ความตายนั้นใกล้เพียงนี้เอง

เจตจำนงเสี้ยวนี้หลอมรวมกับพลังแห่งจิตวิญญาณ สภาวะจิต และสังขารของเขา ก็เหมือนกับความคิดอย่างหนึ่ง ดูเหมือนจะสามารถลบเลือนหายไปได้ทุกเมื่อ

ทว่าเมื่อเผชิญกับความน่าสะพรึงอันยิ่งใหญ่ระหว่างความเป็นความตาย กลับไม่เคยสั่นคลอนแม้เพียงเสี้ยว!

เพียงแต่ตอนนี้ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์นั้นกลับไม่มีสายฟ้าผ่าลงมาอีก แม้แต่เสียงฟ้าร้องก็ยังเงียบสงบ

มีเพียงแสงอสนีคับฟ้าสาดเซ็น สีเงิน สีม่วง สีแดง… หลากสีสันงดงาม

“จบแล้วหรือ”

เจตจำนงเสี้ยวนี้ของหลินสวินอึ้งงัน

จบแล้วจริงๆ เมฆาเคราะห์สีดำทะมึนนั้นยังค่อยๆ เริ่มสลายไปด้วย อานุภาพสวรรค์ที่แผ่ครอบฟ้าดินทั่วทิศกำลังถอยร่นด้วยความเร็วอันน่าตกใจ

แสงอสนีพร่างพราวเต็มฟ้าราวกับได้รับการฉุดดึง แผ่ครอบเจตจำนงเสี้ยวนี้ของหลินสวินเอาไว้

ทันใดนั้นพลังชีวิตมหาศาลที่พลุ่งพล่านไร้ใดเปรียบทะลักขึ้น กลายเป็นแสงรัศมีแพรวพราวทั้งแถบ เจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของหลินสวินอาบอยู่ภายในนั้น และกำลังเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ใจ…

ถึงตรงนี้หลินสวินถึงได้กล้าเชื่อ ว่าตนข้ามมหาเคราะห์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติกาลครั้งนี้ได้แล้ว!

แสงอสนีดั่งละออง พร่างพราวพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์

ท่ามกลางความเลือนราง กายสังขารของหลินสวินเริ่มก่อตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง…

จิตวิญญาณของเขาก็เริ่มก่อร่างขึ้นใหม่ตามมาด้วยเช่นกัน…

หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ

แสงอนสีเต็มฟ้ามลายหายไป ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งองอาจ เด่นตระหง่านขึ้นร่างหนึ่ง เนื้อหนังทุกอณูล้วนเหมือนกับแกะสลักขึ้นมาจากหยกมันแพะน้ำงามไร้ตำหนิ

ในรูขุมขนรายล้อมด้วยแสงมรรค ไหลเวียนแสงเรืองสีอ่อนสายแล้วสายเล่า มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ภายใน

เรือนผมยาวสีดำหนาเข้ม แต่ละเส้นทอประกาย ทิ้งตัวระช่วงเอว กำลังพลิ้วไสวตามสายลม

เมื่อมองไปที่ดวงหน้าของเขา นัยน์ตาดำลุ่มลึกดั่งหุบเหว โครงหน้าคมสันเด่นชัด ในความหล่อเหลานั้นเจือกลิ่นอายมุ่งมั่นเยือกเย็น

ภายในกายของเขาเมล็ดพันธุ์มรรคหยั่งราก ราวกับรากแห่งฟ้าดิน พลังวิญญาณพลุ่งพล่านดั่งมหาสมุทรโหมกระหน่ำ ไหลเวียนในกายตามวงโคจรเร้นลับ ส่งเสียงกู่ก้องประหนึ่งฟ้าร้องออกมา

และในห้วงนิมิต รูปจำลองพลังจิตสามองค์ต่างประทับอยู่ ลักษณะน่าเกรงขาม เหนือศีรษะล้วนปกคลุมด้วยดอกเทพมหามรรค สาดละอองแสงคลุมเครือแตกต่างกันออกมา

และสิ่งที่ต่างจากที่ผ่านมาคือ เบื้องหลังของรูปจำลองพลังจิตสามองค์ปรากฏเหวลึกที่เดี๋ยวรางเลือนเดี๋ยวชัดแจ้งขึ้น เบาหวิวราวกับมหามรรค แต่กลับมีกลิ่นอายที่พาให้ผู้คนใจสะท้าน

รูปจำลองอมตะ!

ไม่ว่าใครก็ตามที่ข้ามด่านอมตะเคราะห์ เมล็ดพันธุ์มรรคงอกราก กลางจิตวิญญาณก็จะควบรวมรูปจำลองอมตะขึ้นมาองค์หนึ่ง!

“ขอบเขตอมตะเคราะห์ด่านสาม…”

ท่ามกลางเสียงงึมงำ หลินสวินเงยสายตาขึ้นขวับ สายตานั้นราวกับประกายสายไฟที่คมกริบไร้ใดเปรียบ ฉีกทึ้งห้วงอากาศเป็นทางยาว

และบนตัวหลินสวินก็แผ่อานุภาพยิ่งใหญ่ไร้ใดเปรียบออกมา ทำให้เมฆาเคราะห์ที่ยังไม่สลายจนหมดสิ้นจากเวิ้งฟ้ากลุ่มนั้นถูกบดขยี้ลงในชั่วพริบตา!

ห้วงอากาศแปดทิศล้วนหวีดร้องโหยหวนขึ้นมาในยามนี้ ราวกับกำลังสวามิภักดิ์

ถูกจองจำมาสี่ปี และยามนี้พอได้หลุดพ้นก็ทะลวงด่านอมตะเคราะห์สามด่าน เกิดใหม่จากความตาย ก็เหมือนกับมัจฉาโจนข้ามประตูมังกร กลายร่างเป็นมังกรโดยสมบูรณ์!

ในใจหลินสวินก็อดสั่นสะท้านไม่ได้เช่นกัน ส่งเสียงคำรามทอดยาวออกมาอย่างอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป

เสียงของเขาราวกับมังกร ก้องกังวานสะท้านโลกหล้า!

ทอดสายตามองออกไปไกล ชายหนุ่มที่ยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศประหนึ่งเทพที่มาเกิดอีกครั้งหลังนิพพาน โดดเด่นสะท้านโลก เปล่งรัศมีที่พาให้ฟ้าดินยังดูหม่นมัว

“กู่ฝอจื่อ อวิ๋นชิ่งไป๋… พวกเจ้าคงคิดว่าข้าผู้แซ่หลินตายไปแล้วกระมัง…”

เนิ่นนานหลินสวินค่อยเก็บกลิ่นอายรอบตัว กลับสู่สภาพสันโดษไม่แปดเปื้อนโลกีย์อีกครา

นัยน์ตาดำของเขาราบเรียบ กวาดมองไปยังที่ไกลๆ

“สี่ปีแล้ว ในแดนเก้าบนจะเปลี่ยนแปลงเป็นสภาพไหนบ้างนะ”

สวบ!

ทันทีที่หลินสวินย่างเท้าก้าวออกไป เงาร่างก็หายวับไปในอากาศ

ในปีที่ห้าที่แดนมกุฎปรากฏในดินแดนรกร้าโบราณ หลินสวินหลุดพ้นพันธนาการจากก้นแม่น้ำนรก และกลับมาเยือนโลกหล้าอีกครา!

……

ส่วนลึกของป่าทึบอันมืดสลัว

เงาร่างของผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ผู้นำขบวนคือชายหนุ่มชุดดำที่มีคิ้วกระบี่เนตรดารา เป็นหวังจื่ออิงผู้สืบทอดสำนักกระบี่ศาลเหลืองแดนกาฬทักษิณนั่นเอง

“หยุด”

ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดดำคนนี้พลันโบกมือ มุมปากผุดแววเย็นชาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง กล่าวว่า “ก่อนเคลื่อนไหว ข้ามีเรื่องบางอย่างจะพูดหน่อย”

ทุกคนรู้สึกเสียววาบ

“เป้าหมายที่พวกเราหมายหัวในครานี้ คือจ้าวจิ่งเซวียนผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หญิงผู้นี้มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับเจ้าหลินสวินนั่น ไม่เชื่อข่าวการตายของหลินสวินตลอดมาถึงได้ปักหลักอยู่ที่นี่ เฝ้าคอยนานถึงสี่ปีเต็ม”

มีคนอดหัวเราะเยาะขึ้นมาไม่ได้ “หญิงนางนี้ช่างยึดมั่นคุณธรรมเสียนี่กระไร ครองตัวเพื่อคนตายคนหนึ่ง ไม่สู้ตามข้าไปเสวยสุขด้วยกันดีกว่า”

คนอื่นๆ ล้วนหัวเราะผสมโรงไม่ขาด

หวังจื่ออิงเอ่ยปากเนิบช้า “หน้าที่ของพวกเราก็คือจับเป็นหญิงคนนี้ไปมอบให้บุตรนรก พวกเจ้าก็รู้ ถึงแม้หลินสวินจะตายไป แต่ก็ยากจะขจัดความแค้นในใจของนายท่านบุตรนรกได้ จับตัวผู้หญิงคนนี้ไป ก็พอจะทำให้บุตรนรกระบายเพลิงโทสะได้อยู่บ้าง”

“เพียงแต่ข้าได้ยินว่าผู้หญิงคนนี้เป็นบุคคลทรงอิทธิพลคนหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ทั้งเป็นที่เคารพยำเกรง หากทำเช่นนี้เกรงว่าจะล่วงเกินแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเอาได้”

มีคนเอ่ยปากอย่างลังเล

หวังจื่ออิงกล่าวไม่ยี่หระ “ในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณก็มีแต่เยี่ยนจั่นชิวคนเดียวที่ทำให้ผู้คนกริ่งเกรง นอกนั้นไม่พอเป็นพิษเป็นภัยได้หรอก”

คราวนี้ทุกคนถึงถอนหายใจโล่งอก

“เช่นนั้นก็ค่อยยังชั่วแล้ว พี่หวัง พวกเราเร่งเคลื่อนไหวกันเถอะ ข้าชักจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นถึงโฉมงามคนรู้ใจของเทพมารหลินเชียว! หลังจากจับตัวนางได้แล้ว ถ้าหากสามารถ…”

ชายหนุ่มใบหน้าตอบยาวคนหนึ่งฉายรอยยิ้มครึ้มใจปนชั่วช้าออกมา

เทพมารหลินยิ่งใหญ่เพียงใด

ถึงเขาจะตายไปแล้ว แต่หากได้ย่ำยีหยามเกียรติผู้หญิงของเขาเสียหน่อย รสชาตินั่น…

แค่คิดก็พาให้ผู้คนตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว!

คนอื่นๆ เห็นดังนี้ ต่างพากันอดหัวเราะผสมขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้

หวังจื่ออิงขมวดคิ้วมุ่น โพล่งผรุสวาทว่า “ระวังหน่อย! ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่มอบให้บุตรนรก ใครกล้ายื่นมาเข้ามาวุ่นวายส่งเดช ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

“เฮ้อ หากผู้หญิงคนนี้ตกสู่มือบุตรนรกจริงๆ เกรงว่าคงมีแต่ถูกปู้ยี่ปู้ยำจนตาย ควรรู้ว่าในตอนนั้นหลินสวินนั่นทำลายแผนการของบุตรนรกยับเยิน แม้แต่กาหลอมจิตยังถูกช่วงชิงไป จะไม่ให้บุตรนรกเคียดแค้นได้อย่างไร”

“น่าเสียดาย หลินสวินนั่นตายไปตั้งแต่สี่ปีก่อนแล้ว”

มีคนพึมพำ

“เลิกพูดพล่ามเสียที ไปกันเถอะ”

หวังจื่ออิงเอ่ยเย็นชา

เขาเคียดแค้นหลินสวินเต็มเปี่ยม

แรกเริ่มยามช่วงชิงโชควาสนาที่หินไตรภพ เดิมทีเขาอยากร่วมมือกับหลินสวินต่อกรกับผู้แข็งแกร่งสำนักเอกอุ

ใครเลยจะคิด หลินสวินกลับปฏิเสธตรงๆ

ยิ่งกว่านั้นในตอนท้าย เพื่อจะรักษาชีวิตรอดเขาและพวกพ้องคนอื่นๆ ยังไม่อาจไม่ก้มหัว ถูกหลินสวินขูดรีดเอาโอสถเทพไปหลายต้นอย่างเสื่อมเสียเกียรติไร้ใดเปรียบ!

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เหตุที่หวังจื่ออิงพุ่งเป้าไปที่ตัวจ้าวจิ่งเซวียน ก็เพราะมีความคิดอยากแก้แค้นอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน

ถึงเจ้า หลินสวินจะตายไปแล้ว แต่แก้แค้นกับผู้หญิงของเจ้าก็คงได้เหมือนกันกระมัง

นี่ก็คือความคิดของหวังจื่ออิง

คิดถึงตรงนี้หวังจื่ออิงก็กล่าวขึ้นมากะทันหัน “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต่อให้เขายังอยู่ ก็ต้องถูกบุตรนรกลงมือสังหารอย่างแน่นอน!”

ในคำพูดเปี่ยมด้วยความอาฆาตแค้น

คนทั้งขบวนเคลื่อนตัวไปเบื้องหน้า ไม่ทันไรกระท่อมมุงจากหลังหนึ่งก็ปรากฏในสายตาของพวกเขา

กระท่อมหลังนั้นสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ หน้ากระท่อมมีไร่โอสถและแปลงดอกไม้ทั้งแถบ

เงาร่างหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ใต้ชายคากระท่อม มีอาการเหม่อลอย

“จ้าวจิ่งเซวียน?”

หวังจื่ออิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากเสียงต่ำ

หญิงสาวไม่ตอบ ทำเพียงเงยหน้าขึ้นและใช้นัยน์ตาใสกระจ่างมองไป แววตานั้นว่างเปล่าเปี่ยมแววเศร้าหมอง

ในใจหวังจื่ออิงสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่หญิงสาวเลอโฉมดุจภาพวาดคนหนึ่ง แต่เป็นร่างไร้วิญญาณ!

“มองอะไรนักหนา บอกเจ้าให้นะ ตามพวกข้ามาแต่โดยดี หาไม่วันนี้ก็คือวันตายของเจ้า!”

ชายหนุ่มคนหนึ่งตวาดลั่น

“งามยิ่งนัก!”

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าแคบยาวคนนั้นทำหน้าหลงใหลลามก สายตากวาดมองทั่วตัวจ้าวจิ่งเซวียนอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

และเมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่คือผู้หญิงของหลินสวินผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง จู่ๆ ในใจเขาก็มีความรู้สึกชั่วช้าปะทุและฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา

หญิงสาวทำเป็นหูทวนลมต่อทุกอย่างนี้ เก็บสายตากลับมา ก้มใบหน้างามลงแล้วกล่าวว่า “เดิมทีข้าเป็นคนตายที่ยังหายใจอยู่ มีหรือจะกลัวความเป็นความตาย…”

น้ำเสียงแหบพร่าและแผ่วต่ำราวกับไม่ได้พูดมาเป็นเวลานานแล้ว

คนตายที่ยังหายใจ?

หวังจื่ออิงอึ้งงัน จากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมกล่าวว่า “เล่นละครตบตา บอกเจ้าให้นะ ต่อให้เจ้าเป็นศพ ครั้งนี้ก็ต้องตามพวกข้ามาอยู่ดี!”

คนอื่นต่างสูดหายใจเฮือก ต่างพากันคิดไม่ถึงว่าคนอย่างหวังจื่ออิงจะถึงกับพูดคำพูดที่รุนแรงเช่นนี้ออกมาได้

นี่ก็คือ ‘เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ’ สินะ

จ้าวจิ่งเซวียนไม่พูดมากความอีกต่อไป เฝ้ารอมาสี่ปี นั่งจับเจ่าอยู่ตรงนี้ทั้งวันทั้งคืน หัวใจของนางจมดิ่งสู่ความหมองหม่นมาตั้งนานแล้ว

นางไม่โง่ จะไม่ปักใจเชื่อว่าหลินสวินยังมีชีวิตอยู่อย่างหน้ามืดตาบอดตลอดไปแน่

แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

สี่ปีมานี้นางเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับปัญหาข้อหนึ่ง

เหตุใดตอนที่ตนได้รู้ข่าวการตายของหลินสวิน ถึงได้เลือกออกตามหาและเฝ้ารอโดยไม่สนใจสิ่งใด ไม่ยินยอมเชื่อว่าเขาจากโลกนี้ไปแล้วกันล่ะ

คำตอบนั้นอันที่จริงมีมาตั้งแต่จังหวะที่นางตัดสินใจปักหลักเฝ้ารออยู่ที่นี่แล้ว

เพียงแต่…

ท้ายที่สุดก็ตระหนักได้สายเกินไป

นางนึกเสียใจภายหลัง

เสียใจว่าเหตุใดถึงไม่เคยสนใจคำตอบนี้อย่างจริงจังตั้งแต่เนิ่นๆ

กระท่อมมุงจากเงียบสงบ เงาร่างอรชรที่นั่งอยู่ใต้ชายตาสายนั้นก็เงียบสงบผิดธรรมดาด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมีอาการตื่นตระหนก กริ่งเกรง และหวาดกลัวเลย

เสมือนเป็นอย่างที่นางว่า ก็แค่คนตายที่ยังหายใจอยู่เท่านั้น ไหนเลยจะเกรงกลัวความเป็นความตายได้

เพียงแต่นี่กลับไม่ใช่สิ่งที่หวังจื่ออิงอยากเห็น!

ในความคิดของเขา จ้าวจิ่งเซวียนควรจะร้องขอชีวิตด้วยความหวาดหวั่นสั่นกลัว หรือไม่ก็ต่อต้านอย่างเกรี้ยวกราดฉุนเฉียว นี่สิถึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการเห็น

และถึงจะทำให้เขามีความรู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้น

แต่ยามนี้ กลับไม่มีเลยสักนิด!

สิ่งนี้พาให้ในใจหวังจื่ออิงมีความรู้สึกผิดหวังและหัวเสียอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งกว่านั้นคือมีความโกรธที่ยากจะบรรยายได้

เขาโบกมือร้องตวาดลั่น “ไป จับตัวนางไว้!”

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ อดรนทนไม่ไหวตั้งแต่ต้น เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็พุ่งกรูไปทางกระท่อมโดยไม่ลังเล

ปัง!

รั้วที่รายล้อมรอบบริเวณกระท่อมพังกระจุยกระจายโดยพลัน ไร่โอสถและแปลงดอกไม้สดสวยนานาพันธุ์ที่บานสะพรั่งก็ถูกเหยียบย่ำป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีด้วยเช่นกัน

กระท่อมสั่นสะเทือนอย่างแรง สุดท้ายก็พังครืนอย่างทนแรงกระแทกไม่ไหว

เดิมทีที่แห่งนี้เงียบสงบราวกับดินแดนซ่อนเร้น แต่ยามนี้ทุกอย่างล้วนพังพินาศ

จ้าวจิ่งเซวียนไม่เคยไหวหวั่นแม้แต่เสี้ยวเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ

ในมือของนางกอดกระถางสมบัติใบหนึ่งเอาไว้ ด้านบนประทับลวดลายเก้ามังกรท่องตระเวน

นี่คือกระถางสมบัติเก้ามังกร หลินสวินเป็นคนหลอมให้นาง และเพราะหลอมสมบัติชิ้นนี้นั่นเอง นางกับเขาถึงได้พบกันครั้งแรกที่สำนักศึกษามฤคมรกต

ตอนนั้น นางปลอมตัวเป็นชาย พิสุทธิ์สดใสมั่นใจ ท่วงท่าผ่าเผย นัยน์ตาใสกระจ่างดั่งดวงดารา

ตอนนั้น เขาเป็นเพียงปรมาจารย์สลักวิญญาณที่เพิ่งถูกว่าจ้างจากสำนักศึกษามฤคมรกต และเป็นแค่มหายุทธ์ตัวเล็กๆ ที่ปราณต่ำเตี้ยเรี่ยดินคนหนึ่ง

ตอนนี้ เขาเงียบหายไปสี่ปี ไม่รู้เป็นหรือตาย

ตอนนี้ นางเศร้าหมองมาสี่ปี ไร้เกรงกลัวความเป็นตาย

ฉัวะ!

ลมแกร่งสายหนึ่งประดังมา เป็นชายหนุ่มหน้ายาวตอบคนนั้นนั่นเอง กลางนัยน์ตาเจือแววร้อนระอุ ชั่วช้า และคลั่งไคล้

การโจมตีห่างเพียงคืบ

จ้าวจิ่งเซวียนยังคงไม่รู้สึกรู้สา นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้นแกะสลักแสนงาม

——