ตอนนี้สายตาที่หลี่เสี่ยวเฟินมองเซียวซูหรัน มีความอิจฉามากขึ้น และใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกจิตตกมากขึ้น

เพราะหลี่เสี่ยวเฟินชอบเย่เฉิน เคยฝันไปตั้งแต่เด็กว่าอยากจะแต่งงานกับเย่เฉิน และเป็นภรรยาของเย่เฉิน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ลืมความฝันนี้ แต่ดูแล้วตอนนี้ตัวเธอคงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว

เธอก็เลยยิ่งอิจฉาเซียวซูหรัน เพราะเธอเห็นว่า เซียวซูหรันหาผู้ชายที่ดีที่สุดในโลกได้ และเซียวซูหรันก็จะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกด้วย

ป้าหลี่ยิ้มอ่อนๆ ออกว่า: “ธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญ แต่บางครั้งครอบครัวก็สำคัญเหมือนกันนะ ผู้หญิงอย่างพวกเรา ไม่ควรมีลูกตอนอายุมาก จะมีผลกระทบกับร่างกาย”

เซียวซูหรันหน้าแดงและพยักหน้า

ตอนนี้หลี่เสี่ยวเฟินพูดอย่างเกรงใจว่า: “ป้าหลี่ เมื่อกี้เจ้าของร้านอาหารโทรมา บอกว่าระบบไฟฟ้าของร้านอาหารมีปัญหา วันนี้เราคงต้องเปลี่ยนที่กินข้าวกะทันหันแล้วแหละ”

ป้าหลี่ยิ้มและพูดว่า: “ความจริงจะกินหรือไม่กินก็ได้ แค่ป้าได้เจอทุกคนป้าก็ดีใจแล้ว บางคนป้าก็ไม่ได้เจอมานานมากแล้วด้วย”

เจี่ยงหมิงที่ถูกมองข้ามมาโดยตลอด เมื่อได้ยินประโยคนี้ สายตาของเขาได้ส่งประกาย

เขารีบยืนออกมาและพูดโพล่งออกมา: “ป้าหลี่ คืนนี้ฉันจะจัดเตรียมที่ให้ทุกคนได้กินข้าว”

ระหว่างที่พูด เขารีบเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออก และบอกกับทุกคนว่า: “ทุกคน ผมได้ไปจ้องสถานที่ไว้ที่โรงแรมข่ายเยว่แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”

ได้ข่าวว่าเจี่ยงหมิงได้จองสถานที่ในโรงแรมข่ายเยว่ คนที่อยู่ในที่เหตุการณ์รู้สึกแปลกใจมาก!

มีคนเอ่ยปากด้วยความเขินว่า: “โรงแรมข่ายเยว่เป็นโรงแรมห้าดาวเลยนะ พวกเราไปกินข้าวที่นั่น ไม่ฟุ่มเฟือยไปหน่อยหรือ? กินแค่มื้อเดียว อาจจะต้องใช้เงินสองสามหมื่นเลยนะ?”

“ใช่แล้ว! ถึงทุกคนจะหารกัน ทุกคนอาจจะต้องจ่ายอย่างน้อยคนละสองพันเลยนะ สำหรับพวกเราที่เงินเดือนน้อยแล้วพวกเราสู้ค่าใช้จ่ายแบบนี้ไม่ไหวหรอก!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เพื่อนคนอื่นๆ ก็ปรากฏสีหน้าที่เห็นด้วย

คนที่เข้าออกโรงแรมห้าดาว ส่วนมากเป็นคนที่มีฐานะทางสังคม มีเพียงพวกเขาที่มีความมั่นใจที่จะไปดื่มด่ำในที่แบบนั้น

และคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ด้วยความที่เป็นเด็กกำพร้า การศึกษาก็ไม่ได้สูง ไม่มีภูมิหลังที่ดี และไม่ได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

งานที่ทุกคนหาได้ ก็เป็นงานทั่วๆ ไปและงานใช้แรงงาน ในจำนวนคนไม่น้อย เงินเดือนยังไม่พอจ่ายค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเลยยังต้องกังวลเกี่ยวกับค่าอาหารและของใช้ประจำวันด้วย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อทุกคนได้ยินว่าจะไปกินที่โรงแรมห้าดาว ทุกคนก็เริ่มกังวลแล้ว กลัวว่าตัวเองจะมีเงินไม่พอ กลัวคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองจน

ขณะนี้เจี่ยงหมิงก็ได้ยิ้ม และตีไปที่หน้าอกของตัวเองแล้วพูดว่า: “ทุกคนไม่ต้องกังวลนะ มื้อนี้ผมจะช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายทั้งหมด และพวกเธอก็ช่วยกันจ่ายอีกครึ่งหนึ่ง ฉันเดาว่าทุกคนหารกันแล้วน่าจะจ่ายไม่เกิดคนละร้อยสองร้อยนะเป็นอย่างไง?”

ได้ยินเขาพูดแบบนี้ คนส่วนใหญ่ถึงโล่งใจ

เจี่ยงหมิงจ่ายค่าอาหารครึ่งหนึ่ง สามารถลดความกดดันของทุกคนได้ไม่น้อย

มีคนอดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “เจี่ยงหมิง ให้นายออกค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง ทำแบบนี้ฉันเกรงใจมากเลยนะ!”

เจี่ยงหมิงแสดงท่าทางไม่สนใจอะไรและโบกมือ แล้วหัวเราะ: “วันนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการจัดงานเลี้ยงต้อนรับป้าหลี่หลับมาฉันจ่ายเงินเยอะหน่อยก็ไม่เป็นไร!”

ที่จริงแล้วทุกคนไม่รู้ว่า ในมือของเขามีงบที่เอาไว้เลี้ยงลูกค้าของบริษัทพอดี สิ่งที่เขาคิดก็คือ อาหารมื้อนี้สองสามหมื่น ดูผิวเผินแล้วเหมือนเขาเป็นคนจ่ายครึ่งหนึ่ง แต่ความจริงแล้ว คนอื่นต่างหากที่ออกค่าอาหารอีกครึ่งหนึ่ง

ถึงตอนนั้น ตัวเองเอาใบเสร็จไปเบิกที่บริษัท ไม่เพียงได้เงินที่จ่ายไปครึ่งหนึ่งกลับมา แถมยังได้เงินอีกครึ่งหนึ่งที่พวกเพื่อนๆ ช่วยจ่ายนั้นกลับมาด้วย!

ยกตัวอย่างเช่นอาหารมื้อหนึ่ง สามหมื่น ตัวเขาจ่ายหมื่นห้า และเพื่อนทุกคนจ่ายอีกหมื่นห้า และหลังจากกินข้าวเสร็จตัวเขาก็เอาใบเสร็จไปเบิกเงินสามหมื่นที่บริษัท ตัวเองไม่เพียงได้หน้า ได้น้ำใจของคน แถมยังได้เงินหมื่นห้ามาฟรีๆ อีกด้วย!

อะไรที่ทำแล้วมีความสุขทำไมถึงไม่ทำละ?