สิ่งแรกที่เขาต้องฟื้นฟูคือตัวหยั่งรู้ของร่างแยกนี้ ที่ได้รับความเสียหายครั้นเมื่ออยู่ในป่าลมสายฟ้า ตามมาด้วยกลั่นยาที่สามารถยกระดับผลการฝึกตน ยกระดับผลการฝึกตนของร่างแยกนี้ขึ้นไปถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3!

ระยะเวลา 3 เดือนผ่านไปเร่งด่วนมาก ๆ หลัวซิวไม่อยากปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปแม้วินาทีเดียว เขาเข้าสู่สภาวะการกลั่นยาอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งเดือน ยาเซียนทั้งหมดที่เขามีก็ถูกกลั่นจนหมดเกลี้ยง จากการหยิบยืมยาเซียนที่มากมายเช่นนี้มาฝึกฝีมือ มาตรฐานในการกลั่นยาของเขาก็บรรลุถึงนักยาเซียนระดับ 1 ขั้นสูงแล้ว ขอเพียงสามารถรวบรวมยาเซียนระดับ 2 ได้ในจำนวนที่แน่นอน เขาก็จะสามารถลองกลั่นยาเซียนระดับ 2 ได้ บรรลุขึ้นไปถึงแดนนักยาเซียนระดับ 2

เวลาผ่านไปครึ่งเดือนในชั่วพริบตาเดียว สภาพอาการบาดเจ็บของตัวหยั่งรู้ได้รับการฟื้นฟูแล้ว เขากระตุ้นวรยุทธ์ ปรับสภาพร่างกายตัวเองให้ขึ้นไปถึงจุดที่ดีเยี่ยมที่สุด

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวคนหนึ่งย่างกรายเข้ามาในเมืองแก้วเทว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขามีแสงสว่างไสวสลัว ๆ ปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น ทำให้คนมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา

มีนักยุทธ์จำนวนมากที่ไม่อยากเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตัวเอง ก็จะใช้วิธีนี้เช่นกัน ซึ่งเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในเมืองแก้วเทว

ชายชุดคลุมสีขาวเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งอย่างสบาย ๆ ไปถึงห้องของหลัวซิว

จัดวางค่ายกำบังไว้รอบห้อง หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่วัน พลังออร่าที่ยิ่งใหญ่ก็พรั่งพรูแพร่กระจายออกมาจากห้องที่หลัวซิวอาศัยประสิทธิผลของยาเซียน ยกระดับผลการฝึกตนจนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3

ในขณะที่ผลการฝึกตนของร่างแยกกฎความตายถูกยกระดับ ร่างแยกกฎชีวิตก็ยกระดับตามเช่นกัน ร่างแยกทั้งสองร่างบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 พร้อมกัน

หลัวซิวไม่ได้รีบรวมร่างแยกดับเบิ้ลเข้าด้วยกัน แต่เป็นการอาศัยพละกำลังอันมหาศาลที่แฝงซ่อนอยู่ในยาเซียนมายกระดับพลังสายเลือดของร่างแยกทั้งสอง ฝึกวิชาบรรเทพโลหิต

สำหรับศึกการต่อสู้ระหว่างเทียนหวูเชว ถึงแม้เขาจะมั่นใจมาก ๆ แต่กลับไม่เคยดูถูกคู่ต่อสู้อย่างเทียนหวูเชวมาก่อนเลย

ในเมื่อจะสู้ เขาก็ต้องยกระดับสภาพร่างกายตัวเองให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ภายใต้ข้อแม้การเก็บรักษาไพ่เด็ดไว้ในมือ สิ่งแรกที่ต้องทำคือฆ่าเทียนหวูเชวให้ตายบนสังเวียนชี้ชะตา!

อุปนิสัยของหลัวซิวคือเป็นคนที่สุขุมไม่ใจร้อนมาโดยตลอด และครั้งนี้สาเหตุที่เขาโกรธเกรี้ยวถึงขั้นสุด ยอมเอาตัวเองไปยืนอยู่ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ที่โหดร้ายและดุดันของผู้คน สู้กับเทียนหวูเชวอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะในใจเขารู้สึกละอายต่อเสี่ยวเจียงหมิงและช่าจื่อเยียนมาก ๆ

ตั้งแต่ที่เขาย่างกรายลงบนเส้นทางการฝึกยุทธ์ เข่นฆ่ามามากจนนับไม่ถ้วน ยอดฝีมือแห่งโลกยุทธ์ที่ตายอยู่ในเงื้อมมือเขายิ่งมีเยอะมากจนนับไม่ถ้วน แต่ทุกสิ่งอย่างที่เขาทำมานี้ เขาไม่เคยละอายแก่ใจตนเองเลย

มีเพียงเรื่องการล่มสลายของสำนักเทียนช่าที่ทำให้เขารู้สึกทรมานใจมากจากความละอาย

เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าต่อให้เอาใจแห่งศุภรกลับไปคืนตอนนี้ เรื่องการล่มสลายของสำนักเทียนช่าก็เกิดขึ้นไปแล้ว ซึ่งไม่สามารถหวนคืนกลับไปได้

สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือช่วยสำนักเทียนช่าล้างแค้น ทำลายสำนักไร้เจตสิกให้สูญสิ้น กำจัดซือถูเจิ้งเจี้ยน!

และศักยภาพในปัจจุบันของเขาก็ยังไม่สามารถทำให้สำนักไร้เจตสิกที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งสั่นคลอนได้ ยิ่งไม่สามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพอย่างซือถูเจิ้งเจี้ยนได้

การท้าประลองเทียนหวูเชวในครั้งนี้ เป็นศึกการตัดสินความเป็นความตาย และเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการล้างแค้นของเขา!

ขอเพียงมีสมุนไพรวิเศษที่เยอะมากพอ การยกระดับแดนของวิชาบรรพเทพโลหิตก็จะไม่ใช่เรื่องยาก

ร่างแยกกฎความตายได้ฝึกขั้นแรกของวิชาบรรพเทพโลหิตสำเร็จแล้ว ร่างยุทธ์ร่างเนื้อบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูง

ร่างแยกกฎชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์มาโดยตลอด ไม่มีทรัพยากรและสมบัติที่มากพอเพื่อมาฝึกวิชาบรรพเทพโลหิต ดังนั้นร่างยุทธ์ร่างเนื้อจึงอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 มาโดยตลอด

ระยะเวลาอีกหนึ่งเดือนครึ่งที่เหลือ หลัวซิวไม่เพียงยกระดับร่างยุทธ์ร่างเนื้อของร่างแยกกฎชีวิตขึ้นมาถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 แม้แต่ร่างกลเมื่อชาติปางก่อนหลี่ยู่ก็ฝึกวิชาบรรพเทพโลหิตขั้นแรกสำเร็จแล้ว

เพียงแต่ร่างเดิมของร่างกลหลี่ยู่อยู่ในแดนเทพมารตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ร่างเนื้อก็อยู่ในแดนเทพมารเช่นกัน เพราะฉะนั้นข้อดีของพลังสายเลือดจึงยังไม่แสดงออกมาให้เห็น อย่างน้อยก็ต้องบรรลุถึงแดนสำเร็จน้อย ถึงจะสังเกตเห็นพลังสายเลือดที่ถูกยกระดับแล้วได้ชัดเจน