ที่จริงแล้วบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ห้า และรถเบนซ์eคลาสเป็นรุ่นที่อยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งสองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมาก
แต่เจี่ยงหมิงรู้ว่า รถบีเอ็มดับเบิลยู520ของเย่เฉิน เป็นรถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นราคาถูกที่สุดและธรรมดาที่สุดของ รถเบนซ์E300Lของตัวเอง เป็นรุ่นที่ใกล้เคียงรุ่นตัวท็อปที่สุดแล้ว รองลงมาจากรุ่นนี้ยังมีรุ่นE260กับE200
พูดง่ายๆ ก็คือ รถบีเอ็มดับเบิลยู520ของเย่เฉินก็อยู่ในระดับเดียวกับรถเบนซ์รุ่นE200 และรถเบนซ์รุ่นE300Lของเขา ก็โดดเด่นกว่าของเย่เฉิน
เขาก็เลยตั้งใจพูดว่า: “โธ่เอ๋ย เย่เฉิน ไม่ใช่ฉันจะว่านายนะ นายอยากได้หน้าจนทำในสิ่งที่นายไม่อยากทำ ผู้เชี่ยวชาญก็เคยบอกว่าตอนซื้อรถอย่าซื้อรุ่นที่ราคาถูกและธรรมดาที่สุด นายมีเงิน ทำไมนายไม่ซื้อบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์สามที่มีคุณภาพกลางถึงระดับสูง นายยังหน้าไม่อาย และทำเป็นเหมือนตัวเองเก่ง แล้วไปซื้อบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ห้ามา? นายไม่รู้สึกว่าตัวเองฟุ้งเฟ้อเกินไปหรือ?”
มีคนถามด้วยส่งสัยวว่า: “เจี่ยงหมิง อะไรคือรุ่นพื้นฐาน?”
เจี่ยงหมิงยิ้มและตอบว่า: “รุ่นขอทานก็คือในรถรุ่นหนึ่ง และซีรี่ส์ที่แย่และเป็นขยะของรุ่นนั้น และเป็นรถรุ่นที่พื้นฐานที่สุด อยู่ในขบวนรถรุ่นรถที่รั้งท้าย”
ทุกคนก็ได้เข้าใจทันที
เย่เฉินนึกอะไรขึ้นมาได้ทันที ตอนนั้นที่ร้านอาหารหวังเต้าคุนเปิดวันแรก หวังเถิงเฟยที่ขับรถบีเอ็มดับเบิลยู540มาโอ้อวด
นึกถึงตอนนั้นที่หวังเถิงเฟยที่ตั้งใจใช้คำพูดไปทำให้เย่เฉินทำในสิ่งที่ไม่กล้าทำ เขาอยากที่จะเอาบีเอ็มดับเบิลยู540 ไปเอาชนะรุ่น520ของเขา ทันใดนั้นเย่เฉินได้คติจากเขา
ตอนนั้นหวังเถิงเฟยตั้งใจที่จะพูดให้ตัวเองทำในสิ่งที่ไม่กล้าทำ ตอนนี้เขาก็จะคิดวิธีที่จะพูดให้เจี่ยงหมิงทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ก็คือให้เจี่ยงหมิงแข่งรถกับเขา!
ดังนั้นเขาตั้งใจพูดกับเจี่ยงหมิงว่า: “เจี่ยงหมิง มีคำพังเพยคำหนึ่งไม่รู้ว่านายเคยได้ยินมั้ย เรียกว่า ถ้าขับรถไม่เร็วปัญหาไม่ได้อยู่ที่รถ แต่อยู่ที่คนขับ ก็หมายความว่าถ้ามีเทคนิคที่ดี ไม่ว่าจะขับรถอะไรก็เร็วกว่าคนอื่น แต่ถ้าไม่มีเทคนิคการขับรถ ถึงจะขับรถF1ก็ช้าอยู่ดี”
ระหว่างที่พูด เย่เฉินมีสีหน้าที่ดูถูกและพูดว่า: “เจี่ยงหมิง ฉันไม่ได้พูดโอ้อวดนะ เทคนิคการฉันขับรถเซียนจริงๆนะ มีคนให้ฉายาฉันว่า ชูมัคเกอร์แห่งจินกลิง!”
เมื่อเจี่ยงหมิงได้ยินประโยคนี้ ก็ได้เบ้ปากทันที: “ไอ้สัตว์ นายนี่หรือชูมัคเกอร์แห่งจินหลิง? นายรู้ว่าหน้าตาของชูมัคเกอร์แห่งจินหลิงเป็นอย่างไงหรือ?”
เย่เฉินพูดด้วยสีหน้าที่ดูถูกและยิ้ม: “นายจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่นาย”
เจี่ยงหมิงพูดออกมาด้วยความไม่ยอมและดูถูกว่า: “ปากอยู่บนหน้านาย นายจะพูดโอ้อวดอย่างไงก็พูดไปเถอะ! ฉันไม่มีทางเชื่อหรอกว่าคนแบบนาย ขับรถบีเอ็มดับเบิลยู520 ยังกล้าเรียกตัวเองว่าชูมัคเกอร์แห่งจินหลิง กูแค่เหยียบคันเร่งมึงก็รั้งท้ายแล้ว!”
พูดจบ เจี่ยงหมิงก็ได้ยักคิ้วถามด้วยความอวดดีว่า: “งั้นลองมาแข่งกันมั้ย?”
“โอ้ อีกแล้วหรือ?”
เย่เฉินหัวเราะ: “ฉันจะเล่าอะไรให้ฟังนะ ก่อนหน้านี้ ฉันพึ่งเอาชนะบีเอ็มดับเบิลยู540ได้ บีเอ็มดับเบิลยู540แรงม้ามากกว่ารถเบนซ์E300Lของนายอีกนะ”
เจี่ยงหมิงถุยน้ำลายและพูดเหยียดหยามว่า: “เย่เฉินนายคิดจะโกหกจะไม่คิดคำที่จะมาโกหกเลยหรือ? รถขยะของนายนั้นหรือ? แม่งบีเอ็มดับเบิลยู540?ถุย! นายอย่าพูดถึงรุ่น540เลย วันนี้ถ้านายชนะเบนซ์E300Lของฉันได้ ฉันจะใช้นามสกุลของนายเลย!”
เย่เฉินแกล้งถามไปว่า: “รถของนายแรงม้าเท่าไหร่?”
เจี่ยงหมิงพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า: “รถของฉัน แรงม้า258!”
เย่เฉินพยักหน้าและยกนิ้วโป้งให้และพูดว่า: “งั้นนายก็สุดยอดไปเลย! รถของฉันอาจจะไม่ได้เรื่องจริงๆ แรงม้าแค่184 น้อยกว่าของนายมาก! นายเก่งกว่าฉันอีก! ”
เจี่ยงหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็นและพูดเสียดสีว่า: “ทำไมหรือ? กลัวแล้วหรือ? ไม่กล้าแข่งแล้ว? แล้วเมื่อกี้นายพูดอะไรนะ? นายเอาชนะรถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่น540 ที่มีแรงม้า340 แค่/รถเบนซ์E300Lของที่มีแรงม้า258ของฉัน นายกลัวแล้วหรือ? นายยังเป็นผู้ชายอยู่อีกมั้ย?”
เย่เฉินตั้งใจปล่อยไก่และพูดว่า: “โธ่เอ๋ย ก็บอกว่าฉันสู้นายไม่ได้หรอก ยังจะแข่งอะไรละ นายชนะแล้ว นายชนะโดยที่ไม่ต้องทำอะไร โอเคมั้ย?”