ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 71 หอเฟิงหลิน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

​ก่อนหน้า​เหตุการณ์​สุสาน​เทียน​ซู​ ​พวกเขา​เอง​ก็​ไม่ได้​พบกัน​มา​หลาย​ปี​แล้ว​ ​พวกเขา​เป็น​เหมือน​คนแปลกหน้า​ ​หรือ​จะ​พูดว่า​หันหลัง​ให้​กัน​เป็น​ศัตรู​เลย​ก็ได้​ ​แต่​ก็​ยังคง​เป็น​อาจารย์​และ​ลูกศิษย์​ ​ใน​วัด​เก่า​แห่ง​เมือง​ซี​หนิง​เคย​ร่วม​ใช้ชีวิต​ด้วยกัน​กว่า​สิบ​ปี​ ​ต่าง​ก็​เข้าใจ​กันและกัน​อย่างที่​สุด​ ​อาศัย​อากัปกิริยา​เพียง​เล็กน้อย​แม้แต่​การเปลี่ยนแปลง​ของ​แววตา​ก็​สามารถ​ล่วงรู้​ได้​ว่า​อีก​ฝ่าย​กำลัง​คิด​สิ่งใด​อยู่​ ​นี่​ก็​คือ​ความรู้สึก​นั่นเอง

​ซาง​สิง​โจว​รับรู้​ได้​ถึง​อารมณ์​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง​เมื่อ​เขา​หยิบ​กระบี่​เล่ม​นั้น​ออกมา​จาก​กระถางดอกไม้​ ​จึง​ถาม​คำถาม​นั้น​ออก​ไป

​แต่​หลังจาก​ได้รับ​การ​ยืนยัน​จาก​เฉิน​ฉาง​เซิง​แล้ว​ ​เขา​ก็​ไม่ได้​ผ่อนปรน​ลง​และ​ก็​ไม่ได้​ลำพองใจ​ ​กลับ​ถาม​ต่อไป​อีก​หนึ่ง​คำถาม

​“​เจ้า​รู้​หรือไม่​ว่าที่​นี่​คือ​ที่ใด​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​คือ​เจ้าสำนัก​ของ​สำนัก​ฝึก​หลวง​ ​ใช้ชีวิต​อยู่​ที่นี่​มา​หลาย​ปีนัก​ ​แต่​เขา​ไม่รู้​จริง​ ​ๆ​ ​ว่า​สิ่งปลูกสร้าง​สีแดง​ผืน​นี้​คือ​ที่ใด​—​—​สำนัก​ฝึก​หลวง​นั้น​ใหญ่​มาก​ ​ตลอด​หลาย​ปี​มานี​้​เขา​ร่ำเรียน​และ​ใช้ชีวิต​จำกัด​อยู่​แค่​ใน​ป่า​ที่​ใกล้​กับ​วัง​หลวง​และ​บริเวณ​หอ​ตำรา​เท่านั้น​ ​สิ่ง​เหล่านั้น​ยัง​ใหญ่​ไม่​เท่า​หนึ่ง​ใน​สิบ​ของ​สำนัก​ฝึก​หลวง​เสียด​้วย​ซ้ำ​

​ซาง​สิง​โจว​เอ่ย​ต่อ​ ​“​ที่นี่​คือ​หอ​เฟิง​ ​ต้น​ชิว​เฟิง​สอง​แถว​นั้น​เป็น​ข้า​เอง​ที่​ย้าย​พวก​มัน​มาจาก​สำนัก​การศึกษา​กลาง​ใน​ปีนั​้น​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​คิดในใจ​ว่า​มิน่าเล่า​เขา​ถึง​ได้​ดู​คุ้นเคย​ยิ่งนัก

​“​เหมย​หลี​่​ซาคื​อส​หาย​ของ​ข้า​”

​ซาง​สิง​โจว​มอง​ไป​ที่​ใบหน้า​ของ​เขา​ ​ก่อน​เอ่ย​ออกมา​ด้วย​อารมณ์​ความรู้สึก​ที่​ซับซ้อน​ว่า​ ​“​เขา​เอง​ก็​ชื่นชม​เจ้า​ ​ข้า​ไม่เข้าใจ​นัก​ ​จนกระทั่ง​ตอนนี้​จึง​เข้าใจ​ขึ้น​บ้าง​”​

​เมื่อ​ได้ยิน​คำกล่าว​นี้​เฉิน​ฉาง​เซิง​ไม่รู้​ว่า​ตนเอง​ควรจะ​รู้สึก​ทะนง​ตน​และ​ปลื้มใจ​ ​หรือ​ควรจะ​ปล่อย​ให้​ความปวดร้าว​ที่อยู่​ใน​ส่วนลึก​ของ​หัวใจ​แทรกซึม​ออกมา​ดี​ ​เขา​ทำได้​เพียง​นิ่งเงียบ

​เวลา​ล่วงเลย​มา​จนถึง​ตอนนี้​แล้ว​ ​การ​พูด​คำพูด​เช่นนี้​มัน​จะ​มีความหมาย​อะไร​กัน​ ​หรือ​อาจจะ​เป็น​เพราะ​ซาง​สิง​โจว​มั่นใจ​ว่า​กระบี่​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ได้​ถูก​ใช้​ไป​จน​เกือบ​หมดสิ้น​แล้ว​ ​และ​คง​คิด​ว่า​เขา​จะ​ต้อง​พ่ายแพ้​หรือ​แม้แต่​กระทั่ง​สิ้นชีพ​ลง​จึง​ได้​รู้สึก​ทอดถอนใจ​น่ะ​หรือ​ ​แต่​เช่นนั้น​ประวัติ​ความเป็นมา​ของ​หอ​เฟิง​จะ​ยัง​มีความสำคัญ​อะไร​อีก​เล่า

​ซาง​สิง​โจว​หมุนตัว​เดิน​ออก​ไป​ด้านนอก​ตึก​ก่อน​เอ่ย​ว่า​ ​ใน​ปีนั​้​นกา​รต​่​อสู​้​ครั้งสุดท้าย​เกิดขึ้น​ที่นี่

​ใน​ปีนั​้​นก​็​คือ​ยี่สิบ​กว่า​ปีก่อน​ ​การนองเลือด​ของ​สำนัก​ฝึก​หลวง​เกิดขึ้น​ใน​คืน​นั้น

​ไม่รู้​ว่าการ​ที่​หอ​เฟิ​งก​ลาย​เป็น​สีแดง​สะดุดตา​เช่นนี้​เป็น​เพราะ​คืน​นั้น​ได้​อาบ​ไป​ด้วย​โลหิต​มากมาย​ใช่​หรือไม่

​“​ใน​คืน​นั้น​ ​ผู้คน​มากมาย​เสียชีวิต​ลง​ที่นี่​ ​เด็กหนุ่ม​มากมาย​ ​พวกเขา​เก่งกาจ​เหมือนกับ​เจ้า​ ​หรือ​อาจจะ​เก่งกาจ​ยิ่งกว่า​เจ้า​เสียด​้วย​ซ้ำ​”

​ซาง​สิง​โจว​ถอน​สายตา​และ​มอง​ไป​ยัง​เฉิน​ฉาง​เซิง​ก่อน​เอ่ย​ว่า​ ​“​ใน​ชีวิต​นี้​ข้า​เห็น​ความตาย​มามาก​นัก​ ​ข้า​เอง​ไม่ได้​สนใจ​อีกต่อไป​แล้ว​ ​ดังนั้น​จงอย​่า​คาดหวัง​ว่า​ข้า​จะ​ใจอ่อน​”

​ความหมาย​ของ​ประโยค​นี้​ชัดเจน​ยิ่งนัก

​หากว่า​เฉิน​ฉาง​เซิง​ไม่ยอม​แพ้​แล้ว​ล่ะ​ก็​ ​เขา​ก็​ไม่​หวั่น​ที่จะ​สังหาร​เฉิน​ฉาง​เซิง​ด้วย​ตนเอง​ภายใต้​กระบี่​นี้

​เฉิน​ฉาง​เซิง​มิได้​ยอมแพ้​ ​ไม่​แม้แต่​เอ่ย​คำพูด​ใด​ออกมา​ ​และ​ยังคง​รักษา​ไว้​ซึ่ง​ความ​เงียบ

​เขา​ยกมือ​ขวา​ขึ้น​มา​ ​กระบี่​สั้น​ขวาง​ขึ้น​ตรงหน้า​ ​เศษ​โคลน​ร่วงหล่น​ ​แสง​เย็นเยือก​สว่างจ้า

​ซาง​สิง​โจว​เข้าใจ​ใน​การ​เลือก​ของ​เขา​ ​พลาง​เดิน​เข้าไป​หา​เขา

​รอยเท้า​ที่​ชัดเจน​ปรากฏ​บน​พื้น

​ทุก​รอยเท้า​ล้วน​เปล่งประกาย​ ​จากนั้น​ก็​แผดเผา​ขึ้น

​บน​ท้องฟ้า​สีเขียว​หลังจากที่​เมฆ​สลาย​ไป​แล้ว​ ​ดวงอาทิตย์​ก็​สว่าง​อย่าง​หา​ใด​เทียบ​ได้​ ​สาดส่อง​ไป​ทั่วทั้ง​สำนัก​ฝึก​หลวง

​หอ​เฟิง​ที่​ถูก​แสง​สาดส่อง​ก็​สว่างจ้า​ราวกับ​มัน​ถูก​แผดเผา​จริง​ ​ๆ​ ​ต้น​ชิว​เฟิ​งด​้า​นน​อก​เหล่านั้น​ไหว​ตาม​แรงลม​ ​เหมือนกับ​จะ​แลบลิ้น​เพลิง​ออกมา

​นี่​คือ​เพลิง​ที่เกิด​จาก​การเผาผลาญ​โลหิต​ข้น​นับไม่ถ้วน​ ​มัน​มีกลิ่น​ไหม้​จาง​ ​ๆ​ ​ลอย​ออกมา​ ​ให้ความรู้​สึก​ถึง​ความแข็ง​แกร่ง​และ​น่าเกรงขาม

​เพลิง​โลหิต​สาดส่อง​ร่าง​ของ​ซาง​สิง​โจว​จน​ดู​สูงใหญ่​ผิดปกติ​ ​ดูรา​วกับ​เทพ​มาร​เลย​ทีเดียว

​นี่​คือ​ทั้ง​ชีวิต​ของ​เขา​ ​คือ​ทั้ง​ชีวิต​ของ​หวัง​จือ​เช่อ​ ​ทั้ง​ยัง​ท่าน​ผู้อาวุโส​ตระกูล​ถัง​รวมถึง​คนอื่น​ ​ๆ​ ​เช่นกัน

​พวกเขา​จะ​ไม่มีทาง​ล้มเลิก​ความคิด​และ​การ​ยืนหยัด​ของ​ตน​ด้วย​เรื่อง​ใด​ ​ๆ​ ​ก็ตาม

​เสียง​กรีดร้อง​ดัง​ขึ้น

​ด้านใน​หอ​เฟิ​งมี​ลม​โหมกระหน่ำ​อย่าง​บ้าคลั่ง

​ต้น​ชิว​เฟิง​พัด​ปลิว​รุนแรง​ ​ราวกับ​ลิ้น​เพลิง​กำลัง​สาด​พ่น​ ​และ​กระทั่ง​ลาม​เลีย​ไป​ยัง​ท้องฟ้า​ที่​ครอบ​พื้นปฐพี

​มือ​ทั้งสอง​ข้าง​ของ​ซาง​สิง​โจว​ที่​กุม​กระบี่​อยู่​สะบั้น​ลง​ ​เกิด​เพลิง​โลหิต​ขึ้น

​เพลิง​โลหิต​สว่างไสว​ ​แต่​เงา​ร่าง​ของ​เขา​กลับ​มืดครึ้ม​และ​เย็นชา​ ​ทั้งสอง​ขับ​กันและกัน​ให้​ดู​สว่าง​ชัดเจน​ยิ่งขึ้น

​เกิด​เสียงดัง​สนั่น​ ​เพลิง​โลหิต​สาด​กระเด็น​เป็น​เปลวเพลิง​นับไม่ถ้วน​ ​โบยบิน​ว่อน​ไป​ทั่ว​หอ​เฟิง​ ​ทั้ง​ทำให้​พื้น​และ​เสา​ที่ทาง​เดิน​ติดไฟ

​กระบี่​สั้น​บิน​ทะลุ​ออก​ไปนอก​หน้าต่าง​ ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ถอยหลัง​ไป​กว่า​สิบ​ก้าว​ ​กระอัก​เอา​โลหิต​สด​ออกมา

​ซาง​สิง​โจว​ยก​กระบี่​ขึ้น​ ​ก่อน​เดิน​เข้าไป​หา​เขา​อีกครั้ง

​สีหน้า​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ปราศจาก​แววตา​ความกังวล​ใด​ ​ๆ

​เขา​เอ่ย​กับ​ซาง​สิง​โจว​ว่า​ ​“​ยอมแพ้​เถิด​ ​อาจารย์​”

​ตั้งแต่​ตอนแรก​ ​เขา​ก็​เอ่ย​ประโยค​นี้​ขึ้น​มา

​ใน​ทะเลสาบ​ ​ด้านหน้า​หอ​ตำรา​ ​และ​ใน​หลาย​ที่​ ​เขา​เก็บ​กระบี่​มา​เล่ม​หนึ่ง​ ​ก็​พูด​ขึ้น​มาค​รั้ง​หนึ่ง

​หลังจากนั้น​ ​กระบี่​เหล่านั้น​ก็​ทยอย​ถูก​ซาง​สิง​โจว​ฟัน​หาย​ไป

​ตอนนี้​กระบี่​เล่ม​สุดท้าย​ของ​เขา​ก็​หาย​ไป​แล้ว​ ​ยัง​พูด​คำ​นี้​อีก​หรือ

​สีหน้า​ของ​ซาง​สิง​โจว​ไม่ได้​ปรากฏ​แววตา​เยาะเย้ย​ออกมา​ ​และ​ก็​ไม่ได้​สงสัย

​ดูเหมือน​เขา​จะ​รู้​ว่าความ​มั่นอกมั่นใจ​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง​นั้น​มาจาก​ที่​แห่งใด

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ยกมือ​ขวา​ขึ้น

​นอกจาก​อากาศ​และ​แสง​เพลิง​แล้ว​ ​ที่นั่น​ก็​ไม่มี​อย่าง​อื่น​อีก

​หรือ​เขา​ยัง​สามารถ​เสก​กระบี่​เล่ม​หนึ่ง​ขึ้น​มาจาก​อากาศ​ได้​อีก​หรือ

​ไม่​ไกล​ออก​ไป​นัก​ ​เกิด​เสียง​ฉีกขาด​ดัง​ขึ้น​บน​อากาศ

​แควก​ ​แสง​เย็น​ทอด​ผ่านหน้า​ต่าง​ที่​หัก​พัง​ ​จากนั้น​ก็​หาย​ไป

​กระบี่​สั้น​เล่ม​นั้น​กลับคืน​สู่​มือ​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง

​ต่อมา​ ​เสียง​แหวก​อากาศ​นับไม่ถ้วน​ดัง​ขึ้น​จาก​ทั่วทุก​มุม​ของ​สำนัก​ฝึก​หลวง

​เสียง​นั้น​ช่าง​แหลม​เล็ก​ ​แน่นอน​ว่า​ให้ความรู้​สึก​ที่​แหลมคม

​เสียง​แหวก​อากาศ​นั้น​ดัง​และ​หนาแน่น​ขึ้น​เรื่อย​ ​ๆ​ ​ราวกับ​พายุฝน​ ​แต่​มัน​เหมือน​ลูกธนู​ที่​ตกลง​มารา​วกับ​พายุฝน

​แสง​กระบี่​นับไม่ถ้วน​ ​สว่าง​ขึ้น​จาก​ใต้​ต้น​เหมย​ ​จาก​ต้นไม้​ ​และ​จาก​น้ำ

​ต้น​เหมย​เก่าแก่​ถูก​ตัดขาด​อย่างเรียบร้อย​ ​มองดู​เหมือน​กระถางธูป​ที่​เผาไหม้​มาสาม​วัน​สาม​คืน

​ต้นไม้​โบราณ​มี​รูป​รากฏ​ขึ้น​สิบ​รู​ ​เหมือน​รู​ขลุ่ย​ของ​เทพเจ้า​เสีย​จริง

​ระลอกคลื่น​จำนวนมาก​ปรากฏ​ขึ้น​ใน​ทะเลสาบ​ ​ราวกับว่า​ปลา​คาร์​ฟอ​้​วน​หลาย​ร้อย​ตัว​กำลัง​ดิ้นรน​ ​ว่าย​ทวนน้ำ​จาก​ก้น​โคลน​ที่​เน่าเหม็น

​กระบี่​เหล่านั้น​ที่​ถูก​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​ซ่อน​เอาไว้​ใน​สำนัก​ฝึก​หลวง

​กระบี่​เหล่านั้น​ที่​ถูก​เฉิน​ฉาง​เซิง​ทยอย​หา​พบ

​กระบี่​เหล่านั้น​ที่​ถูก​ซาง​สิง​โจว​โจมตี​ตกไป

​แหวก​อากาศ​กลับมา​อีกครั้ง

​พวก​มัน​บิน​ไป​ทาง​หอ​เฟิง

​กระบี่​กว่า​สิบ​เล่ม​มาถึง​ยัง​ข้าง​กาย​เฉิน​ฉาง​เซิง

​ซาง​สิง​โจว​มอง​มาที​่​เขา​ก่อน​เอ่ย​ ​“​ไม่พอ​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ใช้​นิ้ว​เคาะ​กระบี่​สั้น​เบา​ ​ๆ

​เสียง​กระบี่​ที่​คมชัด​กระจาย​ไป​ทั่ว​พร้อมกับ​เจตนา​ของ​ดาบ​ที่​เย็นชา​และ​บริสุทธิ์

​เกิด​เสียงดัง​ป๊อก​ ​ปิ่น​มวยผม​ของ​ซาง​สิง​โจว​หัก​ลง

​ปิ่น​ไม้​รูป​อีกา​ดำ​ที่​ดู​ธรรมดา​ ​ๆ​ ​นั้น​ ​ในเวลานี้​มัน​หัก​ลง​ ​ช่าง​ผิดปกติ​ยิ่งนัก

​แสง​เยือกเย็น​มากมาย​หลั่งไหล​ออกมา​จาก​ใน​นั้น​ ​ราวกับ​แม่น้ำ​สาย​ใหญ่​ ​ให้ความรู้​สึก​ลิงโลด​ยิ่งนัก

​ลม​พัด​โหมกระหน่ำ​ ​ต้น​ชิว​เฟิง​ที่​แกว่ง​ไปมา​ถูก​เฉือน​ละเอียด​ ​กลายเป็น​ละออง​สีแดง​ปลิว​ว่อน​ ​โบยบิน​ไปร​อบ​ทิศทาง

​ชายคา​ของ​ศาลา​ถูก​ตัด​เป็น​เส้นตรง​จำนวนนับ​ไม่​ถ้วน​ ​บน​ผนัง​และ​เสา​สีแดง​ถูก​ตัด​จน​เต็มไปด้วย​เป็น​รอย​ลายพร้อย

​ดวงไฟ​ที่​ใกล้​จะ​ถูก​พระอาทิตย์​แผดเผา​ก็​ยังคง​ต้อง​อาศัย​สิ่ง​นั้น​ใน​การดำรงอยู่

​หาก​ไร้​ซึ่ง​ผิวหนัง​ ​ตึกสูง​พังทลาย​ ​เพลิง​โลหิต​จะ​อยู่​ต่อ​ได้​อย่างไร

​ลิ้น​เพลิง​ที่​แผดเผา​ไป​บน​ท้องฟ้า​ค่อย​ ​ๆ​ ​หาย​ไป​ ​และ​สี​ก็​จาง​ลง​ไป​ด้วย​ ​จน​ในที่สุด​ก็​หาย​ไป​ใน​ความว่างเปล่า

​แสงสว่าง​จาก​ท้องฟ้า​ทอด​ตกลง​มาบน​หอ​เฟิง​ที่​ผุพัง

​กระบี่​นับ​พัน​เล่ม​ลอยคว้าง​อยู่​รอบด้าน​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง

​เจตนา​กระบี่​ที่​เยือกเย็น​และ​น่ากลัว​เติมเต็ม​อยู่​ระหว่าง​ฟ้า​และ​ดิน

​ราวกับ​มี​การ​เชื่อมโยง​ของ​เจตนา​ค่าย​กล​ระหว่าง​เจตนา​กระบี่​เหล่านี้​ ​ไหลเวียน​วน​ไม่มีที่สิ้นสุด​ ​ให้ความรู้​สึก​ที่​ไม่​อาจ​ทำลายล้าง​ได้

​เฉิน​ฉาง​เซิง​มอง​ไป​ยัง​ซาง​สิง​โจว​ ​ก่อน​เอ่ย​ถาม​ ​“​ตอนนี้​พอ​หรือยัง​”

​…​…

​…​…