกชื่นชมยินดีจากใจจริง เอ่ยอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ชุยสูงส่งแจ่มกระจ่าง หลินจวินปี้ได้รับการสั่งสอนแล้ว”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น “สูงส่งแจ่มกระจ่าง? ใช้คำพูดที่ธรรมดาสามัญแบบนี้มาบรรยายตัวข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลินจวินปี้ส่ายหน้า “ทั้งสูงส่งทั้งแจ่มกระจ่าง! นั่นก็มีเพียงดวงตะวันจันทราเท่านั้น! นี่คือขอบเขตที่ข้ายินดีใช้เวลาทั้งชีวิตไล่ตามหา ไม่ใช่ความสูงส่งแจ่มกระจ่าง (ปราดเปรื่อง/เฉลียวฉลาด) ตามปากคนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน”

ชุยตงซานหัวเราะร่าเสียงดัง “คำประจบนี้นับว่ามีมาดของภูเขาบ้านข้าอยู่มาก ดีมากๆ วันหน้าหากมีโอกาส ไม่แน่ว่าถ้าข้าอยากจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์จริงๆ เจ้าก็สามารถไปจุดธูปโขกหัวกราบไหว้ภาพเหมือนที่ศาลบรรพจารย์ได้”

อันที่จริงในใจของหลินจวินปี้มีการคาดเดาอย่างหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป จึงไม่ค่อยกล้าเชื่อเท่าใดนัก

ชุยตงซานหุบยิ้ม ก้มหน้ามองกระดานหมากแวบหนึ่ง ยื่นฝ่ามือออกไปปาดหนึ่งครั้ง เม็ดหมากทั้งหมดก็ร่วงลงสู่โถเก็บเม็ดหมาก จากนั้นก็คีบเม็ดหมากสีดำเม็ดเดียวมาวางลงบนกระดานหมาก ตามด้วยเม็ดหมากสีขาวหลายเม็ดวางล้อมกันเป็นวงใหญ่

ชุยตงซานเอ่ย “ในเมื่อยินดีอบรมปลูกฝังเจ้าดั่งเป็นลูกศิษย์ครึ่งตัว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรจะเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาสักหน่อย ยกตัวอย่างให้เหยียนลวี่เป็นหมากสีดำเม็ดนี้ เจ้าต้องทำให้หมากสีดำเม็ดนี้รู้สึกว่าตัวเองมีอิสระอย่างมาก ฟ้าดินกว้างใหญ่ไร้พันธนาการ ชีวิตคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่จิตใจของเขา ความคิดทั้งหมดของเขา แท้จริงแล้วล้วนอยู่ในการควบคุมของเจ้า ต้องการให้เขาเป็น หรือต้องการให้เขาตาย ต้องการให้เขารุ่งเรืองหรือล่มจม ล้วนอยู่ในการคิดคำนวณของเจ้า”

หลินจวินปี้คิดว่าเหตุผลข้อนี้ค่อนข้างตื้นเขิน ไม่ยากที่จะทำความเข้าใจ

จากนั้นชุยตงซานก็วางเม็ดหมากสีดำอีกหลายเม็ดเป็นวงกลมไว้ด้านนอกซึ่งใหญ่กว่าวงกลมของหมากขาว “นี่ก็คือจิตใจของตาแก่โจว ตาแก่ตระกูลอวี้ เจ้าควรจะฝ่าสถานการณ์นี้ออกไปอย่างไร?”

หลินจวินปี้ใช้ความคิดอยู่นาน ก่อนจะยกหลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ส่ายหน้าเอ่ยว่า “มิอาจคลี่คลาย ถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องคิดจะฝ่าสถานการณ์นี้ออกไป”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ไม่เลว ถูกอยู่ครึ่งหนึ่ง”

ชุยตงซานคีบหมากสีขาวขึ้นมาหนึ่งเม็ด โยนไว้บนกระดานด้านนอกหมากสีดำ “สถานการณ์บนกระดานหมากยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ทันทีทันใด แต่ชีวิตคนไม่ใช่การเล่นหมากล้อมที่คนเล่นก่อนกับเล่นหลังต่างกันแค่หมากเม็ดเดียวเท่านั้น แต่อย่าลืมล่ะว่าใจคนไร้พันธนาการ ดังนั้นจึงสามารถโยนความคิดหนึ่งไปซ่อนอยู่ไกลๆ เบิกตากว้างมองฟ้าดินซึ่งเป็นกระดานหมากที่ใหญ่ยิ่งกว่าให้ละเอียด โจวเสินจือจะนับเป็นอะไรได้ นี่ก็คือการฝึกจิตใจ”

หลินจวินปี้จ้องนิ่งไปยังกระดานหมากที่ไม่ได้อยู่แค่ในตำราหมากล้อมแล้วจมสู่ภวังค์ความคิด

“ฝูงกวางส่งเสียงร้องอย่างเบิกบาน แทะหญ้ากินผลไม้อยู่ในป่าอย่างเสรี ข้ามีสุราเลิศรส เป่าขลุ่ยตีกลอง น่าเสียดายที่ไร้แขกผู้มีเกียรติมาเยือน”

ชุยตงซานดึงสายตาที่มองไปยังผืนแผ่นดินกลับมา หันไปมองท้องฟ้าแทน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนบนภูเขา ท่านที่อยู่กลางก้อนเมฆ เห็นนกบินผ่าน สีขาวแถบใหญ่ล่องลอย”

บนหัวกำแพงเมืองเวลานี้หลินจวินปี้เองก็กำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้าเลียนแบบ ‘เด็กหนุ่มชุดขาว’ คนนั้น

คนผู้นั้นก็คือชุยฉาน คนที่เล่นหมากล้อมจนเกิด ‘ตำราเมฆหลากสี’

ถึงขั้นที่ว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขายังเหนือกว่าชุยฉานในอดีตอีกด้วย

หลังจากที่เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นเก็บโถและกระดานหมากแล้วลุกขึ้นยืน ประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยกับหลินจวินปี้ก็คือ “สอนเรื่องพวกนี้ให้แก่เจ้า ก็เพื่อบอกกับเจ้าว่า การวางแผนเล่นงานใจคนเป็นเรื่องไร้ความหมาย ไม่ได้ประโยชน์เลย ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ”

……

เฉินผิงอันไม่ได้ตรงกลับไปที่จวนหนิง แต่ไปที่ร้านเหล้ามารอบหนึ่ง

ร้านเหล้าไม่ได้ปิดร้าน เพียงแต่ไม่มีลูกค้า

เด็กหนุ่มสองคนที่มาช่วยงานระยะยาวในร้านเหล้าก่อนหน้านี้อย่างจางเจียเจินและเจี่ยงชวี่ได้เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวอย่างลับๆ เหมือนกับผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวยแล้ว จ้งชิว เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างเดินทางไปท่องเที่ยวที่ทักษินาตยทวีป ส่วนเด็กหนุ่มสองคนกลับติดตามชุยตงซานไปที่แจกันสมบัติทวีป

ตอนนี้คนสามคนที่มาช่วยงานในร้าน เด็กหนุ่มชื่อชิวหล่ง เด็กสาวชื่อหลิวเอ๋อ เด็กชายที่อายุน้อยที่สุดชื่อว่าเถาป่าน ล้วนเป็นลูกจ้างร้านที่เตี๋ยจ้างเลือกมาด้วยตัวเอง คือเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกับนางดี

เถาป่านไม่ค่อยเหมือนกับเฝิงคังเล่อที่เป็นคนวัยเดียวกันเท่าใดนัก เฝิงคังเล่อที่อายุน้อยๆ ก็เริ่มเก็บเงินแต่งเมียแล้วเป็นคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้จักสังเกตสีหน้าคนอื่น ขับเรือไปตามกระแสลม แต่เถาป่านกลับเหลือแต่คำว่าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเท่านั้น เป็นคนดื้อดึงคนหนึ่ง ชิวหล่งและหลิวเอ๋อที่เดิมทีนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะ พอเห็นเถ้าแก่รองที่ใจดีเป็นมิตรก็ยังคงตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก รีบลุกขึ้นยืน ราวกับรู้สึกว่านั่งอยู่ที่โต๊ะก็คือการแอบอู้ เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “ลูกค้าไม่มี พวกเจ้าก็ทำตัวตามสบายเถอะ”

มีเพียงเถาป่านที่นั่งฟุบตัวเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะเหล้าอีกตัวหนึ่ง กำลังมองถนนใหญ่ที่ไร้ผู้คน

เฉินผิงอันนั่งลงที่โต๊ะตัวนั้น ยิ้มถามว่า “ทำไม แย่งภรรยากับเฝิงคังเล่อไม่ได้ ก็เลยอารมณ์ไม่ดีงั้นหรือ?”

เถาป่านพูดอย่างอัดอั้นว่า “เถ้าแก่รอง ท่านลองบอกมาหน่อยสิว่าสรุปแล้วข้าใช่ตัวอ่อนกระบี่ที่ไม่ว่าใครก็มองไม่ออกหรือไม่”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

จากนั้นเฉินผิงอันก็ตบโต๊ะ “ไปหิ้วเหล้ามาให้ข้ากาหนึ่ง กติกาเดิม”

เถาป่านไม่เต็มใจลุกขึ้น จึงตะโกนขึ้นว่า “พี่หญิงหลิวเอ๋อ เอาเหล้ามาให้เถ้าแก่รองกาหนึ่ง อย่าลืมเก็บเงินด้วยล่ะ”

เฉินผิงอันควักเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมายื่นส่งให้หลิวเอ๋อ บอกว่าไม่ต้องการบะหมี่หยางชุนและผักดอง แค่ดื่มเหล้าอย่างเดียว เพียงไม่นานเด็กสาวก็หยิบเหล้าหนึ่งกาและชามสีขาวหนึ่งใบมาวางไว้ให้บนโต๊ะเบาๆ

เฉินผิงอันรินเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่หนึ่งชาม จิบเหล้าหนึ่งคำ

เถาป่านยืดตัวนั่งตรง แล้วก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะอีกครั้ง ด้วยความเบื่อหน่ายจึงใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะ เอ่ยว่า “เถ้าแก่รอง ข้าเองก็ไม่อยากขายเหล้าไปตลอดชีวิตหรอกนะ”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากทำอะไร?”

เถาป่านตอบ “ข้าเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน”

เฉินผิงอันจึงดื่มเหล้า ไม่เอ่ยอะไรอีก

เถาป่านหาเรื่องชวนคุย “เถ้าแก่รอง ท่านรู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วมีคนมากมายที่พูดถึงท่านลับหลังในทางที่ไม่ดี ลูกค้าหลายคนที่มาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าต่างก็ช่วยทวงความเป็นธรรมแทนท่าน คำพูดหลายๆ อย่างแค่ฟังก็ชวนให้คนโมโหแล้ว”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้หรอก ไหนเจ้าลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ?”

เถาป่านจึงเริ่มพูดถึงถ้อยคำที่ตัวเองได้ยินมารัวยาวราวกับเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ ไม่มีตกหล่นแม้แต่ประโยคเดียว

เถาป่านเห็นว่าเถ้าแก่รองเอาแต่ดื่มเหล้า ไม่มีท่าทีจะโมโห เด็กน้อยจึงโมโหแทน เขาพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เถ้าแก่รอง หูท่านไม่ได้หนวกสักหน่อย สรุปแล้วได้ฟังที่ข้าเล่าบ้างหรือไม่”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฟังอยู่”