ด้วยเหตุผลบางประการ จู่ ๆ ทุกคนก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม เดิมทีพวกเขาเคยคิดว่าสตรีผู้ใดก็ตามที่ได้รับคะแนนความนิยมสูงสุดไปครอง สตรีผู้นั้นย่อมคู่ควรกับมัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกคนใคร่รู้อย่างที่สุดว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นใคร
“ข้าจะประกาศอันดับหนึ่งก่อนก็แล้วกัน”
ว่านจินก็ทำหน้าที่ได้สมกับที่เป็นพิธีกรดำเนินการประกวดร้องเล่นเต้นรำของศิษย์สตรีมานานหลายปี เมื่อสายตาของทุกคนมองมาที่ตนอย่างคาดหวัง เขาก็คลี่ยิ้มและกล่าวกระตุ้นความใคร่รู้ของพวกเขามากยิ่งขึ้น
“ศิษย์พี่ว่านจิน ท่านรีบประกาศมาเร็ว ๆ เถิด !”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะลุกพรวดและตะโกนออกไปอย่างร้อนรนใจเพื่อเร่งให้เขาประกาศผลลัพธ์โดยเร็ว
“สำหรับผู้ที่คว้าอันดับหนึ่งด้วยคะแนนหนึ่งร้อยยี่สิบแปดคะแนน ชื่อแซ่ของนางมีสามพยางค์…”
ว่านจินจงใจก้มมองรายชื่อในมือของตนและกล่าวหยุดกลางคันจนทำให้หลายคนแทบอยากจะกระโจนเข้าไปซัดเขาให้น่วม
“ศิษย์พี่ หยุดพูดพล่ามไร้สาระเถอะ !”
อย่างไรก็ตาม พวกเขาทำได้เพียงกัดฟันกรอดและจ้องหน้าว่านจินอย่างหงุดหงิดพลางคิดว่าศิษย์พี่ของพวกตนช่างทำตัวยียวนยิ่งนัก
ว่านจินไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด เขาเพียงยิ้มบาง ๆ และในที่สุดก็ประกาศชื่อของผู้ที่ได้รับความนิยมสูงสุดออกไป
“ผู้ที่คว้าชัยชนะและได้รับความนิยมสูงสุดในการประกวดครานี้คือศิษย์น้องฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งเข้าร่วมกับหอชั้นในของพวกเราได้เพียงไม่นาน”
เป็นจริงดังที่หลายคนคาดไว้ ผู้ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในครานี้คือฉินอวี้โม่ ถึงอย่างไรนางก็แสดงผลงานได้เป็นอย่างดีและกลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากมาย
หนึ่งร้อยยี่สิบแปดคะแนนเป็นจำนวนที่สูงกว่าอันดับสองมากถึงสามสิบคะแนนซึ่งกล่าวได้ว่าแทบจะเป็นการเอาชนะอย่างราบคาบ
“ฮ่า ๆ ๆ รู้อยู่แล้วเชียวว่าจะต้องเป็นศิษย์น้องอวี้โม่ ศิษย์น้องอวี้โม่สุดยอดไปเลย ! พวกเรากลุ่มขนนกจะสนับสนุนเจ้าเสมอไป !”
กลุ่มบุรุษเจ็ดคนที่ไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้กับกลุ่มของฉินอวี้โม่ในก่อนหน้านี้ยืนขึ้นและโบกไม้โบกมือเพื่อแสดงความสนับสนุนต่อนางอย่างออกนอกหน้า
คนอื่น ๆ ที่ตัดสินใจเป็นสาวกผู้ติดตามของฉินอวี้โม่ต่างก็ลุกขึ้นยืนและแสดงความสนับสนุนต่อนางเช่นกัน
“ศิษย์น้องฉินเสี่ยวเยี่ยน แม้ได้อันดับสอง เจ้าก็ยังเป็นเทพธิดาในใจของพวกเรา พวกเราจะติดตามและสนับสนุนเจ้าตลอดไป !”
บรรดาผู้สนับสนุนของฉินเสี่ยวเยี่ยนก็แสดงทัศนคติของพวกตนออกมาเช่นกันและไม่ต้องการให้นางต้องกังวลเพราะผลลัพธ์ในครานี้
บรรยากาศความปรองดองและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อดหัวเราะอย่างมีความสุขไม่ได้
“ศิษย์น้องฉินอวี้โม่ ข้าขอแสดงความยินดีด้วย”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยความจริงใจและแทบจะไม่รู้สึกอะไรกับการตกเป็นอันดับสอง จุดประสงค์หลักในการเข้าร่วมการประกวดร้องเล่นเต้นรำของนางคือการผ่อนคลายจิตใจและพัฒนาความปรองดองในหมู่ศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ แม้รางวัลที่ได้รับจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย มันก็มิใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด
เพราะเหตุนั้น ในการประกวดเช่นนี้ จุดประสงค์หลักของทุกคนคือการหาความเพลิดเพลินให้กับตนเองและพวกนางก็ไม่ได้สนใจอันดับเท่าใดนัก
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ยินดีด้วยจริง ๆ ทว่าคราต่อไปข้าจะไม่มีทางแพ้เจ้าแน่”
ว่านหลิงเอ๋อร์ก้าวออกมาและตบไหล่ฉินอวี้โม่ด้วยความเป็นมิตรเช่นกัน
บรรยากาศความปรองดองนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่ตระหนักถึงความเข้าใจใหม่ได้อย่างกะทันหัน ภายในชั่วพริบตา รากฐานพลังของนางที่ติดอยู่ในสภาวะคอขวดมานานและไม่สามารถทะลวงพลังต่อไปก็เริ่มหละหลวมลงเล็กน้อย
เสียงประหลาดดังขึ้นทั่วร่างกายของนางและนั่นหมายความว่าฉินอวี้โม่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการทะลวงพลัง
“ข้าต้องขอตัวกลับไปที่ห้องพักก่อน”
นางหันไปกล่าวกับทุกคนทันที การทะลวงพลังจากขอบเขตเทพสวรรค์เพื่อเข้าสู่ขอบเขตเทพเซียนมิใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในช่วงสั้น ๆ ทว่าจะต้องใช้เวลามากพอสมควร และเห็นได้ชัดว่าที่นี่มิใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการทำเช่นนั้น
“ศิษย์น้องฉินอวี้โม่เป็นอะไรไปหรือ ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ปลีกตัวออกไปและมุ่งหน้ากลับไปยังทิศทางของหอพัก ทุกคนก็ฉงนสงสัยขึ้นมา นางได้รับชัยชนะในการแข่งขันคะแนนความนิยม ทว่ากลับไม่อยู่รอรับรางวัลและรีบกลับไปก่อนได้อย่างไร ?
“ทุกคนไม่ต้องกังวลหรอก อวี้โม่กำลังจะทะลวงพลัง”
เสียงของว่านหรูชูดังขึ้นในหูของทุกคน เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของฉินอวี้โม่ได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจถึงสาเหตุที่นางปลีกตัวออกไปอย่างกะทันหัน ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ไม่มีทางสงบจิตสงบใจและทะลวงพลังไปอย่างราบรื่น
“เป็นจริงดังที่ว่า นางเป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่…”
ว่านเฉินซียกยิ้มมุมปากเช่นกันพร้อมกับแสดงความชื่นชมและความยอมรับในตัวฉินอวี้โม่
“ไม่แปลกใจเรื่องใดรึ ?”
ผู้อาวุโสเจ็ดได้ยินวาจาของว่านเฉินซีและเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสใหญ่จะชื่นชอบนางยิ่งนัก”
แน่นอนว่าว่านเฉินซีไม่กล่าวออกไปตามความจริง ทว่าเอ่ยตอบตัดบทอย่างแนบเนียน
“กำลังจะทะลวงพลังอย่างนั้นหรือ ? นี่ศิษย์น้องฉินอวี้โม่ทรงพลังมากเพียงใดกัน ?”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฉินอวี้โม่จะเข้าสู่กระบวนการทะลวงพลังในเวลานี้ เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกถึงการทะลวงพลังแม้แต่น้อยและไม่มีสถานการณ์พิเศษใดปรากฏขึ้น แล้วจู่ ๆ นางจะทะลวงพลังได้อย่างไร ?
“ความแข็งแกร่งของศิษย์น้องฉินอวี้โม่ยังไม่บรรลุถึงสู่ขอบเขตเทพเซียน ทว่าครานี้นางคงจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพเซียนได้ อยากรู้นักว่าพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของนางจะเป็นอย่างไร ?”
หลายคนมองไปยังทิศทางที่ฉินอวี้โม่จากไปพลางคิดสงสัย
ภายในหอชั้นใน บรรดาจอมยุทธ์ที่เพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพเซียนไม่ถือเป็นผู้ที่แกร่งกล้าเท่าใดนักและมิได้มีพรสวรรค์อันโดดเด่น อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกได้ว่าฉินอวี้โม่ไม่ธรรมดาเช่นที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนางก็แตกต่างไปจากผู้อื่นมากและความมั่นใจที่นางเผยให้เห็นอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความลึกลับน่าค้นหา หลายคนก็คาดเดากันไปแล้วว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของฉินอวี้โม่คงจะลึกลับเกินหยั่งถึงอย่างแน่นอน…
“เอาล่ะ ไม่ต้องห่วงศิษย์น้องฉินอวี้โม่หรอก ศิษย์น้องเหลิ่งซวงเสวี่ยจะรับรางวัลแทนนางไปก่อน”
ว่านจินประกาศออกไปเพื่อให้ทุกคนยุติความกังวล สำหรับพลังในการต่อสู้ของฉินอวี้โม่ ทุกคนจะได้ทราบอย่างแน่ชัดเมื่อถึงการแข่งขันประชันฝีมือของหอชั้นในและมิใช่เวลาที่จะมาหารือหรือกังวลในตอนนี้
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย มอบรางวัลเถอะเจ้าค่ะ”
เจียงฉาและคนอื่น ๆ กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนใจและตั้งหน้าตั้งตารอคอยรางวัลที่จะได้รับ แม้บางอย่างไม่เป็นประโยชน์นัก ทว่าการที่คว้าอันดับหนึ่งในการประกวดครานี้ได้ก็ทำให้พวกนางมีความสุขเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น การได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าหอสมุดและการใช้งานลานประลองยุทธ์ถือเป็นรางวัลที่มีประโยชน์ต่อการฝึกยุทธ์ของพวกนางยิ่งนัก
ว่านเฉินซีเป็นผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่มอบรางวัลในครานี้ นอกเหนือจากรางวัลที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ กลุ่มของพวกนางก็ยังได้รับถ้วยรางวัลยืนยันชัยชนะอีกด้วย แน่นอนว่าถ้วยรางวัลสำหรับผู้ที่ได้รับคะแนนความนิยมเป็นอันดับหนึ่งก็มีอยู่เช่นกัน
ว่านเฉินซีก้าวออกไปข้างหน้าและมอบรางวัลให้กับทุกคน กลุ่มที่คว้าอันดับสองและอันดับสามก็รับถ้วยรางวัลด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเช่นกัน เจียงฉาและทุกคนถือถ้วยรางวัลและหัวเราะกันอย่างมีความสุข ในขณะที่เหลิ่งซวงเสวี่ยยังคงดูเย็นชาเป็นปกติและถือถ้วยรางวัลของฉินอวี้โม่ไว้ในมือ
…
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังรับรางวัล ฉินอวี้โม่ก็กลับมาถึงห้องพักแล้วและตรงเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
ภายในคฤหาสน์ล่องหน ความเร็วในการทะลวงพลังของนางจะเร็วขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่รู้สึกมาเสมอว่าการทะลวงพลังในครานี้จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับร่างกายของตน
ในเวลานี้ ซิวที่สวมอาภรณ์สีแดงกำลังนั่งพูดคุยหารือกับมารยาอยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวเช่นกัน
หนึ่งในสองอสูรมายาสวมอาภรณ์สีแดงเพลิงและมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาน่าดึงดูด ในขณะที่อีกฝ่ายสวมอาภรณ์สีขาวราวหิมะพร้อมด้วยกลิ่นอายความเย็นชาและรูปลักษณ์ที่งดงามไม่แพ้กัน เพียงนั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งสองก็ดูเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับเป็นเทพบุตรและเทพธิดามาเกิด
“ในที่สุดนายหญิงก็ได้โอกาสในการทะลวงพลังเสียที”
ซิวกล่าวขึ้นโดยไม่ต้องการรบกวนการทะลวงพลังของฉินอวี้โม่
ความแข็งแกร่งของมันในปัจจุบันติดอยู่ในสภาวะคอขวดเช่นกัน มีเพียงเมื่อฉินอวี้โม่บรรลุถึงขอบเขตเทพเซียนขั้นสูงสุดเท่านั้นที่มันจะทะลวงพลังต่อไปได้ เพียงคิดเช่นนี้ มันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
สถานการณ์ของมารยาก็คล้ายคลึงกับซิวเช่นกันและการทะลวงพลังของมันก็ไม่ง่ายนัก
“นายหญิงจะปลุกพลังนั้นได้รึไม่ ?”
อสูรสาวกล่าวด้วยความสงสัยเมื่อนึกถึงพลังลึกลับที่ถูกผนึกไว้ภายในร่างกายของผู้เป็นนาย