หญิงงามอยู่ใกล้เพียงเอื้อม สิ่งที่หายากคือนางคล้ายวางเฉยต่อการปัดป้องและนั่งนิ่งรอความตาย

สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มแก้มยาวตอบคนนั้นฮึกเหิมหาที่สุดไม่ได้ ลองคิดดูแล้ว นี่เป็นถึงผู้หญิงของเทพมารหลิน อีกเดี๋ยวก็จะตกเป็นเหยื่อของตนแล้ว!

“พวกเจ้า รนหาที่ตาย!”

แต่ในยามนี้เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น แฝงไอเย็นวาบถึงกระดูก คล้ายกับสามารถแช่แข็งจิตวิญญาณของผู้คนได้

พร้อมกันนั้นไอสังหารท่วมท้นไร้ทัดเทียมกระหน่ำเข้ามาราวกับเขาคลื่นยักษ์ซัดโถม คละคลุ้งทั่วฟ้าดิน

ห้วงอากาศแถบนั้นสับสนอลหม่านโดยพลัน

สิ่งมีชีวิตที่จำศีลอยู่ในรัศมีพันลี้ ไม่ว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอต่างพากันหมอบราบลงกับพื้น ตัวสั่นระริก

หืม?

ชายหนุ่มแก้มยาวตอบตกใจ เนื้อตัวเย็นวาบ รับรู้ถึงภัยคุกคามถึงชีวิตที่ไม่เคยมีมาก่อน

เสมือนว่าขอเพียงเขากล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียวก็จะประสบกับหายนะถึงตาย!

แต่เหยื่อผู้เลอโฉมคนนั้นอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งฉื่อก็จะสามารถคว้าตัวเอาไว้ได้…

ความไม่ยินยอมอย่างแรงกล้ากระตุ้นจนดวงตาของเขาแดงก่ำ ท้ายที่สุดก็กัดฟัน ตัดสินใจเคลื่อนไหวต่อไป

ปัง!

เพียงแต่ทันทีที่แขนของเขายื่นออกมาก็ระเบิดกระจุยโดยพลัน เศษเนื้อหยาดเลือดสาดกระเซ็น

ความเจ็บปวดไร้ใดเปรียบพาให้เขาส่งเสียงร้องโหยหวนปานสัตว์ป่าหวีดคำราม ถอยกรูดฉับพลัน

ตูม!

แต่พริบตาที่ร่างของเขาถอยกลับออกมาก็เหมือนถูกภูเขาเทพกดทับ ทั้งตัวระเบิดออก เลือดเนื้อลอยกระเด็น

แต่ที่น่าประหลาดคือ หยดเลือดที่แตกฉานซ่านเซ็นเหล่านั้นกลับไม่เคยสาดกระทบเงาร่างแบบบางงดงามสายนั้นเลยแม้แต่หยดเดียว

“แย่แล้ว!”

“นี่…”

และในยามนี้พวกหวังจื่ออิงถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ในใจสั่นสะท้าน เลือกถอยหนีโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปแล้ว

เร็วเสียจนพวกเขายังไม่ทันยื่นมือเข้าช่วย ชายหนุ่มแก้มยาวตอบคนนั้นก็ตายอนาถไปแล้ว

ที่ทำเอาพวกเขาใจสะท้านคือ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่เคยจับร่องรอยของศัตรูได้เลย!

ครืนโครม!

ฟ้าดินแถบนี้มืดสลัว ห้วงอากาศเดือดพล่านสับสน ไอสังหารไร้ใดเปรียบมาเยือนที่แห่งนี้ราวกับคลื่นคลั่งทะเลเดือด

ท่ามกลางความเลือนราง คนทั้งกลุ่มราวกับตกอยู่ในแดนนรก!

และในเวลานี้เอง พวกเขาก็ได้เห็นศัตรู

ผู้นั้นเงาร่างสง่างามผึ่งผาย หันหลังให้กับคนอื่นๆ ทอดสายตามองไปยังหญิงสาวที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นราวรูปปั้นแกะสลักแสนงดงาม

เพียงแค่เงาหลังสายหนึ่งเท่านั้น แต่กลับทำเอาพวกหวังจื่ออิงรู้สึกกดดันจนแทบหายใจไม่ออก เสมือนว่าที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นเทพมารองค์หนึ่ง!

คนผู้นี้ย่อมต้องเป็นหลินสวิน

ทันทีที่ออกจากเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก เดิมทีเขาตั้งท่าจะจากไป กลับคาดไม่ถึงว่าในจังหวะนี้กลับรู้สึกถึงคลื่นการต่อสู้วูบหนึ่ง

เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นจ้าวจิ่งเซวียน!

ยามสังเกตเห็นว่านางถูกปิดล้อมโจมตี ในใจหลินสวินเหมือนถูกดาบกรีดเฉือนก็ไม่ปาน บังเกิดความเดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก

ที่นี่เป็นพื้นที่นอกเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก มีหรือเขาจะมองไม่ออก ว่าในช่วงสี่ปีที่ตนหายตัวไปจ้าวจิ่งเซวียนเอาแต่เฝ้ารออยู่ที่นี่ตลอด

เรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขา ทั้งพาให้เขารู้สึกซาบซึ้งอย่างยากจะบรรยาย อารมณ์ซัดโหมจิตใจของเขาไม่ขาดสายราวกับกระแสน้ำเชี่ยว

คนผู้หนึ่ง ปลูกกระท่อมอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยตนกลับมา…

สี่ปีเชียวนะ!

ต่อให้หลินสวินเป็นคนโง่งม ก็เข้าใจว่าน้ำใจนี่ล้ำค่ามากเพียงใด!

และเพราะเช่นนี้เอง เมื่อเห็นพวกหวังจื่ออิงจะลงมือเล่นงานจ้าวจิ่งเซวียน ถึงได้ทำให้หลินสวินเดือดดาลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!

ยังดีที่เขามาทันเวลา

มีความเป็นไปได้ที่จะหยุดยั้งเรื่องทั้งหมดนี้ได้ทันเวลา!

หากมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว หลินสวินไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย!

แต่ยามนี้ ยามที่เห็นจ้าวจิ่งเซวียนอยู่ตรงหน้า หลินสวินกลับอึ้งงัน

“จิ่งเซวียน?”

เขาเอ่ยปาก หญิงสาวตรงหน้ากลับไม่รู้สึกรู้สา นั่งอยู่ตรงนั้นในอาการสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน

เหมือนกับรูปปั้นดินแกะสลัก

ชั่วขณะนั้นนัยน์ตาหลินสวินหดรัดฉับพลัน หัวใจบีบเกร็งรุนแรง เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้นมา

เรือนผมดำขลับของหญิงสาวราวกับสีหมึก ดวงหน้างดงามวิจิตรสงบนิ่งไม่ไหวติง นัยน์ตาจับจ้องกระถางสมบัติที่โอบไว้ในสองมือตลอด สีหน้าสงบนิ่งอย่างบอกไม่ถูก

แต่หลินสวินกลับเบิกตากว้างคล้ายไม่อยากเชื่อตัวเอง ส่วนลึกภายในใจมีความรู้สึกที่กำลังหมักบ่มอย่างบอกไม่ถูก กระตุ้นให้สองมือของเขาสั่นระริกโดยไม่รู้ตัว

นาง…

เป็นอะไรไปกันแน่

“ทะ… เทพมารหลิน!”

ทันใดนั้นเสียงร้องสายหนึ่งดังขึ้น

ห่างออกไปในที่สุดพวกหวังจื่ออิงก็จำตัวตนของผู้มาเยือนได้ ตกใจจนแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง เจ้าหมอนี่ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรือ!?

เหตุใดเขายังโผล่ขึ้นมาได้อยู่อีก

“ไม่ นี่ไม่ใช่ตัวจริง! สี่ปีก่อนใต้เท้าบุตรนรกเห็นเขาจมสู่แม่น้ำนรกกับตาตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะมีโอกาสรอดชีวิต!”

สีหน้าหวังจื่ออิงอึมครึมวูบไหว โพล่งตะโกนเสียงดังลั่น “บอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงปลอมตัวเป็นคนตายอย่างหลินสวินนั่น”

“เป็นพวกเจ้าที่ทำร้ายจิ่งเซวียน…”

และเวลานี้เอง หลินสวินหันกลับมา ทอดสายตามองไป

พวกหวังจื่ออิงแข็งทื่อไปทั้งตัว

จังหวะนี้พวกเขาเห็นหน้าหลินสวินชัดเจนด้วยตาตัวเอง ช่างคุ้นเคยถึงเพียงนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นตัวปลอม

คนไม่น้อยสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ขนพองสยองเกล้า

เจ้าคนที่ถูกยืนยันว่าตายไปตั้งนานแล้ว แต่สี่ปีให้หลังกลับปรากฏอยู่ต่อหน้าตัวเป็นๆ แรงสะเทือนนั้นพาให้พวกเขาสมองทื่อ ไม่อาจยอมรับได้ไปชั่วขณะ

นี่ เป็นไปได้อย่างไรกัน!

“ทุกคนอย่าได้ตระหนก เขาไม่ใช่หลินสวินอย่างแน่นอน!”

หวังจื่ออิงสูดหายใจลึก กัดฟันกล่าว

“เหตุใดต้องทำเช่นนี้…”

น้ำเสียงหลินสวินต่ำลึกแหบพร่า นัยน์ตาดำสนิทเย็นเยียบจนน่ากลัว

ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามที่ถูกสายตาของเขากวาดมอง ล้วนพากันใจหายวาบ ทั่วร่างราวกับจมสู่ถ้ำน้ำแข็ง

หากไม่ใช่เทพมารหลิน แล้วใครจะมีอานุภาพน่าสะพรึงได้ถึงเพียงนี้

“น่าขัน คิดว่าปลอมเป็นเทพมารหลินแล้วจะขู่พวกข้าได้อย่างนั้นรึ ทุกคน พวกเราร่วมกันลงมือฆ่าเจ้าสารเลวขวางหูขวางตาคนนี้กันเถอะ!”

หวังจื่ออิงตะโกนลั่น

“ใช่ เจ้าหมอนี่ต้องเป็นตัวปลอมแน่!”

“ฆ่า!”

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ เหิมฮึกห้าวหาญ คนที่พวกเขากริ่งเกรงคือเทพมารหลิน ไม่ได้กริ่งเกรงตัวปลอมคนหนึ่งเสียหน่อย!

ตูม!

พวกเขาพุ่งโจมตี แต่ละคนสำแดงยอดวิชาแท้จริงของตนเอง

“พวกเจ้า… สมควรตายกันจริงๆ…”

หลินสวินสาวเท้าก้าวออกมาท่ามกลางเสียงพึมพำเย็นเยียบเสียดกระดูก

ปึง! ปึง! ปึง!

ทันทีที่ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นมาถึงครึ่งทาง ร่างก็แข็งทื่ออยู่ตรงนั้นประหนึ่งถูกจองจำก็ไม่ปาน หลังจากนั้นแต่ละคนก็แตกระเบิด เลือดสดๆ และเศษซากศพปนกันมั่ว ไหลรินย้อมห้วงอากาศเป็นสีแดง

แต่หลินสวินคล้ายกับไม่รู้ตัวสักนิด สาวเท้าไปข้างหน้า นัยน์ตาดำดุจเหวลึกคล้ายสามารถกลืนกินวิญญาณของผู้คนจนหมดสิ้น

ในลานเหลือเพียงหวังจื่ออิงคนเดียว

เพียงแต่เขาในเวลานี้อึ้งงันอย่างสิ้นเชิงแล้ว อ้าปากค้างกว้าง ทั้งตัวคล้ายกำลังสั่นเทา สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด

ในบรรดาพวกพ้องของเขาเหล่านั้น มีอยู่สองสามคนที่เหยียบย่างขอบเขตมกุฎระดับราชัน และไม่ขาดคนที่ข้ามอมตะเคราะห์ ในหมู่คนรุ่นเดียวกัน เรียกได้ว่ามีพลังชั้นยอดก็ว่าได้

แต่ยามนี้กลับตายกันหมดแล้ว!

และตั้งแต่ต้นจนจบคนผู้นั้นที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่สาวเท้าเท่านั้นก็ทำให้พวกพ้องของเขาตายอนาถกันหมด

ภาพนองเลือดเช่นนี้กระตุ้นจนสมองของหวังจื่ออิงว่างเปล่าขาวโพลน

นี่… เป็นไปได้อย่างไร

เขาคิดไม่อออกเลยจริงๆ ว่าในแดนเก้าบนแห่งนี้จะมีใครทำได้ถึงขั้นนี้บ้าง!

“เจ้าอย่าเข้ามา!”

เงาร่างของหลินสวินเขยิบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พาให้หวังจื่ออิงสะดุ้งตื่นจากสภาพอึ้งค้าง เขาตกใจถอยกรูดราวกับถูกทำให้ตกใจ

เพียงแต่สีหน้ายังคงซีดขาวไร้ใดเปรียบ สายตาที่มองหลินสวินราวกับกำลังมองเทพแห่งความตายก้าวออกมาจากแดนนรก!

“บอกเหตุผลข้ามา ข้าสามารถทำให้เจ้าตายอย่างไม่เจ็บปวดได้อยู่บ้าง หาไม่ ข้ารับรองว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าจะต้องร้องขอความตายไม่จบสิ้น”

เสียงต่ำลึกแหบพร่าไม่เจือความรู้สึก กลับทำให้หวังจื่ออิงเข่าอ่อน สภาพจิตใจใกล้พังพินาศเต็มที

“ข้าพูดๆ!”

หวังจื่ออิงคิดไม่ถึงสักนิดว่ายามที่เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนหนึ่ง ตนจะถึงกับหมดสภาพ ประหวั่นพรั่นพรึงและสิ้นหวังได้ถึงเพียงนี้

ไม่แม้แต่จะผุดความคิดต่อต้านขึ้นมาด้วยซ้ำ!

หลินสวินหยุดเท้า จ้องเขาอย่างเฉยชา

หวังจื่ออิงบอกเล่าเรื่องที่มุ่งหน้ามาจับเป็นจ้าวจิ่งเซวียน หวังจะมอบให้บุตรนรกออกมาหมดเปลือกโดยไม่ลังเล

นัยน์ตาหลินสวินวาบแววเคียดแค้นออกมาทันที กล่าวว่า “มั่นใจว่าข้าหลินสวินตายไปแล้วก็ยังไม่พอ ยังอยากแก้แค้นคนใกล้ชิดข้าอีกอย่างนั้นหรือ…”

น้ำเสียงต่ำลึกขึ้นเรื่อยๆ

“จะ… เจ้าคือหลินสวินจริงๆ หรือ เจ้าถึงกับยังมีชีวิตอยู่!”

ดวงตาหวังจื่ออิงเบิกกว้างจนกลมโต ลูกตาเต็มไปได้วยเส้นเลือด แทบจะระเบิดออกมา ยังคงมีอาการไม่อยากเชื่อ

จากนั้นเขาสูดหายใจถี่กระชั้น สีหน้าฉายอารมณ์คล้ายร้องไห้คล้ายหัวเราะ กล่าวเสียงแหบพร่า “ฮ่าๆๆ เจ้าถึงกับยังมีชีวิตอยู่ สวรรค์แม่งไม่มีตาจริงๆ ให้ตัวหายนะอย่างเจ้ารอดชีวิตมาได้อีกครั้งแล้ว!”

สภาพอารมณ์ของเขาคล้ายกับสูญเสียการควบคุม จ้องหลินสวินอย่างอาฆาตแค้น “แต่เป็นเช่นนี้แล้วอย่างไร ต่อให้เจ้ายังมีชีวิตก็จะถูกบุตรนรกฆ่าตายอยู่ดี อ้อ ไหนจะกู่ฝอจื่อก็คงไม่ปล่อยเจ้าไว้เหมือนกัน!”

หลินสวินสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ

“เจ้าดูตัวเองสิ ตายไปแล้วสี่ปี แม้แต่ผู้หญิงของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ น่าเศร้าเสียนี่กระไร น่าเสียดายนัก หากไม่ใช่เพราะจู่ๆ เจ้าโผล่มา ผู้หญิงคนนั้นคงถูกพวกข้าจับตัวและย่ำยีเสียเกียรติไปนานแล้ว…”

หวังจื่ออิงสีหน้าผิดหวังอีกครั้ง

เขาเสียการควบคุมไปแล้วจริงๆ คล้ายกับวิกลจริตไปแล้ว

กร๊อบ!

พริบตาถัดมาคอของหวังจื่ออิงก็ถูกบิดขาด ก่อนตายสีหน้ายังบ้าคลั่งเหี้ยมเกรียมอย่างเห็นได้ชัด

หลินสวินหันกลับมา ไม่ได้มองเขาอีก

ไกลออกไปทั่วทุกที่พังเหลือแต่ซาก รั้วพังถล่ม ไร่โอสถและแปลงดอกไม้เละเทะเหี่ยวเฉา แม้แต่กระท่อมหลังนั้นยังพังเสียหายยับเยิน

พอจินตาการออกว่าสี่ปีมานี้ที่แห่งนี้เป็นดั่งแดนพิสุทธิ์เงียบเชียบแห่งหนึ่ง นางเฝ้ารอเงียบๆ อยู่ที่นี่มาโดยตลอด ไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ

นาง…

จะต้องเหมือนเมื่อก่อนแน่ คิดว่าตนจะไม่ถูกโจมตีย่อยยับ ย่อม… เป็นไปไม่ได้ที่จะตาย!

เมื่อทอดสายตามองไป มองดูร่างแบบบางที่นั่งเงียบอยู่ตรงนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเคลื่อนไหว

มองดูนางจับจ้องกระถางสมบัติเก้ามังกร ในสายตาเจือแววสงบนิ่งและลึกซึ้ง

มองดวงหน้างามล้ำที่ซูบผอมโดยไม่รู้ตัวของนาง…

หลินสวินก็รู้สึกเพียงว่าบริเวณอกราวกับถูกความว้าวุ่นสุมแน่น หายใจลำบากขึ้นมา

“จิ่งเซวียน!”

เขาก้าวไปข้างหน้า กอดเงาร่างของหญิงสาวไว้ในอ้อมอกแนบแน่น ภายในใจมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง

ก่อนจะเข้าสู่แดนมกุฎ เขาเคยมุ่งหน้าไปแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หมายจะเชิญจ้าวจิ่งเซวียนร่วมเคลื่อนไหวพร้อมกับเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะช้าไปก้าวหนึ่ง

จากนั้นในใจเขาก็ตั้งตาคอยอยู่เสมอว่าจะได้พบกันอีกครั้งที่แดนมกุฎ

แต่ใครเลยจะคาดคิด การพบกันครั้งแรกหลังจากผ่านไปหลายปีกลับกลายสภาพเป็นเช่นนี้เสียได้!

“เจ้าจะไม่เป็นอะไร ไม่เป็นแน่… ข้าหลินสวินไม่ยอม ใครหน้าไหนก็ไม่อาจพรากเจ้าไปจากข้าได้!”

สองแขนของหลินสวินโอบกอดเรือนร่างอ่อนนุ่มของจ้าวจิ่งเซวียน สูดหายใจลึกๆ ติดต่อกันหลายครั้ง จึงสะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านภายในใจเอาไว้ จากนั้นก็ความคิดทั้งหมดก็จดจ่อที่ร่างของหญิงสาว เริ่มสัมผัสรู้และตรวจสอบ

——