ตอนที่ 2,589 : ค่ายกลหยินหยางผกผัน!
“ฮึ่ม! ลาหัวโล้นของพวกนิกายสราญรมย์นั่น…มิมีตัวดีจริงๆ!”
ในขณะที่พวกแก้มใต้ม่านผ้าขึ้นสีแดงระเรื่อ สตรีดังกล่าวก็สบถคำออกมาอย่างรังเกียจ และเตรียมจะเหินร่างจากไป
ถึงแม้ว่านางอยากจะเข้าไปค้นหา 1 ใน 3 ศาสตราอมตะประจำนิกายของนาง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยินดีจ่ายราคาดังกล่าวออกไปสำหรับศาสตราเซียนอมตะของนิกายนางที่ไม่ต้องมีก็ได้…
นางมาจากนิกายสือหังเซียน ซึ่งศิษย์สาวกของนิกายเป็นอิสตรีล้วน! และศิษย์สาวกของนิกายสือหังเซียนไม่ว่าใครก็ใช้ชีวิตอยู่เหนือโลกีย์วิสัยดั่งนักพรตแม่ชี…
สำหรับเรื่องรักๆใคร่ๆทั้งการเสพสังวาสของชายหญิงนั้น พวกนางไม่เคยแยแส และไม่คิดจะแยแส
ในชีวิตของพวกนาง นอกจากการบ่มเพาะก็คงมีแต่การบ่มเพาะเท่านั้น
แต่ถ้าจะพูดกันจริงๆนอกจากการบ่มเพาะฝึกฝนแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่สตรีนางนี้ต้องการไปกว่าปกป้องนิกายสือหังเซียนของนาง รวมถึงนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่นิกายสือหังเซียน
‘เอาป้ายหยกนี่กลับไปให้ท่านอาจารย์กับพวกผู้อาวุโสดูก่อนดีกว่า…ส่วนจะทำอย่างไรก็ให้พวกท่านตัดสินใจกันเอาเอง’
‘บางทีท่านอาจารย์กับท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย อาจจ้างวานคู่สามีภรรยานอกนิกายให้ช่วยเข้าไปนำของสิ่งนั้นด้านในโลกใบเล็กกลับคืนสู่นิกายของพวกเรา…’
‘เพราะเรื่องนี้…ข้าทำอะไรไม่ได้จริงๆ’
คิดถึงจุดนี้สตรีงามในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน ก็ค่อยๆลอยร่างขึ้นฟ้า หมายจากไป
อย่างไรก็ตามในขณะที่ศรีษะของนางพึ่งจะโผล่พ้นผนังผาของหุบเขา นางพลันเห็นว่า…
ปรากฏร่างในชุดสีม่วงหนึ่ง เหินตัดอากาศมาฉับไวจากสุดขอบฟ้าไกลตา และไม่ทันไรก็หยุดลงในจุดที่ไม่ห่างจากนางสักเท่าไหร่ เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาคิ้วคมเข้มดั่งดาบ สองตากระจ่างใสเปล่งประกายดั่งดวงดาว!
‘เป็นเขา!’
เพียงมองปราดเดียวนางก็จดจำอีกฝ่ายได้ทันที
ชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้เป็นคนเดียวกับชายหนุ่มชุดม่วงที่นางพบเจอบนถนนในเมืองเฉวี่ยโยว ก่อนที่นางจะเหินร่างมาที่นี่วันนี้…
ตอนนั้นมีชายหนุ่มผู้นี้คนเดียว ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเคล็ดวิชาบ่มเพาะของนาง!
เช่นนั้นนางจึงประทับใจชายหนุ่มผู้นี้ไม่น้อย
‘หืม? เป็นนาง!’
ชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่พึ่งมาถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนนั่นเอง!
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่มองไปยังสตรีในชุดสีม่วงเบื้องหน้าด้วยความอึ้ง
เพราะเขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบสตรีคนนี้อีกครั้งหลังจากผ่านไปไม่นาน แถมยังมาพบเจอกันที่นี่!
เขาเหินร่างมาที่นี่เพราะคิดชมดูว่า ‘โลกใบเล็ก’ อันเป็นสถานที่ต้องห้ามของเมืองเฉวี่ยโยวนั้นเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เขาพึ่งจะเหินมาถึงหุบเขาแห่งนี้ได้ไม่ทันไร กลับมาเจอสตรีที่เขาพึ่งเห็นบนถนนในเมืองเฉวี่ยโยววันนี้ลอยร่างขึ้นมาจากหุบเขาเสียอย่างนั้น!
ที่สำคัญพอนางมาอยู่ตรงหน้าแบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจน
ว่าทั่วร่างของนางแผ่ไอพลังประหลาดออกมาราวกับไอพลังวิญญาณจากทักษะวิญญาณไม่หยุด เพียงแต่ไร้กลิ่นอายรุนแรงอะไร
ไอพลังดังกล่าวยังชำแรกเข้าร่างเขาอย่างเงียบงัน และพุ่งตรงเข้าสู่ดวงจิตของเขา
อย่างไรก็ตามพวกมันถูกพลังลี้ลับที่ชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์แผ่ออกมากลืนกินหมดสิ้น ไม่เหมือนกับผู้คนบนถนนในเมืองเฉวี่ยโยว ที่พร่ำเพ้อเหม่อลอยราวกับตกอยู่ในมนตร์สะกด
และในขณะต้วนหลิงเทียนสบตากับสตรีดังกล่าว
“หืม?”
ทันใดนั้นคล้ายเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงละสายตาจากสตรีดังกล่าว และมองไปยังความว่างเปล่าที่กำลังบิดเบือนผันผวนบริเวณใจกลางหุบเขาทันที
‘ตรงนั้น สมควรเป็นทางเข้าโลกใบเล็กสินะ…หากเข้าไปใกล้ๆ ไม่พ้นต้องถูกความผันผวนเชิงพื้นที่นั่นดูดเข้าไปแน่…’
‘แต่…ไฉนห้วงแปรปรวนนั่นคล้ายกำลังจะแผ่ขยายออกมาล่ะ?’
สาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนหันไปสนใจความว่างเปล่าที่กำลังแปรปรวนบิดเบือนในหุบเขาตรงหน้า ไม่ใช่เพราะความไม่เสถียรของพื้นที่แต่อย่างไร…
เขารู้อยู่แล้วว่าอาจจะได้เห็นภาพนี้ก่อนจะมาถึง
แต่สาเหตุที่เขาถูกดึงดูดความสนใจไปนั้น เพราะความว่างเปล่าที่กำลังผันผวนที่ว่า ดูเหมือนมันกำลังแผ่ขยายตัวออกมาเป็นวงกว้างด้วยความเร็วอันน่ากลัว!
ราวกับอีกเสี้ยวพริบตาความว่างเปล่าที่ผันผวนนั่น ก็จะปกคลุมไปทั่วหุบเขาแห่งนี้!
“ไป!!”
ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ตอบสนองสิ่งใด เสียงของผู้หญิงคนนั้น ก็ดังก้องในหูเขาประหนึ่งฟ้าร้อง
อย่างไรก็ตาม
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่สตรีดังกล่าวตะโกนออกกมา ความผันผวนดังกล่าวก็แผ่กำจายออกมาฉับไวประหนึ่งน้ำป่าไหลหลาก! ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนกับผู้หญิงคนนั้นจะได้ขยับตัวหนีไปไหน ก็ถูกคลื่นน้ำม้วนกลืนไปเสียแล้ว!!
‘แย่แล้ว!’
พริบตาที่ถูกความปั่นป่วนของมิติครอบงำ หน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนสีไปทันที เขาได้แต่ร่ำร้องในใจอย่างเสียขวัญ ก่อนที่สติของเขาจะค่อยๆพร่าเลือนลงทุกขณะ
และไม่นานสติของเขาก็ดับลงโดยสมบูรณ์
เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าตัวเขามาอยู่ในโถงถ้ำอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
“นี่มัน…”
ในขณะที่เขาค่อยๆใช้มือยันร่างให้ลุกขึ้น เขาก็พบว่า…
ตามผนังกับเพดานถ้ำมีการแกะสลักภาพเอาไว้มากมายราวจิตกรรมฝาผนัง เพียงแค่จิตกรรมฝาผนังดังกล่าวช่างพิกลนัก มันเป็นรูปนักพรตมากมาย…
และหากมีแค่รูปนักพรตหลายๆคนวาดสลักไว้ ต้วนหลิงเทียนก็คงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
แต่ข้างกายนักพรตทุกภาพดันมีภาพสตรีแกะสลักไว้ด้วย! ที่สำคัญสตรีทั้งหลายล้วนเปล่าเปลือยไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆเหมือนกันกับนักพรตชาย!!
ยิ่งไปกว่านั้นภาพนักพรตกับสตรีทั้งหลาย ก็อยู่ในท่วงท่า ‘สอดประสาน’ อันพิสดารมากมาย…
เรียกว่าเสมือนเขาได้ชมดู ตำรากามสูตร 108 ท่าฉบับจิตกรรมฝาผนังก็ว่าได้!
“ดูพอรึยัง…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองชมจิตกรรมฝาผนังลามกไปรอบๆด้วยความสนใจ เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาพบเจออะไรอย่างนี้ในที่แบบนี้ได้ พลันมีเสียงนุ่มนวลของอิสตรีหนึ่งดังขึ้นเข้าหู
เสียงนุ่มนวลดังกล่าวแม้ไพเราะน่าฟังหากแต่ให้ความรู้สึกเย็นชานัก ยังดังก้องมาจากทุกทิศทางราวกับมีเวทมนตร์ ทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ละสายตาออกมาจากตำรากามสูตรฉบับจิตกรรมฝาผนังทันที…
ต้วนหลิงเทียนที่ลุกขึ้นยืนดีแล้วก็รีบหันไปหาเจ้าของเสียงทันที
พอหันมองไปไม่นาน เขาก็พบร่างอันมีทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้าได้รูปหนึ่งยืนอยู่!
สตรีนางนี้มาในชุดกระโปรงแลดูธรรมดาสีม่วงอ่อน หว่างคิ้วโค้งดั่งขนนก ผิวกายขาวกระจ่างปานหิมะแรกฤดูหนาว เอวคอดกิ่วแลดูอรชรอ้อนแอ้นนัก
แม้นจะมีผ้าโปร่งแสงบดบังใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ หากแต่แค่เพียงดวงตาดั่งสารทฤดูแสนเย็นชา พร้อมด้วยความรู้สึกเลือนลางไม่อาจจับต้องราวมีหมอกควันปกคลุมไว้ทั่วกายนั่น ก็ทำให้สีสันรอบกายของนางคล้ายซีดจางลงไปถนัดตา
นอกจากนั้นแม้ครึ่งใบหน้านางจะถูกบดบังไว้ด้วยม่านผ้า
แต่ด้วยม่านผ้าปิดหน้าผืนน้อยของนางนั้นโปร่งแสงทั้งเบาบาง จึงทำให้เห็นเรียวคางทั้งความโค้งมนของพวงพักตร์ได้ชัดเจน
เรียกว่ามองชมแล้ว ช่างพาลให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกอย่างพุ่งไปเลิกผ้าผืนบางนี่ออกเสียให้ได้…
กระทั่งมีม่านผ้าบดบังยังชวนให้ฝันละเมอเพ้อพกถึงเพียงนี้…
แล้วหากเลิกผ้านั่นออกเสียเล่า จะทำให้ล่องลอยไปถึงสวรรค์ชั้นใด?
สตรีนางนี้ก็คือสตรีที่ต้วนหลิงเทียนเห็นบนถนนในเมืองเฉวี่ยโยวนั่นเอง และก็เป็นสตรีคนเดียวกับที่เขาพบเจอนอก ‘โลกใบเล็ก’ ที่เป็นดั่งสถานที่ต้องห้ามของเมืองเฉวี่ยโยวที่มีมานานนับหมื่นปี…
‘ข้าจำได้ว่า…ก่อนที่จะมาโผล่ที่นี่ ข้ากับนางถูกพื้นที่ผันผวนแผ่มาปกคลุม…’
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาเบาๆ เขาพยายามนึกฉากสุดท้ายก่อนที่สติเขาจะดับไป
“แม่นาง…พวกเราคงไม่ใช่ถูกความผันผวนนั่นดูดเข้ามาในโลกใบเล็กแล้วหรอกนะ!?”
ถึงแม้จะพอเดาเรื่องราววได้คร่าวๆ แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามสตรีเบื้องหน้าออกไป
“หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ถ้าข้าฆ่าเจ้า ข้าก็ต้องตายไปด้วย…ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้หรอก!”
เผชิญกับคำถามของต้วนหลิงเทียน ทั่วร่างสตรีดังกล่าวคล้ายแผ่ความเย็นชาออกมาปานจะแช่แข็งผู้คน ดวงตาคู่งามยังฉายประกายดุร้ายวูบวาบ ราวกับต้องการฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายเสียตอนนี้เลย!
“ฆ่าข้า?”
ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย จากนั้นค่อยขมวดคิ้วกล่าวว่า “แม่นาง ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เคยไปล่วงเกินอะไรให้ท่านขุ่นเคืองไม่ใช่รึไง?”
“หึ! หากมิใช่เพราะเจ้าเข้ามาใกล้ข้าในรัศมี 2ลี้…ค่ายกลหยินหยางผกผันด้านนอกโลกใบเล็กนี่จะเปิดใช้งาน จนพื้นที่แปรปรวนด้านนอกโลกใบเล็กมันแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง สุดท้ายก็ดูดข้าเข้ามาในนี้หรือไร?”
วาจาที่กล่าวออกของนางยิ่งมาก็ยิ่งทวีความเยียบเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับกลิ่นอายเย็นชาแผ่ออกมาทั่วร่างของนาง ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกราวกับฤดูหนาวมาเยือน
“ค่ายกลหยินหยางผกผัน?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วยู่ย่นเป็นปม “แม่นาง ท่านช่วยบอกให้ชัดเจนได้หรือไม่ ว่าค่ายกลหยินหยงผกผันคืออะไร…แล้วไฉนถึงได้บอกว่าหากข้าไม่เข้ามาใกล้ท่านเกินรัศมี 2 ลี้ ค่ายกลหยินหยางผกผันอะไรนั่นจะไม่เริ่มทำงาน?”
“อันใด? เจ้าคิดว่าข้ากำลังโยนความผิดให้เจ้ารึ?”
ทันใดนั้นเองกลิ่นอายทรงพลังไร้ผู้ต้านหนึ่ง พลันปะทุออกมาจากร่างสตรีดังกล่าวโถมถันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน ประหนึ่งม้าศึกนับพันย่ำเหยียบไปทั่วร่าง เลือดลมตีกลับจนกลุ่มก้อนโลหิตหนึ่งพุ่งขึ้นลำคอ สุดท้ายก็กระอักออกมาคำใหญ่
‘ร้ายกาจนัก!’
หลังกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง มองไปยังสตรีเบื้องหน้าอีกครั้ง แววตาต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น!
เพราะเขาตระหนักได้ชัดเจน
เมื่อครู่…กลิ่นอายพลังจากร่างสตรีเบื้องหน้าเพียงแผ่มากดทับเขาแค่ 1 ใน 10 ส่วนเท่านั้น ก่อนที่นางจะถอนรั้งกลับไป ทว่าอาศัยแค่เศษกลิ่นอายพลังของนางกลับทำให้เขาบาดเจ็บภายในถึงเพียงนี้!
พลังอานุภาพดังกล่าว กระทั่งต้าหลัวจินเซียนยังไม่อาจทำได้ไม่ใช่หรือ?!
ฟุ่บ!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองจ้องสตรีดังกล่าวด้วยความหวาดกลัว ไม่อาจแลเห็นว่านางเคลื่อนไหวอย่างไร ทว่าอยู่ๆก็ปรากฏป้ายหยกที่ห่อหุ้มดวยแสงสีเขียวป้ายหนึ่ง ซัดมาทางเขาปานสายฟ้า!
ต้วนหลิงเทียนพุ่งมือไปความป้ายหยกดั่งกล่าวเอาไว้ทันที ขณะเดียวกันก็มองไปยังสตรีตรงหน้าด้วยความสงสัย
เพราะเห็นชัดว่านางโยนป้ายหยกนี่มาให้เขา
“จ่ายพลังลงไปแล้วอ่านมัน…”
เสียงอันนุ่มนวลแต่แสนเย็นชาปานจะผลักไสผู้คนให้ถอยห่างไปพันลี้ดังขึ้น
ได้ยินดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็เร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขึ้นมาที่มือ ก่อนจะลองจ่ายพลังเข้าสู่ป้ายหยกดังกล่าวทันที
ทันใดนั้นชุดข้อความในป้ายหยก ก็เริ่มปรากฏขึ้นในสำนึกสติของเขา
‘โลกใบเล็กนี่…ถูกทิ้งไว้โดยยอดฝีมือของนิกายสราญรมย์…’
‘รอบๆทางเข้าออกของโลกใบเล็กด้านนอกได้ติดตั้งค่ายกลหยินหยางผกผันเอาไว้…เมื่อปรากฏหยินกับหยางอยู่ใกล้กันใน 2 ลี้ ความผันผวนเชิงพื้นที่จะปรากฏขึ้น…ดูดหยินหยางคู่นั้นเข้าสู่โลกใบเล็กทันที?’
หลังอ่านข้อความดังกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้
ว่าไฉนผู้หญิงคนนี้ถึงพูดทำนองว่านี่เป็นความผิดของเขา…