บนเวิ้งฟ้าการต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์

ทอดมองจากไกลๆ ก็เหมือนเจินหลงสองตัวกำลังตวัดรัดฟัดเหวี่ยงกัน อานุภาพมังกรอันน่าสะพรึงประหนึ่งภูเขาถล่มคลื่นยักษ์โหมซัด แผ่กว้างออกไปยังสี่ทิศแปดทาง

เสียงมังกรคำรามสะท้อนก้อง สนั่นหวั่นไหวทั่วโลกหล้า

ใกล้ๆ รัศมีพันลี้ ป่าไม้ หินผา เถาวัลย์เก่าแก่ล้วนได้รับผลกระทบ แตกระเบิดพังถล่มลงมากลายเป็นฝุ่นฟุ้งกำจาย

แม้แต่ชั้นเมฆบนเวิ้งฟ้าก็ยังแตกเป็นเสี่ยงราวกับปุยเมล็ดหลิว ห้วงอากาศปั่นป่วนอลหม่าน เสียงระเบิดดังก้องหูไม่หยุด

“ฆ่า!”

ผมยาวของเยี่ยนจั่นชิวปลิวสะบัด ท่าทางราวกับมารคลั่งสำแดงมรรคและวิชา ทุกท่วงท่าล้วนเปี่ยมอานุภาพทำลายล้าง

ถึงอย่างไรก็เป็นมกุฎราชันที่เหยียบย่างอมตะเคราะห์ด่านสาม ทั้งพรสวรรค์ยังโดดเด่น พลังต่อสู้ทั้งตัวเรียกได้ว่าสะท้านโลกชวนสยอง

เขาสามารถยืนเทียมบ่าเทียมไหล่กับพวกหวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ หมีเหิงเจินได้ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ที่แกร่งที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ยุคปัจจุบัน ย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงลอยๆ ไร้มูลเหตุอย่างแน่นอน

ก็เห็นทั่วร่างของเขาเปล่งแสง เจินหลงตัวแล้วตัวเล่าพุ่งทะยาน หวีดร้องคับจักรวาล อานุภาพเช่นนั้นน่าตื่นตาไร้ทัดเทียมจริงๆ

พวกเซียวหรันถึงแม้จะดูจนจิตใจไหวหวั่น สั่นสะเทือนไม่หาย แต่กลับไม่เบิกบานใจเลย

เหตุผลนั้นง่ายยิ่ง ถึงแม้เยี่ยนจั่นชิวจะแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา แต่ในการต่อสู้ก็ถูกเทพมารหลินกำราบเอาไว้อย่างดิ้นไม่หลุดมาตั้งแต่ต้น!

จวบจนตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น!

มองไปไกลๆ เงาร่างหลินสวินราวกับภาพฝันมายา แผ่อานุภาพมังกรอันท่วมท้นไพศาล ระหว่างเงื้อมือย่างเท้าประดุจเจินหลงตัวหนึ่งกำลังทะลวงผ่านชั้นเมฆ ไร้สิ่งขวางกั้น ทะลวงทุกกระบวนท่า

ภายใต้การโจมตีของเขา การบุกจู่โจมใดๆ ของเยี่ยนจั่นชิวล้วนเปราะบางเหมือนกระดาษเปื่อย!

ปัง!

ทันใดนั้นเยี่ยนจั่นชิวถูกหางมังกรซัดกวาด ร่างถูกฟาดจนลอยคว้างออกไปสิบกว่าจั้ง เสื้อผ้าขาดวิ่น บนผิวหนังที่เผยออกมาทิ้งรอยแผลสีเลือดน่าสยดสยองเอาไว้สายหนึ่ง

“เป็นไปไม่ได้ เจ้าควบคุมนัยเร้นลับแปลงมังกรได้อย่างไรกัน!?”

เยี่ยนจั่นชิวใจสะท้าน ดวงตาแทบถลนออกมา

ก่อนหน้านี้เขาผงาดกร้าว มีท่วงท่าห้าวหาญไม่มีใครเทียมรางๆ บุคลิกสง่าสะท้านผู้คน

แต่ยามนี้กลับเห็นได้ชัดว่าเดือดดาลและลนลาน มีอาการไม่อยากจะเชื่อ

“เรื่องที่เจ้าไม่รู้ยังมีอีกมาก สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น รังแต่จะทำขายหน้าตัวเอง”

ในน้ำเสียงราบเรียบ หลินสวินได้พุ่งเข้าไปแล้ว เงาร่างดั่งมังกร ตัวคนดุจมังกร มีความน่าเกรงขามแห่งมังกรที่ประหนึ่งเป็นนายเหนือหัวแห่งภูผาธารา ผงาดหยองหยิ่งทระนงในฟ้าดินก็ไม่ปาน

ถูกขังอยู่ใต้แม่น้ำนรกสี่ปี หลังจากนั้นยังข้ามเคราะห์สามด่านที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติกาล ทำให้พลังต่อสู้ของหลินสวินเป็นคนละเรื่องกับที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว

ส่วนมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร เขาเคยรู้จากที่จ้าวจิ่งเซวียนเล่าให้ฟัง ว่ามรดกวิชานี้เป็นสิ่งที่ท่านลู่เหลือทิ้งไว้ ผนึกไว้ในเก้าศิลาประตูมังกร

นับตั้งแต่ฝึกวิชานี้เป็นต้นมา หลินสวินก็ไม่เคยประสบปัญหาใดๆ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยนจั่นชิวถึงมีท่าทีรุนแรงอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้!

แต่หากเยี่ยนจั่นชิวมองเขาด้วยสายตาแบบเดียวกับเมื่อสี่ปีที่แล้ว เช่นนั้นก็คิดผิดมหันต์!

“ฆ่า!”

เยี่ยนจั่นชิวคำรามเดือดดาล สำแดงวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาตลอดชีวิต

หลายปีก่อนในการประลองกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ เขาในฐานะผู้ชมข้างสนาม ยามที่เผชิญหน้ากับหลินสวินก็ยังวางท่าเหยียดหยันอยู่

แม้ว่าจะรู้สึกตกตะลึงกับศักยภาพแฝงที่หลินสวินสำแดงออกมาในตอนนั้น แต่ภายในใจก็ยังไม่เห็นหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควร

แต่นี่เวลาเพิ่งจะไม่กี่ปีสั้นๆ เท่านั้น ชายหนุ่มที่ในอดีตเขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจคนนี้ กลับเติบใหญ่จนถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งนี้ทำให้เขาไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง ไม่อาจยอมรับได้!

ปึง!

ผ่านไปครู่หนึ่งหลินสวินสำแดงประทับปี้อั้น กระแทกเยี่ยนจั่นชิวร่วงหล่นจากเวิ้งฟ้าตรงๆ ล้มลงบนพื้นเต็มแรง หมดสภาพไม่น่าดู

“นี่เป็นไปได้อย่างไร!?”

พวกเซียวหรันร้องเสียงหลง หัวใจหดรัดไปหมด

“สมควรตาย!”

ในเสียงคำราม เยี่ยนจั่นชิวผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ยันตัวลุกพรวดพุ่งสังหารต่อไป

เพียงแต่ใบหน้าหล่อเหลาของเขานั้นเริ่มดุดันขึ้นมา ตาแทบถลน ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายเหี้ยมเกรียมหาใดเปรียบ

ปัง!

แต่ไม่ทันไรเขาก็ถูกซัดปลิวอีกครั้ง กระดูกแขนขวาแตกหัก ทั้งตัวร่วงตุบราวกับกระสอบทรายก็ไม่ปาน

พวกเซียวหรันสีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุด

ก่อนหน้านี้ในใจพวกเขาล้วนหยิ่งผยอง คิดว่าสี่ปีมานี้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าสะเทือนดิน ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหลินสวินแล้ว

แต่ตอนนี้พวกเขาเพิ่งตระหนักว่า สี่ปีที่หายตัวไปนี้ พลังต่อสู้ของหลินสวินเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน แข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อสี่ปีก่อนไม่รู้กี่เท่า!

ก็เหมือนกับยามนี้ แม้แต่เยี่ยนจั่นชิวยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!

“อ๊าก…!”

ผมยาวของเยี่ยนจั่นชิวสยายอย่างบ้าคลั่ง ควันออกเจ็ดทวาร ในใจมีความอับอายอย่างบอกไม่ถูก

ชายหนุ่มที่เคยถูกเขาเหยียดหยันมาก่อน ยามนี้กลับมีพลังต่อสู้ที่เล่นงานเขาจนบาดเจ็บ เรื่องนี้มีหรือเขาจะเชื่อได้

ตูม!

เขาเรียกสมบัติออกมาโหมสังหารต่อไป

ทั้งตัวราวกับมารคลั่งอย่างสิ้นเชิง!

“เร็วเขา ลงมือพร้อมกัน!”

เซียวหรันตะโกน พุ่งโจมตีก่อนเป็นคนแรก เพราะเขามองออกแล้วว่า หลินสวินในยามนี้ไม่ใช่คนที่เยี่ยนจั่นชิวคนเดียวจะต้านทานได้ หากไม่ลงมือพร้อมกัน ผลที่ตามมาคงน่าเป็นห่วง

“ฆ่า!”

พวกอวิ๋นเช่อ เหวินเสียง ซูซิงเฟิงต่างลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด

ชั่วขณะนั้นแสงสมบัติและวิชามรรคตัดสลับไปมาทั่วบริเวณ ประกายแสงพร่างพราว หอบม้วนเข้าใส่หลินสวินจากสี่ทิศแปดทาง

นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ เรียบเฉยไม่กลัวเกรง กล่าวว่า “โจมตีหมู่อีกแล้ว พวกเจ้าไม่กระดากใจกันบ้างหรือ หรือจะบอกว่านี่คือธรรมเนียมของผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเจ้า”

ประโยคเดียวทำเอาพวกเซียวหรันสีหน้ามืดทะมึน ถูกแดกดันเช่นนี้ในใจพวกเขามีหรือจะไม่เคืองขุ่นอับอาย

เพียงแต่พวกเขารู้ดียิ่งกว่าว่ายามนี้หากไม่ยอมลงมือเพราะห่วงหน้า รอให้ถึงตอนที่เยี่ยนจั่นชิวพ่ายแพ้ก็ถึงคราวพวกเขาแล้ว!

แต่ที่น่าเสียดายคือ พวกเขาไม่ได้ประเมินความห่างชั้นระหว่างตนเองกับหลินสวินให้ชัดเจนเลยสักนิด

ตูม!

ทันใดนั้นรอบตัวหลินสวินเปล่งแสง เสียงมังกรคำรามสายหนึ่งกึกก้องสนั่นฟ้าดังขึ้นทั่วร่าง เงามายาเจินหลงเก้าตัวเต็มๆ พุ่งปราดอยู่กลางฟ้าดิน

เก้ามังกรปรากฏ จักรวาลผันแปร!

ชั่วขณะนั้นการโจมตีทั้งหมดที่ปิดล้อมหลินสวินต่างพังครืนสนั่นหวั่นไหว

และตัวเยี่ยนจั่นชิวก็ถูกเก้ามังกรกดร่างกระแทกกับพื้นอย่างจัง เลือดทะลักออกปากจมูก ไม่ว่าขัดขืนอย่างไรล้วนไม่อาจหยัดตัวลุกขึ้นได้

แม้แต่หัวยังยกไม่ขึ้น!

พวกเซียวหรันแข็งทื่อไปทั้งตัว ในใจถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวมหาศาล

คราวนี้พวกเขาเพิ่งตระหนักว่าในการต่อสู้กับเยี่ยนจั่นชิวเมื่อครู่นั้น หลินสวินเก็บงำพลังต่อสู้มาโดยตลอด นี่ เห็นชัดว่าน่าสะท้านขวัญอย่างไม่ต้องสงสัย!

“ตาพวกเจ้าแล้ว!”

นัยน์ตาเย็นเยียบของหลินสวินสะท้อนประกายสายฟ้า กลิ่นอายทั้งตัวเปลี่ยนไป ใช้กฎเกณฑ์ธาตุน้ำแทนที่กฎเกณฑ์เจินหลง สำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์

ชั่วขณะนั้นพลังหมัดพร่างพราวไร้ใดเปรียบหวีดก้องกลางห้วงอากาศ แฝงพลังที่ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้

ก็เห็นทุกที่ที่พลังหมัดนั้นเคลื่อนผ่าน ห้วงอากาศถูกฉีกทึ้งเป็นรอยแยกสายแล้วสายเล่า เสียงระเบิดดุจสายฟ้าทำเอาแก้วหูผู้คนแทบแตกเป็นเสี่ยง

พวกเซียวหรันเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน การเยียบย่างบนระดับมกุฎราชันได้ก็พิสูจน์ความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้ว

แต่เมื่อเทียบกับหลินสวินแล้วก็ห่างชั้นกันมากนัก

ยามนี้แม้จะร่วมกันปิดล้อมหลินสวิน แต่เพียงแค่ชั่วครู่ก็ถูกพลังหมัดหลากสายซัดโจมตีหกคะเมน ล้มระเนระนาด โหยหวนไม่ขาดสาย

ไม่ทันไรพวกเซียวหรันต่างถูกสยบ แต่ละคนนอนพังพาบเกลื่อนพื้น เนื้อตัวบาดเจ็บสาหัส สภาพอเนจอนาถอย่างที่สุด

และในยามนี้หลินสวินก็โรยตัวลงมาจากห้วงอากาศอย่างนุ่มนวล นัยน์ตาดำดั่งสายฟ้า กวาดมองทุกคนแล้วกล่าวว่า “ข้าบอกแล้ว ครั้งนี้เห็นแก่หน้าจิ่งเซวียน ข้าไม่อยากฆ่าพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะจำบทเรียนครั้งนี้เอาไว้ หากวันหน้ายังดื้อดึงไม่เข้าท่าอีกก็คงไม่โชคดีเช่นนี้แล้ว”

พูดจบเขาคร้านจะเหลือบมองพวกเยี่ยนจั่นชิวอีก เดินมาหยุดเบื้องหน้าจ้างจิ่วเซวียน

และยามนี้เขาเก็บกลิ่นอายรอบตัวลงแล้ว ไอสังหารเยียบเย็นกลางนัยน์ตาดำก็ถูกแทนที่ด้วยแววอ่อนโยนและทะนุถนอม

“จิ่งเซวียน ข้าจะพาเจ้าออกไป”

หลินสวินไม่ได้พูดมากความ อุ้มจ้าวจิ่งเซวียนขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้ววางไว้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร จากนั้นจึงสาวเท้าฉับๆ ออกไป

ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยแยแสพวกเยี่ยนจั่นชิวอีกเลย

“น่าชังนัก!”

ผ่านไปครู่หนึ่งที่แห่งนี้ก็กลับสู่ความสงบเช่นเดิม เซียวหรันส่งเสียงผรุสวาทออกมา กัดฟันจนจวนจะหัก

สีหน้าคนอื่นๆ ต่างก็ไม่น่าดูอย่างที่สุดเช่นกัน

ครั้งนี้ เรียกได้พวกเขาแพ้ราบคาบ!

หากแพร่งพรายออกไปคงไม่พ้นกลายเป็นตัวตลกในแดนเก้าบน และยากจะลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้อีก

“ใครจะไปคิด หลินสวินนี่ไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่พลังต่อสู่ก็เปลี่ยนไปจนน่ากลัวปานนี้แล้ว”

และบางคนก็มีสีหน้าขมขื่น

ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลินสวินกำชัยและสยบพวกเขาอย่างง่ายดาย เห็นชัดว่าไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด เผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ พาให้ผู้คนสิ้นหวังชัดๆ!

“ศิษย์น้องจ้าวถูกเขาพาตัวไปแล้ว พวกเรา… ควรทำอย่างไร”

มีคนเอ่ยขึ้นอย่างลังเล

จากนั้นสายตาของทุกคนล้วนมองไปทางเยี่ยนจั่นชิวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เยี่ยนจั่นชิวในยามนี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ฝุ่นตลบทั่วร่าง ปากจมูกเปรอะเลือด สภาพนั้นเห็นได้ชัดว่าน่าอนาถและไม่เหลือสภาพหาใดเปรียบ

แต่ที่น่าประหลาดคือแววตาของเขากลับคืนสู่ความสงบแล้ว มีเพียงประกายเยียบเย็นเสี้ยวหนึ่งที่แวบผ่านนัยน์ตาเป็นคราวๆ เท่านั้นที่พิสูจน์ว่า ภายในใจเขาไม่ได้เยือกเย็นเหมือนอย่างที่แสดงออก

“แพ้ก็แพ้ไปแล้ว ยังต้องพูดอะไรอีก”

นิ่งเงียบเนิ่นนานเยี่ยนจั่นชิวถึงค่อยเอ่ยปากเสียงขรึม “ส่วนศิษย์น้องจิ่งเซวียน…”

พูดถึงตรงนี้ ในแววตาเขามีแววขมขื่นสายหนึ่งแวบผ่าน สูดหายใจลึกเต็มแรงเฮือกหนึ่งค่อยกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “ต่อให้ตอนนี้จะอยู่ด้วยกัน แต่ต่อไปทั้งสองคนก็ต้องพลัดพรากจากกันอยู่ดี! เขาหลินสวินไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าสถานะของศิษย์น้องจิ่งเซวียนสูงศักดิ์ปานใด! หากเขากล้าคิดเลยเถิด ช้าเร็วหายนะใหญ่สะเทือนฟ้าย่อมต้องตกถึงตัวเขาแน่!”

นี่ไม่ใช่การระบายความอัดอั้นตันใจและเคียดแค้นภายในใจของเขา

แต่เพราะเขารู้ดี หากหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนตกลงปลงใจเป็นคู่บำเพ็ญ นั่นต้องพบเจอกับการโจมตีที่สามารถทำให้เขาไม่อาจแบกรับได้!

“ศิษย์พี่เยี่ยน เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร”

ซูซิงเฟิงเอ่ยถาม

“หลินสวินหายตัวไปสี่ปี และตอนนี้หวนคืนสู่แดนเก้าบนอีกครั้ง จะต้องเกิดมรสุมใหญ่ขึ้นเป็นแน่ ไม่ว่าบุตรนรกหรือกู่ฝอจื่อ หากรู้ข่าวนี้เข้าต้องนั่งไม่ติดอย่างแน่นอน”

นัยน์ตาเยี่ยนจั่นชิวทอประกายวาว “พวกเรา… แค่รอชมปาหี่สนุกๆ ก็พอแล้ว!”

กลุ่มคนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ต่างพากันเห็นด้วยอย่างยิ่ง

สี่ปีก่อนกู่ฝอจื่อเป็นคนจัดวางสถานการณ์โจมตีหลินสวินให้จมอยู่ใต้แม่น้ำนรกด้วยตนเอง หากรู้ข่าวว่าหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ มีหรือจะนิ่งดูดาย

ทำนองเดียวกัน ความเคียดแค้นที่บุตรนรกมีต่อหลินสวิน ก็มีมากมายเช่นเดียวกัน

“ในช่วงนี้แดนเก้าบนแห่งนี้คลื่นลมสงบมาตลอด ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายเก็บตัวจำศีล ผู้แข็งแกร่งมากมายต่างพากันเจาะทะลวงเลื่อนขั้นพลังของตนอย่างเงียบๆ แต่ความเงียบสงบเช่นนี้ ต้องถูกทำลายลงพร้อมการปรากฏตัวอีกครั้งของหลินสวินแน่นอน!”

เยี่ยนจั่นชิวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวเสียงขรึม “ข้าก็อยากเห็นนัก เขาหลินสวินจะเผชิญหน้ากับศัตรูพวกนั้นอย่างไร!”

อันที่จริงพูดมากมายขนาดนี้ เขาก็แค่ไม่อยากยอมรับเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือ หลังจากพบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในวันนี้ ส่วนลึกภายในใจของเขาได้สูญเสียความคิดที่จะต่อต้านหลินสวินไปแล้ว…

——