เหลิ่งซวงเสวี่ยกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวในห้องโถงเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวและเห็นฉินอวี้โม่ก้าวออกมาจากห้องนอน
“อวี้โม่ เจ้าทะลวงพลังได้สำเร็จแล้ว”
แม้ยังดูเย็นชาเช่นเดิม เหลิ่งซวงเสวี่ยก็ไม่มีท่าทีห่างเหินและเมินเฉยเหมือนก่อนอีกต่อไป ถึงอย่างไรก็กล่าวได้ว่าฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันกับนาง พวกนางจึงสนิทสนมกันมากขึ้นเป็นธรรมดา
“ขอบคุณศิษย์พี่เหลิ่งที่เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดหลายวันที่ผ่านมา”
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปจับมือเหลิ่งซวงเสวี่ยอย่างแผ่วเบา แม้ทราบว่าอีกฝ่ายเย็นชาและไม่แสดงความรู้สึกมากนัก การที่เหลิ่งซวงเสวี่ยเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้แล้ว เพราะเหตุนั้น นางจึงวางใจที่จะทะลวงพลังอย่างสงบภายในคฤหาสน์ล่องหนของตน
แน่นอนว่าต่อให้เหลิ่งซวงเสวี่ยไม่อยู่ที่นี่ ฉินอวี้โม่ก็ไม่กังวลสิ่งใด ผู้อื่นที่บุกเข้ามาในห้องไม่มีทางสัมผัสได้ถึงตัวตนของคฤหาสน์เฟิงหัว และตราบใดที่ชี้แจงว่าออกไปทะลวงพลังที่อื่น นางก็จะไม่กระตุ้นความสงสัยของผู้ใด
เหลิ่งซวงเสวี่ยยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนนั่งลงพร้อมกับฉินอวี้โม่
เวลานี้ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของฉินอวี้โม่ดูลึกลับพิศวงขึ้นมากและทำให้ยากที่เหลิ่งซวงเสวี่ยจะสัมผัสถึงพลังของนาง ดูเหมือนว่าศิษย์น้องตรงหน้าผู้นี้จะยากเกินหยั่งถึงยิ่งกว่าก่อนเสียอีก
สิ่งเดียวที่นางยืนยันได้ในตอนนี้คือขอบเขตพลังของฉินอวี้โม่บรรลุถึงขอบเขตเทพเซียนแล้วซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
“อีกอย่าง…ตอนที่เจ้าเก็บตัวทะลวงพลัง เจียงจิ้งและคนอื่น ๆ ก็เข้ามาถามหาเจ้าหลายครา ข้าบอกไปว่าเจ้าเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อทะลวงพลังและส่งพวกนางกลับไป แม้แต่ฉินเสี่ยวเยี่ยนและว่านหลิงเอ๋อร์ก็เคยแวะมาที่นี่เช่นกัน”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงการเก็บตัวทะลวงพลังของฉินอวี้โม่ เหลิ่งซวงเสวี่ยก็อธิบายทุกอย่างและไม่ปิดบังสิ่งใด
หลายคนแวะเวียนมาที่นี่เนื่องจากต้องการทราบว่าฉินอวี้โม่ทะลวงพลังสำเร็จแล้วหรือไม่
หลังจากการประกวดร้องเล่นเต้นรำ ชื่อของฉินอวี้โม่ก็ก้องกังวานไปทั่วทั้งหอชั้นใน ตอนนี้กลุ่มขนนกผู้คลั่งไคล้นางมีสมาชิกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนและความนิยมชมชอบที่นางได้รับก็มากเกินกว่าฉินเสี่ยวเยี่ยนในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดเสียอีก ตอนนี้เรียกได้ว่าฉินอวี้โม่กลายเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหอชั้นในของนิกายหมื่นกระบี่ไปโดยปริยาย
“ข้าจะไปพบพวกนางหลังจากนี้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจและใช้เวลาอยู่ในห้องพักครู่ใหญ่ก่อนมุ่งหน้าไปยังห้องของเจียงฉาและคนอื่น ๆ
เจียงฉาและสหายก็มีความสุขกันอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่ทะลวงพลังได้สำเร็จ พวกนางจึงตัดสินใจไปที่ภัตตาคารและรับประทานอาหารมื้อใหญ่ร่วมกันเพื่อฉลองให้กับความสำเร็จฉินอวี้โม่
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่คัดค้านสิ่งใด หลังจากไตร่ตรองดู นางก็ปล่อยให้เจียงฉาและคนอื่น ๆ ล่วงหน้าไปที่ภัตตาคารก่อนในขณะที่ตนเดินไปยังห้องพักของฉินเสี่ยวเยี่ยนและว่านหลิงเอ๋อร์
ห้องพักของทั้งสองอยู่ในชั้นที่สองของหอพักโดยเป็นห้องหมายเลขหนึ่งและสองซึ่งอยู่ใกล้กัน
ฉินอวี้โม่เริ่มจากเคาะประตูห้องหมายเลขสองเบา ๆ ก่อนศิษย์พี่ที่คุ้นหน้าคุ้นตาจะเปิดประตูรับ
“ศิษย์น้องฉินอวี้โม่ !”
เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือฉินอวี้โม่ สตรีผู้นั้นก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนยิ้มกว้างความด้วยตื่นเต้น
“หลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ มานี่เร็ว ศิษย์น้องฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่แล้ว !”
นางตะโกนเสียงดังเข้าไปในห้องเพื่อเรียกให้ว่านหลิงเอ๋อร์ออกมาโดยเร็ว
ว่านหลิงเอ๋อร์ซึ่งกำลังอ่านตำราอยู่ภายในห้องก็ได้ยินเสียงดังกล่าวและรีบปรี่ออกมาทันที
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะทะลวงพลังสำเร็จแล้วสินะ”
นางเผยรอยยิ้มที่อบอุ่นให้กับฉินอวี้โม่และกล่าวเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้องก่อน
“ศิษย์พี่หลิงเอ๋อร์ ศิษย์พี่เจียงฉาและคนอื่น ๆ กำลังรอข้าอยู่ที่ภัตตาคารเพื่อกินฉลองกัน ข้ามาที่นี่เพราะทราบว่าท่านกังวลเกี่ยวกับการทะลวงพลังของข้าและต้องการมาบอกกับท่านด้วยตัวเอง หากท่านมีเวลาว่างก็เชิญไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารกับพวกเราเถิดเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่โบกมือปฏิเสธคำเชิญชวนก่อนเปิดเผยจุดประสงค์ของการมาที่นี่ออกไปโดยตรง
นางหารือเรื่องนี้กับเจียงฉาและคนอื่น ๆ ไว้ก่อนแล้ว พวกนางก็บ่งบอกว่ายินดีหากว่าว่านหลิงเอ๋อร์และคนอื่น ๆ จะไปร่วมฉลองด้วย ทว่าหากคนเหล่านี้ไม่ต้องการไปที่นั่น พวกนางก็ไม่คิดมากแต่อย่างใด
“จริงรึ ? ถ้าเช่นนั้นศิษย์น้องอวี้โม่รอประเดี๋ยว ข้าขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อน”
ว่านหลิงเอ๋อร์ตอบตกลงอย่างไม่ลังเลและบอกให้สหายของตนเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์โดยเร็ว ในเมื่อฉินอวี้โม่กล่าวเชิญชวนเช่นนี้ พวกนางไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็ไปเคาะประตูห้องหมายเลขหนึ่งและรอเวลาครู่ใหญ่ก่อนได้ยินเสียงฝีเท้าภายในห้อง
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เปิดประตูให้กับนางคือหวังเผยยวี่ที่เคยกล่าววาจาถากถางฉินอวี้โม่หลายครั้งหลายครา เห็นได้ชัดว่านางชะงักไปทันทีที่พบว่าผู้ที่อยู่หน้าประตูคือฉินอวี้โม่
“ฉินอวี้โม่ เจ้ามีอะไรหรือ ?”
นางเอ่ยถามด้วยท่าทางที่เรียบเฉยและดูจะไม่กระตือรือร้นเหมือนกับบรรดาศิษย์พี่ในห้องพักของว่านหลิงเอ๋อร์
อย่างไรก็ตาม ครานี้หวังเผยยวี่ไม่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางที่พัฒนาขึ้นมาก เพราะถึงอย่างไรทุกคราที่พบกันก่อนหน้านี้ นางก็มักจะกล่าววาจาเหน็บแนมถากถางโดยที่ไม่เกรงใจผู้ใด
“ข้าต้องการพบศิษย์พี่ฉินเสี่ยวเยี่ยน”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับไป ทว่าฉินเสี่ยวเยี่ยนก็เดินสวนออกมาก่อนที่นางจะกล่าวจนจบประโยคด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดว่าฉินเสี่ยวเยี่ยนเพิ่งจะอาบน้ำมา เวลานี้ นางดูราวกับเป็นบุปผาในน้ำใสชัดซึ่งไม่มีการแต่งแต้มสีสันใด ๆ ทว่ามิอาจละสายตาได้เลย
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เข้ามานั่งก่อนเถอะ ข้าคิดอยู่พอดีว่าจะไปหาเจ้าที่ห้องเพื่อดูว่าเจ้าทะลวงพลังสำเร็จแล้วหรือยัง”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนคลี่ยิ้มให้กับฉินอวี้โม่อย่างอ่อนโยนและกิริยาท่าทางของนางก็ดูเป็นมิตรเข้าถึงง่ายเช่นเดิม
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ หลังจากทะลวงพลังสำเร็จ ข้าก็มาที่นี่ทันที ตอนนี้ศิษย์พี่เจียงฉาและคนอื่น ๆ ล่วงหน้าไปที่ภัตตาคารก่อนแล้ว ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ทั้งหลายต้องการจะไปที่ภัตตาคารและร่วมฉลองกับพวกเราหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบและกล่าวเชื้อเชิญอีกฝ่าย ในเมื่อว่านหลิงเอ๋อร์และสหายได้รับคำเชิญ มันก็เป็นธรรมดาที่ฉินเสี่ยวเยี่ยนจะได้รับเชิญเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตากับฉินเสี่ยวเยี่ยนและสหายเป็นอย่างมาก เว้นเพียงแต่หวังเผยยวี่ที่มักกล่าววาจายั่วยุกวนประสาท คนอื่น ๆ ก็มักจะแสดงความเป็นมิตรกับนางเสมอ และแม้ว่าหวังเผยยวี่จะชอบกล่าววาจาไม่เข้าหู ทว่าอันที่จริงนางก็มิใช่คนที่จิตใจชั่วร้ายแต่อย่างใด
“ข้า…”
ในเวลานี้ หวังเผยยวี่ก็กำลังจะกล่าวปฏิเสธออกไป เนื่องจากไม่ต้องการนั่งร่วมโต๊ะกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ฉินเสี่ยวเยี่ยนกลับพยักศีรษะรับปากอีกฝ่ายไปก่อนแล้ว
“ข้าได้ยินว่าศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์และสหายคนอื่น ๆ ก็ไปด้วย ถึงอย่างไรเราทุกคนก็จะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันในอนาคต เราจะถือโอกาสนี้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น”
หวังเผยยวี่ก็กล่าวอย่างกระอักกระอ่วนเช่นกัน “ในเมื่อศิษย์น้องอวี้โม่เชิญชวนอย่างอบอุ่นเช่นนี้ ข้าก็คงจะไม่กล้าปฏิเสธ”
“เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เชิญอย่างอบอุ่นอะไรทั้งสิ้น ท่านไม่ต้องลำบากใจหรอก อันที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องไป”
ฉินอวี้โม่ตอบโต้อีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย นางทราบดีว่าต่อให้กล่าวเช่นนี้ หวังเผยยวี่ก็จะตัดสินใจไปร่วมฉลองอยู่ดี ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ดูเป็นพวกโรคจิตที่ชื่นชอบความเจ็บปวดและมักหาเรื่องให้ตนเองต้องอับอายเป็นประจำ
“…”
หวังเผยยวี่พูดไม่ออกทันทีและได้เพียงจ้องหน้าฉินอวี้โม่อย่างฉุนเฉียวก่อนแยกไปเปลี่ยนอาภรณ์ในห้องของตน
ฉินเสี่ยวเยี่ยนก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวเช่นกัน ภายในหนึ่งก้านธูปต่อมา สตรีจากห้องพักทั้งสองห้องก็ออกมากันพร้อมหน้าโดยที่แต่งตัวกันอย่างหรูหราโอ่อ่า
จากนั้นพวกนางก็มุ่งหน้าไปยังภัตตาคารอย่างรีบร้อนราวกับกำลังไปร่วมงานเลี้ยงชุดราตรี
ภายในภัตตาคาร เจียงฉาและคนอื่น ๆ ซึ่งล่วงหน้ามาก่อนได้สั่งอาหารไว้ส่วนหนึ่งแล้วและกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินเข้ามา ลั่วซือก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะไปสั่งอาหารเพิ่มสักสิบอย่าง !”
นางกล่าวด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษและสั่งอาหารเพิ่มอีกหลากหลายชนิดซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเมนูโปรดของตนเอง