ในห้วงนิมิตของจ้าวจิ่งเซวียนมีหมอกเอื่อยสีม่วงเป็นสายๆ รายล้อมอยู่ ราวกับโซ่ศักดิ์สิทธิ์ผนึกดวงวิญญาณของนางเอาไว้
หมอกควันสีม่วงนี้ดูขมุกขมัวอย่างที่สุด ยามที่พลิกม้วนจะปรากฏลายมรรคแน่นหนาออกมา
ไม่ว่าหลินสวินจะพยายามหยั่งรู้เท่าไรก็ไม่อาจไขนัยเร้นลับของหมอกควันสีม่วงนี้ได้!
เขารู้เพียงว่าหากดึงดันแก้ไข ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจทำให้จ้าวจิ่งเซวียนไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย…
‘นายท่าน นี่คือพลังของ ‘ประทับเทพผนึกหกมรรค’ เรียกได้ว่าไร้ทางไขออก แม้แต่อริยะยังทลายไม่ได้ มีเพียงจิตวิญญาณของผู้ร่ายผ่านวัฏจักรของ ‘หกมรรค’ แล้วเท่านั้นจึงจะฟื้นขึ้นมาเอง’
ทันใดนั้นเสี่ยวอิ๋นเอ่ยปาก หยั่งทะลวงนัยเร้นลับของหมอกควันสีม่วงนั้น
เรื่องนี้ทำให้หลินสวินอึ้งงัน จากนั้นสีหน้าพลันซับซ้อนไร้ใดเปรียบ ไขไม่ออกอย่างนั้นหรือ แล้วต้องรอถึงเมื่อไหร่กัน
‘นายท่าน นาง… คือนายหญิงหรือ’
เสี่ยวอิ๋นเอ่ยถาม
หลินสวินตกตะลึงอึ้งค้าง ไม่ได้ตอบกลับ
คำถามข้อนี้ รอเมื่อจ้าวจิ่งเซวียนฟื้นขึ้นมาเขาจะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ตัวเองและนาง
เขาโอบกอดหญิงสาวในอ้อมอกแนบแน่น จิตใจที่พลุ่งพล่านเดือดคลั่งแต่เดิมของหลินสวินก็ค่อยๆ สงบลงทีละน้อย
ในหัวสมองนึกถึงภาพเหตุการณ์แต่ละอย่างที่ผ่านมาอย่างควบคุมไม่อยู่
……
บริเวณขอบป่าทึบแห่งนี้ เยี่ยนจั่นชิวมาหาอีกครั้ง
เขาสวมชุดสีขาวทั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลา ท่วงท่าสง่าผ่าเผย บุคลิกไม่ธรรมดา
ด้านหลังเยี่ยนจั่นชิวยังมีผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณตามมาด้วย มีทั้งหญิงชาย ล้วนมีกลิ่นอายแข็งแกร่ง อานุภาพเหนือปกติ
ในนั้นยังมีมกุฎราชันที่อานุภาพน่าตกใจอย่างที่สุดอยู่ด้วยหลายคน!
เพียงแต่เวลานี้หว่างคิ้วของเยี่ยนจั่นชิวกลับเจือแววลังเล
ตอนยังเด็ก เขาก็เริ่มฝึกปราณด้วยกันกับจ้าวจิ่งเซวียนที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแล้ว รู้สึกนับถือชื่นชมเต็มดวงใจ และคอยติดตามอยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด
ตอนนี้หญิงสาวที่ตนชอบกลับเสียเวลาหลายปีเฝ้ารอคนตายคนหนึ่ง จะไม่ให้เยี่ยนจั่นชิวคับอกคับใจ ไม่ชิงชังได้อย่างไร
ที่ทำให้เขารู้สึกหัวเสียมากที่สุดคือ จ้าวจิ่งเซวียนรู้ถึงน้ำใจของเขา แต่กลับไม่หือไม่อือกับเขาเสมอมา ความรู้สึกเช่นนี้ใครจะไปเข้าใจ
ทั้งฐานะ ตำแหน่ง พลังปราณและพรสวรรค์ของเยี่ยนจั่นชิวต่างเรียกได้ว่าชั้นยอดแห่งรุ่น กล่าวอย่างไม่เกินจริง ขอเพียงเขาต้องการ โบกมือคราเดียวก็มีสตรีงดงามเลอโฉมไม่รู้ตั้งเท่าไรโถมใส่อ้อมกอด!
แต่จ้าวจิ่งเซวียน… กลับไม่สนใจ!
‘ช่างเถิด ต่อให้ต้องล่วงเกิดศิษย์น้องจิ่งเซวียน ครั้งนี้ก็ต้องพาตัวนางไปให้ได้ เจ้าหลินสวินนั่นตายไปแล้ว นางจะเสียเวลาล้ำค่าเช่นนี้อีกต่อไปไม่ได้!’
ทันใดนั้นเยี่ยนจั่นชิวสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ลังเลอีกต่อไป เคลื่อนตัวไปยังสถานที่ที่จ้าวจิ่งเซวียนอาศัย
หืม?
ไม่ทันไรนัยน์ตาเยี่ยนจั่นชิวก็วาบประกายยะเยือกออกมาทันควัน
พื้นที่ในรัศมีพันลี้ยังเหลือเศษเสี้ยวของไอสังหารเย็นเยียบที่ยังไม่ทันจางหายสายแล้วสายเล่า สิ่งนี้พาให้หัวใจเขารัดเกร็ง หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
‘หรือมีคนมาหาเรื่องศิษย์น้องจิ่งเซวียน’
ในใจเยี่ยนจั่นชิวผุดไอสังหารขึ้นมาสายหนึ่ง พาคนทั้งกลุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นอีก
ไม่นานเขาก็มาถึงสถานที่ที่จ้าวจิ่งเซวียนพำนัก เพียงแต่… ที่ตรงนี้เปลี่ยนสภาพไปอย่างสิ้นเชิง
ทุกแห่งหนพังยับเหลือแต่ซาก กระท่อมมุงจากทรุดทลาย พื้นดินชุ่มเลือดแดงฉาน กลางห้วงอากาศยังคงมีกลิ่นคาวเลือดฟุ้งอยู่
ก่อนหน้านี้ที่นี่ต้องเกิดการต่อสู้รุนแรงอย่างที่สุดขึ้นเป็นแน่!
จากนั้นเพียงมองปราดเดียวเยี่ยนจั่นชิวก็เห็นหลินสวิน ทันใดนั้นนัยน์ตาของเขาหดรัด หัวใจหยุดกึกทันควัน แทบไม่อยากจะเชื่อ
คนตายคนหนึ่ง จะ… จะฟื้นคืนชีพอีกครั้งได้อย่างไร
ต่อให้เป็นความมั่นคงของจิตใจเยี่ยนจั่นชิว เวลานี้ก็เกือบอดร้องเสียงหลงออกมาไม่ได้
แต่เมื่อเห็นเงาร่างแบบบางที่หลินสวินกอดในอ้อมแขน เยี่ยนจั่นชิวก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้แล้ว
“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน!”
เสียงเกรี้ยวกราดดังก้อง ดวงตาเยี่ยนจั่นชิวแดงก่ำ
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณที่อยู่ข้างหลังเหล่านั้นก็พากันอึ้งงัน มองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ นี่เทพมารหลินถึงกับยังมีชีวิตอยู่หรือ!?
สี่ปีก่อน ข่าวการตายของหลินสวินซัดโหมทั่วแดนเก้าบนเหมือนดั่งพายุคลั่งก็ไม่ปาน นำมาซึ่งคลื่นยักษ์กระหน่ำทั่วหล้า
รวมถึงผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณด้วย ในคราแรกก็พากันไม่อยากเชื่อและรู้สึกสะท้านสะเทือนอย่างถึงที่สุด
ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ล้วนไม่อาจปฏิเสธว่าหลินสวินเป็นบุคคลเหี้ยมหาญชั้นยอดที่เหมือนดั่งตำนานอัศจรรย์
พอตายไปอย่างนี้ ใครจะไม่สนใจได้เล่า
แต่ว่าหลังจากแน่ใจข่าวการตายของหลินสวินแล้ว ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านี้ต่างมีความสุขบนคราวเคราะห์ของผู้อื่น ลอบกล่าวว่าสวรรค์มีตา
เหตุผลนั้นง่ายยิ่ง ตอนที่อยู่ดินแดนรกร้างโบราณ เทพมารหลินบุกอาละวาดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ฆ่าศิษย์ร่วมสำนักของพวกเขาไปไม่น้อย!
เมื่อเห็นศัตรูพบเคราะห์ ในใจพวกเขามีหรือจะไม่เบิกบาน
แต่ต่อให้พวกเขาทุบหัวจนแตกก็คิดไม่ถึงว่าสี่ปีให้หลัง คนตายคนหนึ่งที่ผู้คนเกือบลืมไปแล้ว จะถึงกับโผล่ขึ้นมาต่อหน้าตัวเป็นๆ!
เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับเห็นผีตัวเป็นๆ!
หลินสวินตื่นจากภวังค์ความคิด และย่อมจำพวกเยี่ยนจั่นชิวได้ ถึงขั้นที่ยังเห็นคนคุ้นเคยหลายคนอย่างพวกเซียวหรัน อวิ๋นเช่อ เหวินเสียง ซูซิงเฟิงด้วย
ไม่เจอกันหลายปี หลินสวินเพิ่งค้นพบว่าเยี่ยนจั่นชิวถึงขั้นเหยียบย่างอมตะเคราะห์ด่านสามแล้ว ส่วนพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิง ต่างก็กลายเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันทั้งหมด
จะว่าไปคนพวกนี้ล้วนเป็นศัตรูของหลินสวิน แต่ยามนี้หลินสวินไม่มีแก่ใจจะสนใจพวกเขา
ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วพวกเขาก็อยู่ร่วมสำนักกับจ้าวจิ่งเซวียน เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักกัน
และยามนี้จ้าวจิ่งเซวียนจมสู่ภวังค์นิทรา ไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ หลินสวินเองก็ไม่อยากล้างแค้นสหายร่วมสำนักพวกนี้ของนางต่อหน้านางเหมือนกัน
“วางศิษย์น้องจิ่งเซวียนลง!”
เยี่ยนจั่นชิวสีหน้าเย็นชา ไอสังหารพวยพุ่ง
คนอื่นๆ ก็ล้วนมีสีหน้าไม่เป็นมิตร
พวกเขาต่างรู้ดี เยี่ยนจั่นชิวชอบจ้าวจิ่งเซวียนมากเพียงใด แต่ยามนี้จ้าวจิ่งเซวียนกลับถูกหลินสวินศัตรูของพวกเขากอดไว้ในอ้อมแขน
เรื่องนี้จะให้พวกเขาทนได้อย่างไร
หลินสวินขมวดคิ้ว นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึกเยียบเย็น กล่าวว่า “เห็นแก่หน้าจิ่งเซวียน ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้า ตอนนี้พวกเจ้าจากไปเสียเถอะ”
สีหน้าเยี่ยนจั่นชิวคล้ำเขียวไร้ใดเปรียบทันที เดือดดาลจนยิ้มแล้ว “ข้ายังไม่ทันคิดบัญชีกับเจ้า เจ้ายังมีหน้ามาสั่งพวกข้าอีก ช่างบ้าระห่ำจริงเชียว!”
ในน้ำเสียงเจือไอสังหารรุนแรงอยู่ด้วย
“หลินสวิน เจ้ายังมีชีวิตอยู่ทำให้พวกข้าเหนือคาดจริงๆ แต่เจ้าคิดว่านี่ยังเป็นเมื่อสี่ปีก่อนอยู่หรือ”
เซียวหรันเอ่ยปากเย็นชา
“วางศิษย์น้องจิ่งเซวียนลง พวกข้าจะให้โอกาสเจ้าได้รอดชีวิตไถ่บาปสักครั้ง!”
พวกซูซิงเฟิงก็เอ่ยปากตามๆ กัน
ช่วงเวลาสี่ปีเพียงพอจะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าเยี่ยนจั่นชิวหรือพวกซูซิงเฟิง ในช่วงเวลานี้ความแข็งแกร่งล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าสะเทือนดิน
เรื่องนี้ทำให้พวกเขาไม่มีความเกรงกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวินนานแล้ว!
“อย่าสำคัญตัวผิด”
หลินสวินเป็นคนมีความอดทนมาโดยตลอด แต่ยามนี้เพราะจ้าวจิ่งเซวียนผนึกจิตวิญญาณตัวเอง ทำเอาสภาวะจิตของเขาตกอยู่ในสภาวะเสียสมดุลอย่างหนึ่ง
ตอนนี้เหตุที่ยังไม่ลงมือตรงๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่ากำลังฝืนข่มตัวเองเอาไว้เท่านั้น
“หลินสวิน!”
ทันใดนั้นเยี่ยนจั่นชิวตวาดลั่น เงาร่างลอยขึ้นกลางอากาศ
ตูม!
ด้านหลังของเขาห้วงอากาศแตกกระจุยดังสนั่นโดยพลัน แสงมรรคสว่างจ้าไร้สิ้นสุดแผ่ออกมา พาให้ฟ้าดินหม่นสี
เห็นเพียงแต่รูปจำลองอมตะองค์หนึ่งปรากฏออกมา คล้ายกับเทพผู้ค้ำยันโลกหล้า เปล่งแสงแผ่กว้างสว่างไสว
และบนตัวเยี่ยนจั่นชิวกลับปรากฏเงามายาเจินหลงตัวแล้วตัวเล่า ส่องสะท้อนจนอานุภาพของเขาห้อทะยานถึงขีดสุดในพริบตา น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด
ตามคำเล่าขาน เผ่ามารดาของเยี่ยนจั่นชิวคือเผ่าเจินหลง แค่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็สามารถยืนยันได้ว่านี่ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ!
เวลานี้เขายืนตระหง่านกลางอากาศ ชี้หลินสวินจากไกลๆ “หากเจ้ากล้าก็วางศิษย์น้องจิ่งเซวียนลง แล้วไสหัวออกมาสู้กับข้า ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจว่าเจ้ามันอ่อนหัดแค่ไหน!”
คำพูดราวกับอสนีบาต กึกก้องทั่วหล้า
เยี่ยนจั่นชิวในยามนี้ประหนึ่งเทพที่ควบคุมมังกร มีกลิ่นอายไร้เทียมทาน
“หลินสวิน ได้ยินหรือไม่ ถ้ากล้าก็วางศิษย์พี่จ้าวลง แล้วไปต่อสู้กับศิษย์พี่เยี่ยนอย่างถูกต้องสมควร!”
พวกเซียวหรันเอ่ยปากเย็นชา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เกรงกลัวหลินสวิน แต่หวั่นว่าหลินสวินจะใช้จ้าวจิ่งเซวียนมาขู่พวกเขา!
หลินสวินก็ฟังความหมายแฝงในคำพูดออก นัยน์ตาดำเริ่มเย็นเยียบไร้ใดเปรียบขึ้นมาทันควัน เขาค่อยๆ วางจ้าวจิ่งเซวียนไว้ด้านข้าง จากนั้นจึงหยัดตัวขึ้นเนิบช้า
เพียงแค่การหยัดตัวขึ้นเท่านั้น กลับมีอานุภาพไร้ทัดเทียมแผ่ซ่านออกมาจากตัวหลินสวิน ราวกับเทพมารฟื้นตื่นขึ้นมาในยามนี้!
ในลานบรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที
“เห็นแก่ที่พวกเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของจิ่งเซวียนขนาดนี้ ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้าก็ได้ แต่… โทษตายเลี่ยงได้ โทษเป็นยากหลบลี้ วันนี้หากไม่กำราบพวกเจ้าให้คุกเข่ากับพื้น ข้าหลินสวินจะยอมให้พวกเจ้าจัดการได้ตามใจชอบ!”
หลินสวินเอ่ยปากเย็นชา
คำกล่าวนี้เผด็จการเป็นล้นพ้น
แต่สำหรับพวกเยี่ยนจั่นชิว กลับเจือแววหยามหน้าอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นซูซิงเฟิงก็อดไม่ไหว กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “โอหัง! แม้แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังเหยียดหยันผู้อื่น ไม่รู้ดีชั่ว!”
“เจ้าสมควรตายนัก!” เยี่ยนจั่นชิวโกรธอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“ออก!”
เขาตะคอกเสียงธรรมออกมาทันที
เงามายาเจินหลงตัวหนึ่งควบรวม ร่างหนาใหญ่ดุจภูผา เกล็ดแวววาว แหงนหน้าร้องคำราม ลวดลายมังกรบนหัวล้วนปรากฏเด่นชัด
“หลินสวิน อย่างเจ้าก็เป็นแค่โจรกระจอกที่ลักลอบเรียนวิชามังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรเท่านั้น วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้าให้สิ้นซาก!”
ในเสียงตะโกนสนั่นหวั่นไหว เจินหลงในห้วงอากาศก็โถมตัวทะยานเข้ามาทางหลินสวิน
หลินสวินช้อนสายตาขึ้น นัยน์ตาลุ่มลึกเยียบเย็น
ภายในร่างของเขา นัยเร้นลับเจินหลงโคจร สัญลักษณ์อักษรเคราะห์แต่ละตัวปรากฏขึ้น สว่างจ้าพร่าตา รายล้อมอยู่รอบตัวหลินสวิน
พร้อมกันนั้นอานุภาพมังกรอันไพศาล เก่าแก่ และน่าเกรงขามก็ระเบิดออกจากร่างหลินสวิน!
โฮก!
เสียงมังกรคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น สัญลักษณ์อักษรเคราะห์กลายร่างเป็นเจินหลง ห้อทะยานขึ้นกลางอากาศ
ในช่วงสี่ปีทำให้หลินสวินเชี่ยวชาญมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรตั้งนานแล้ว บรรลุถึงขั้นแปลงมังกร ตัวคนดุจดั่งเจินหลง ทุกท่วงท่าอิริยาบถล้วนแล้วแต่เคลือบแฝงบุคลิกแห่งเจินหลงทั้งสิ้น!
ตูม!
เจินหลงที่แหวกว่ายห้วงอากาศมาด้วยความเร็ว ถูกเจินหลงที่หลินสวินสำแดงออกมาฉีกทึ้งร่างตรงๆ ละอองแสงระเบิดกระจุย
“อะไรกัน”
พวกเซียวหรันหน้าเปลี่ยนสี ความแข็งแกร่งแห่งพลังของเยี่ยนจั่นชิว ในแดนเก้าบนทุกคนล้วนรับรู้ ไต่เต้าสู่อันดับบนกระดานทองคำผู้กล้าได้นานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎบนมกุฎมรรคาเลยทีเดียว!
แต่ยามนี้ ทันทีที่ลงมือก็ประสบกับความเสียเปรียบ!
สิ่งที่ทำเอาผู้คนไม่อยากเชื่อมากที่สุดคือ วิชามรรคที่หลินสวินใช้ ถึงกับมาจากเผ่าเจินหลงหลง แต่เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าเยี่ยนจั่นชิวอยู่บ้าง
“เจ้า…”
เยี่ยนจั่นชิวเดือดดาล เขารู้ดีอยู่แล้วว่าวิชาที่หลินสวินใช้ก็คือมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถึงกับช่ำชองในมรดกวิชานี้ได้ถึงขั้นนี้
นี่เป็นถึงมรดกวิชาต้องห้ามของเผ่าเจินหลง มีเพียงทายาทที่ในร่างมีสายเลือดเจินหลงเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกฝนและควบคุมได้!
แล้วหลินสวินไปควบคุมมันได้อย่างไรกัน
ตูม!
ไม่รอให้เยี่ยนจั่นชิวตอบสนอง หลินสวินก็สาวเท้าสู่ห้วงอากาศ เบื้องหน้าเขา เจินหลงแหงนหน้าสะบัดหาง แผ่อานุภาพมังกรอันน่าสะพรึงที่พาให้ฟ้าดินยังสั่นสะเทือน
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ดวงตาเยี่ยนจั่นชิวแดงก่ำ พุ่งออกไปเต็มแรง กลิ่นอายของเขาก็ปะทุถึงขั้นสูงสุดในชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน
ทอดมองจากไกลๆ ราวกับมังกรพิโรธตัวหนึ่งทะลวงอากาศ หมายจะจับตัวคนแล้วเขมือบกลืน!
……………………