ก่อนหน้าเหตุการณ์สุสานเทียนซู พวกเขาเองก็ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว พวกเขาเป็นเหมือนคนแปลกหน้า หรือจะพูดว่าหันหลังให้กันเป็นศัตรูเลยก็ได้ แต่ก็ยังคงเป็นอาจารย์และลูกศิษย์ ในวัดเก่าแห่งเมืองซีหนิงเคยร่วมใช้ชีวิตด้วยกันกว่าสิบปี ต่างก็เข้าใจกันและกันอย่างที่สุด อาศัยอากัปกิริยาเพียงเล็กน้อยแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของแววตาก็สามารถล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ นี่ก็คือความรู้สึกนั่นเอง
ซางสิงโจวรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเฉินฉางเซิงเมื่อเขาหยิบกระบี่เล่มนั้นออกมาจากกระถางดอกไม้ จึงถามคำถามนั้นออกไป
แต่หลังจากได้รับการยืนยันจากเฉินฉางเซิงแล้ว เขาก็ไม่ได้ผ่อนปรนลงและก็ไม่ได้ลำพองใจ กลับถามต่อไปอีกหนึ่งคำถาม
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด”
เฉินฉางเซิงคือเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายปีนัก แต่เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าสิ่งปลูกสร้างสีแดงผืนนี้คือที่ใด——สำนักฝึกหลวงนั้นใหญ่มาก ตลอดหลายปีมานี้เขาร่ำเรียนและใช้ชีวิตจำกัดอยู่แค่ในป่าที่ใกล้กับวังหลวงและบริเวณหอตำราเท่านั้น สิ่งเหล่านั้นยังใหญ่ไม่เท่าหนึ่งในสิบของสำนักฝึกหลวงเสียด้วยซ้ำ
ซางสิงโจวเอ่ยต่อ “ที่นี่คือหอเฟิง ต้นชิวเฟิงสองแถวนั้นเป็นข้าเองที่ย้ายพวกมันมาจากสำนักการศึกษากลางในปีนั้น”
เฉินฉางเซิงคิดในใจว่ามิน่าเล่าเขาถึงได้ดูคุ้นเคยยิ่งนัก
“เหมยหลี่ซาคือสหายของข้า”
ซางสิงโจวมองไปที่ใบหน้าของเขา ก่อนเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนว่า “เขาเองก็ชื่นชมเจ้า ข้าไม่เข้าใจนัก จนกระทั่งตอนนี้จึงเข้าใจขึ้นบ้าง”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าตนเองควรจะรู้สึกทะนงตนและปลื้มใจ หรือควรจะปล่อยให้ความปวดร้าวที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจแทรกซึมออกมาดี เขาทำได้เพียงนิ่งเงียบ
เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้แล้ว การพูดคำพูดเช่นนี้มันจะมีความหมายอะไรกัน หรืออาจจะเป็นเพราะซางสิงโจวมั่นใจว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงได้ถูกใช้ไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว และคงคิดว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้หรือแม้แต่กระทั่งสิ้นชีพลงจึงได้รู้สึกทอดถอนใจน่ะหรือ แต่เช่นนั้นประวัติความเป็นมาของหอเฟิงจะยังมีความสำคัญอะไรอีกเล่า
ซางสิงโจวหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกตึกก่อนเอ่ยว่า ในปีนั้นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นที่นี่
ในปีนั้นก็คือยี่สิบกว่าปีก่อน การนองเลือดของสำนักฝึกหลวงเกิดขึ้นในคืนนั้น
ไม่รู้ว่าการที่หอเฟิงกลายเป็นสีแดงสะดุดตาเช่นนี้เป็นเพราะคืนนั้นได้อาบไปด้วยโลหิตมากมายใช่หรือไม่
“ในคืนนั้น ผู้คนมากมายเสียชีวิตลงที่นี่ เด็กหนุ่มมากมาย พวกเขาเก่งกาจเหมือนกับเจ้า หรืออาจจะเก่งกาจยิ่งกว่าเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
ซางสิงโจวถอนสายตาและมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยว่า “ในชีวิตนี้ข้าเห็นความตายมามากนัก ข้าเองไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจงอย่าคาดหวังว่าข้าจะใจอ่อน”
ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนยิ่งนัก
หากว่าเฉินฉางเซิงไม่ยอมแพ้แล้วล่ะก็ เขาก็ไม่หวั่นที่จะสังหารเฉินฉางเซิงด้วยตนเองภายใต้กระบี่นี้
เฉินฉางเซิงมิได้ยอมแพ้ ไม่แม้แต่เอ่ยคำพูดใดออกมา และยังคงรักษาไว้ซึ่งความเงียบ
เขายกมือขวาขึ้นมา กระบี่สั้นขวางขึ้นตรงหน้า เศษโคลนร่วงหล่น แสงเย็นเยือกสว่างจ้า
ซางสิงโจวเข้าใจในการเลือกของเขา พลางเดินเข้าไปหาเขา
รอยเท้าที่ชัดเจนปรากฏบนพื้น
ทุกรอยเท้าล้วนเปล่งประกาย จากนั้นก็แผดเผาขึ้น
บนท้องฟ้าสีเขียวหลังจากที่เมฆสลายไปแล้ว ดวงอาทิตย์ก็สว่างอย่างหาใดเทียบได้ สาดส่องไปทั่วทั้งสำนักฝึกหลวง
หอเฟิงที่ถูกแสงสาดส่องก็สว่างจ้าราวกับมันถูกแผดเผาจริง ๆ ต้นชิวเฟิงด้านนอกเหล่านั้นไหวตามแรงลม เหมือนกับจะแลบลิ้นเพลิงออกมา
นี่คือเพลิงที่เกิดจากการเผาผลาญโลหิตข้นนับไม่ถ้วน มันมีกลิ่นไหม้จาง ๆ ลอยออกมา ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม
เพลิงโลหิตสาดส่องร่างของซางสิงโจวจนดูสูงใหญ่ผิดปกติ ดูราวกับเทพมารเลยทีเดียว
นี่คือทั้งชีวิตของเขา คือทั้งชีวิตของหวังจือเช่อ ทั้งยังท่านผู้อาวุโสตระกูลถังรวมถึงคนอื่น ๆ เช่นกัน
พวกเขาจะไม่มีทางล้มเลิกความคิดและการยืนหยัดของตนด้วยเรื่องใด ๆ ก็ตาม
เสียงกรีดร้องดังขึ้น
ด้านในหอเฟิงมีลมโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
ต้นชิวเฟิงพัดปลิวรุนแรง ราวกับลิ้นเพลิงกำลังสาดพ่น และกระทั่งลามเลียไปยังท้องฟ้าที่ครอบพื้นปฐพี
มือทั้งสองข้างของซางสิงโจวที่กุมกระบี่อยู่สะบั้นลง เกิดเพลิงโลหิตขึ้น
เพลิงโลหิตสว่างไสว แต่เงาร่างของเขากลับมืดครึ้มและเย็นชา ทั้งสองขับกันและกันให้ดูสว่างชัดเจนยิ่งขึ้น
เกิดเสียงดังสนั่น เพลิงโลหิตสาดกระเด็นเป็นเปลวเพลิงนับไม่ถ้วน โบยบินว่อนไปทั่วหอเฟิง ทั้งทำให้พื้นและเสาที่ทางเดินติดไฟ
กระบี่สั้นบินทะลุออกไปนอกหน้าต่าง เฉินฉางเซิงถอยหลังไปกว่าสิบก้าว กระอักเอาโลหิตสดออกมา
ซางสิงโจวยกกระบี่ขึ้น ก่อนเดินเข้าไปหาเขาอีกครั้ง
สีหน้าของเฉินฉางเซิงปราศจากแววตาความกังวลใด ๆ
เขาเอ่ยกับซางสิงโจวว่า “ยอมแพ้เถิด อาจารย์”
ตั้งแต่ตอนแรก เขาก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา
ในทะเลสาบ ด้านหน้าหอตำรา และในหลายที่ เขาเก็บกระบี่มาเล่มหนึ่ง ก็พูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้น กระบี่เหล่านั้นก็ทยอยถูกซางสิงโจวฟันหายไป
ตอนนี้กระบี่เล่มสุดท้ายของเขาก็หายไปแล้ว ยังพูดคำนี้อีกหรือ
สีหน้าของซางสิงโจวไม่ได้ปรากฏแววตาเยาะเย้ยออกมา และก็ไม่ได้สงสัย
ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าความมั่นอกมั่นใจของเฉินฉางเซิงนั้นมาจากที่แห่งใด
เฉินฉางเซิงยกมือขวาขึ้น
นอกจากอากาศและแสงเพลิงแล้ว ที่นั่นก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
หรือเขายังสามารถเสกกระบี่เล่มหนึ่งขึ้นมาจากอากาศได้อีกหรือ
ไม่ไกลออกไปนัก เกิดเสียงฉีกขาดดังขึ้นบนอากาศ
แควก แสงเย็นทอดผ่านหน้าต่างที่หักพัง จากนั้นก็หายไป
กระบี่สั้นเล่มนั้นกลับคืนสู่มือของเฉินฉางเซิง
ต่อมา เสียงแหวกอากาศนับไม่ถ้วนดังขึ้นจากทั่วทุกมุมของสำนักฝึกหลวง
เสียงนั้นช่างแหลมเล็ก แน่นอนว่าให้ความรู้สึกที่แหลมคม
เสียงแหวกอากาศนั้นดังและหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับพายุฝน แต่มันเหมือนลูกธนูที่ตกลงมาราวกับพายุฝน
แสงกระบี่นับไม่ถ้วน สว่างขึ้นจากใต้ต้นเหมย จากต้นไม้ และจากน้ำ
ต้นเหมยเก่าแก่ถูกตัดขาดอย่างเรียบร้อย มองดูเหมือนกระถางธูปที่เผาไหม้มาสามวันสามคืน
ต้นไม้โบราณมีรูปรากฏขึ้นสิบรู เหมือนรูขลุ่ยของเทพเจ้าเสียจริง
ระลอกคลื่นจำนวนมากปรากฏขึ้นในทะเลสาบ ราวกับว่าปลาคาร์ฟอ้วนหลายร้อยตัวกำลังดิ้นรน ว่ายทวนน้ำจากก้นโคลนที่เน่าเหม็น
กระบี่เหล่านั้นที่ถูกถังซานสือลิ่วซ่อนเอาไว้ในสำนักฝึกหลวง
กระบี่เหล่านั้นที่ถูกเฉินฉางเซิงทยอยหาพบ
กระบี่เหล่านั้นที่ถูกซางสิงโจวโจมตีตกไป
แหวกอากาศกลับมาอีกครั้ง
พวกมันบินไปทางหอเฟิง
กระบี่กว่าสิบเล่มมาถึงยังข้างกายเฉินฉางเซิง
ซางสิงโจวมองมาที่เขาก่อนเอ่ย “ไม่พอ”
เฉินฉางเซิงใช้นิ้วเคาะกระบี่สั้นเบา ๆ
เสียงกระบี่ที่คมชัดกระจายไปทั่วพร้อมกับเจตนาของดาบที่เย็นชาและบริสุทธิ์
เกิดเสียงดังป๊อก ปิ่นมวยผมของซางสิงโจวหักลง
ปิ่นไม้รูปอีกาดำที่ดูธรรมดา ๆ นั้น ในเวลานี้มันหักลง ช่างผิดปกติยิ่งนัก
แสงเยือกเย็นมากมายหลั่งไหลออกมาจากในนั้น ราวกับแม่น้ำสายใหญ่ ให้ความรู้สึกลิงโลดยิ่งนัก
ลมพัดโหมกระหน่ำ ต้นชิวเฟิงที่แกว่งไปมาถูกเฉือนละเอียด กลายเป็นละอองสีแดงปลิวว่อน โบยบินไปรอบทิศทาง
ชายคาของศาลาถูกตัดเป็นเส้นตรงจำนวนนับไม่ถ้วน บนผนังและเสาสีแดงถูกตัดจนเต็มไปด้วยเป็นรอยลายพร้อย
ดวงไฟที่ใกล้จะถูกพระอาทิตย์แผดเผาก็ยังคงต้องอาศัยสิ่งนั้นในการดำรงอยู่
หากไร้ซึ่งผิวหนัง ตึกสูงพังทลาย เพลิงโลหิตจะอยู่ต่อได้อย่างไร
ลิ้นเพลิงที่แผดเผาไปบนท้องฟ้าค่อย ๆ หายไป และสีก็จางลงไปด้วย จนในที่สุดก็หายไปในความว่างเปล่า
แสงสว่างจากท้องฟ้าทอดตกลงมาบนหอเฟิงที่ผุพัง
กระบี่นับพันเล่มลอยคว้างอยู่รอบด้านของเฉินฉางเซิง
เจตนากระบี่ที่เยือกเย็นและน่ากลัวเติมเต็มอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
ราวกับมีการเชื่อมโยงของเจตนาค่ายกลระหว่างเจตนากระบี่เหล่านี้ ไหลเวียนวนไม่มีที่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกที่ไม่อาจทำลายล้างได้
เฉินฉางเซิงมองไปยังซางสิงโจว ก่อนเอ่ยถาม “ตอนนี้พอหรือยัง”
……
……