ท้องฟ้าสีครามเข้ม หมื่นลี้ไร้เมฆ

หลินสวินเหยียบย่างห้วงอากาศ อาภรณ์โบกสะบัด ไม่แปดเปื้อนโลกีย์

ผ่านไปสี่ปี หวนคืนแดนอัคคีทักษิณอีกครั้ง สัมผัสถึงไอวิญญาณเข้มข้นที่คละคลุ้งกลางฟ้าดิน หลินสวินเองก็อดอึ้งงันไปพักหนึ่งไม่ได้เช่นกัน

เพียงแต่ไม่นานสายตาเขาก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งไม่กระเพื่อม

ยามนี้จ้าวจิ่งเซวียนใช้ ‘ประทับเทพผนึกหกมรรค’ ผนึกจิตวิญญาณตน จมสู่สภาพนิทราอย่างอัศจรรย์ แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต สิ่งนี้ทำให้ในใจหลินสวินสงบไม่น้อย

เพราะซย่าจื้อในปีนั้นก็เคยหลับใหลเช่นนี้มาก่อน ก็แค่ยามนี้เปลี่ยนเป็นจ้าวจิ่งเซวียน…

‘ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ก็จะรอจนเจ้าฟื้นขึ้นมา’

หลินสวินพึมพำในใจ

ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร จ้าวจิ่งเซวียนนอนนิ่งเงียบบนแท่นหยกที่สร้างขึ้นจากหินหยก สองมือเรียวยาวขาวเนียนสอดประสานโอบรอบกระถางสมบัติเก้ามังกร

คิ้วของนางดุจสีหมึก โครงหน้าราวกับแกะสลักขึ้นจากหยกมันแพะน้ำงาม วิจิตรและฉ่ำวาว ดวงหน้าซูบผอมอย่างชัดเจน กลับเผยความงามมากขึ้น ริมฝีปากระเรื่อเม้มเบาๆ สีหน้าสงบผ่อนคลาย

ก็ไม่รู้ว่าได้ยินเสียงหัวใจของหลินสวินหรือไม่ หางตาของนางมีหยาดน้ำตาค่อยๆ ไหลรินก่อนระเหยหายไป

“สหายยุทธ์ ขอบังอาจถามว่าอาณาเขตขุมอำนาจเรือนกระบี่เร้นปุจฉาตั้งอยู่เขาแดนมงคลลูกใดหรือ”

ระหว่างทางหลินสวินบังเอิญพบกับผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งที่กำลังเก็บเกี่ยวโอสถวิญญาณ

“เขาจำศีลหัวโล้น จากนี้ไปทางตะวันออกระยะทางราวๆ หนึ่งหมื่นสามพันลี้…”

“ขอบคุณยิ่งแล้ว”

เมื่อได้ยินคำตอบแน่ชัด หลินสวินพยักหน้าเป็นการขอบคุณ เงาร่างขยับไหวก่อนพุ่งโฉบไปในอากาศ

ผ่านไปสี่ปี ในแดนเก้าบนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลินสวินตั้งใจมุ่งหน้าไปเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ไปหาจี้ซิงเหยาเพื่อไถ่ถามเรื่องราวบางอย่าง

พร้อมกันนั้นก็สืบข่าวที่อยู่ของเจ้าคางคกด้วยเสียหน่อย

“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าหมอนั่นเหมือนคนผู้หนึ่ง”

ในหมู่ผู้ฝึกปราณที่เก็บโอสถนั้น มีคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความข้องใจ

“ใครหรือ”

“เทพมารหลิน”

ทันทีที่สามคำนี้เปล่งออกมา ในลานเงียบกริบทั้งแถบโดยฉับพลัน สมญานามนี้เป็นตัวแทนของคนร้ายกาจที่เคยมีชื่อเสียงทั่วใต้หล้า!

แต่จากนั้นในลานก็มีเสียงหัวเราะล้อเลียนดังขึ้น

“อย่าเพ้อเจ้อ เทพมารหลินสิ้นชีพตั้งแต่สี่ปีก่อนนู่นแล้ว หากคนผู้นั้นเป็นเทพมารหลิน ให้ข้ากินอาจมยังได้เลย!”

คนอื่นๆ ก็ชอบใจด้วย หัวเราะลั่นไม่สิ้น

มีเพียงคนเดียวที่ยังคงติดใจสงสัย กล่าวพึมพำ “แต่ว่า คนผู้นั้นเหมือนเทพมารหลินมากจริงๆ นะ…”

เขาจำศีลหัวโล้น หนึ่งในเขาแดนมงคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนอัคคีทักษิณ

ตั้งแต่แดนเก้าบนเปิด ภูเขานี้ก็ถูกเรือนกระบี่เร้นปุจฉายึดครอง ถึงแม้จะผ่านการรุกรานจากเพลิงศึกมานานปี แต่เขาจำศีลหัวโล้นก็ยังคงถูกควบคุมอยู่ในมือเรือนกระบี่เร้นปุจฉา

ทว่าพักนี้สถานการณ์ของเรือนกระบี่เร้นปุจฉากลับค่อนข้างตึงเครียด

“นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ข้ามา พี่โม่ แม่นางจี้ คำกล่าวที่ว่าโอกาสมีไม่เกินสามครั้ง ขออย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจ”

บนเขาจำศีลหัวโล้น ในคฤหาสน์กว้างขวางแห่งหนึ่งเจิ้นอวิ๋นเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าโต๊ะเตี้ย มองผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉาอย่างพวกโม่เทียนเหอ จี้ซิงเหยาที่อยู่ตรงข้าม หัวคิ้วขมวดมุ่น

บรรยากาศในโถงใหญ่อึดอัด

ทุกคนรวมถึงโม่เทียนเหอ จี้ซิงเหยา สีหน้าล้วนเห็นได้ชัดว่าอึมครึมยิ่ง ภายในใจทั้งโกรธกรุ่นทั้งหนักอึ้ง

เจิ้นอวิ๋นเฟิง สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งที่มาจากจวนเทพขุมทมิฬ พรสวรรค์เหนือธรรมดา รากฐานพลังแข็งแกร่ง

แต่ต่อให้เป็นผู้กล้าเช่นนี้ เมื่อช่วงปีกลายกลับสวามิภักดิ์ให้ค่ายทัพ ‘แดนนรก’ กลายเป็นหนึ่งในสิบสองขุนพลแดนนรก

แดนนรก ขุมอำนาจแห่งนี้ปรากฏขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน ถูกสร้างขึ้นโดยบุตรนรก บุคคลเร้นลับที่ปรากฏตัวสู่โลกจากแท่นบูชานรกเทพ

ในช่วงสี่ปี แดนนรกภายใต้การนำของบุตรนรกแข็งแกร่งผงาดง้ำขึ้นมา ยามนี้ได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่สามารถขึ้นแท่นเป็นอันดับแรกในแดนอัคคีทักษิณ

ใต้บัญชาเขามีสิบสองขุนพล สามสิบหกผู้คุมกฎ รวมถึงผู้สืบทอดขุมอำนาจน้อยใหญ่ที่ยอมสยบใต้อำนาจเขาอีกกลุ่มใหญ่ เรียกได้ว่ายอดฝีมือคับคั่ง

ต่อให้ทอดสายตาไปทั่วทั้งแดนเก้าบน แดนนรกก็มีชื่อเสียงเกรียงไกร เพียงพอจะทำให้ขุมอำนาจใดๆ ล้วนไม่กล้าดูเบา

เดิมทีเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรือนกระบี่เร้นปุจฉา

ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเจิ้นอวิ๋นเฟิงมาหาถึงที่ด้วยตัวเอง แสดงถึงเจตจำนงของบุตรนรก หมายเรียกให้เรือนกระบี่เร้นปุจฉายอมจำนน สวามิภักดิ์ต่อแดนนรก

นี่ย่อมได้รับการปฏิเสธอย่างไม่ลังเลจากพวกจี้ซิงเหยา โม่เทียนเหออยู่แล้ว

ในฐานะผู้สืบทอดสำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิม มีหรือพวกเขาจะเต็มใจยอมจำนนต่อค่ายทัพแดนนรก

แต่เจิ้นอวิ๋นเฟิงก็ไม่ย่อท้อ ตอนที่มารอบสอง ได้เอ่ยถึงผลประโยชน์ที่ล่อใจหาใดเปรียบไม่น้อย หนำซ้ำยังเอ่ยกลายๆ ว่าหากเรือนกระบี่เร้นปุจฉาปฏิเสธ กลัวแต่ว่าจะถูกแดนนรกเห็นเป็นเสี้ยนตำตา สถานการณ์ภายหน้าคงน่าเป็นห่วงยิ่ง

แต่จี้ซิงเหยายังคงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่มีที่ว่างให้เจรจาสักนิด

และครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่เจิ้นอวิ๋นเฟิงมุ่งหน้ามา หนำซ้ำยังหงายไพ่ตรงๆ โอกาสมีไม่เกินสามหน จะต้องยุติเรื่องนี้ให้เด็ดขาด!

“เจิ้นอวิ๋นเฟิง เสียแรงที่เจ้าเป็นคนที่ถือว่ามีชื่อมีเสียงมากคนหนึ่ง ยามนี้กลับเต็มใจเป็นสมุนรับใช้คนอื่น พาให้ผู้คนผิดหวังนัก”

เสียงของจี้ซิงเหยาใสเย็น

“แม่นางจี้ นั่นเพราะเจ้าไม่เข้าใจรากฐานพลังของใต้เท้าบุตรนรก ติดสอยห้อยตามเขา ก็สามารถได้รับศุภโชคและผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึง”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่สนใจแววเสียดสีในคำพูดของจี้ซิงเหยาสักนิด กล่าวอย่างสงบนิ่ง “หนำซ้ำแดนเก้าบนในยามนี้แก่งแย่งแข่งขันกันโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ ก็มีแต่ร่วมเคลื่อนไหวด้วยกันกับใต้เท้าบุตรนรกเท่านั้น จึงอาจจะมีหวังผงาดง้ำต่อไปเรื่อยๆ ได้”

นิ่งไปครู่หนึ่งเจิ้นอวิ๋นเฟิงกล่าวต่อว่า “พวกกุ้งฝอยปลาน้อยย่อมถูกลิขิตให้ไม่เหลือรอด คิดว่าทุกท่านก็น่าจะรู้ดี แดนเก้าบนในยามนี้ขุมอำนาจมากมายที่ความแข็งแกร่งไม่พอล้วนถูกขุมอำนาจยิ่งใหญ่กลืนกินไปนานแล้ว ทุกท่านคิดว่าอาศัยความแข็งแกร่งของเรือนกระบี่เร้นปุจฉายามนี้ จะสามารถมองเป็นเรื่องภายนอกไม่เกี่ยวข้องได้หรือ”

คำพูดนี้มำเอาบรรยากาศในโถงใหญ่ยิ่งเงียบสงัดและอึมครึมขึ้น

ปึง!

โม่เทียนเหอตบโต๊ะเตี้ยตรงหน้าแตกกระจุยในคราเดียว กล่าวด้วยสีหน้าเยียบเย็น “เจิ้นอวิ๋นเฟิง เสียทีที่เมื่อก่อนข้ายังเห็นเจ้าเป็นสหายรู้ใจ ใครเลยจะคาดคิด ตอนนี้เจ้าถึงกับไร้ยางอายเช่นนี้ จะบอกเจ้าให้ เจ้าชอบเป็นสุนัขรับใช้ให้คนอื่น แต่ข้าไม่สนด้วย!”

ทันใดนั้นในใจผู้คนต่างสั่นสะท้าน

กลับเห็นเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็สีหน้าขรึมลงเช่นกัน กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “พี่โม่ หากไม่ใช่เพราะเห็นเจ้าเป็นสหาย เจ้าคิดว่าข้าจะโร่มาพูดโน้มน้าวถึงสามครั้งหรือ หน้าตาฐานะล้วนต่อสู้มาด้วยตัวเอง หากเจ้ายังรั้นไม่เข้าท่า ก็เกรงว่านับแต่วันนี้ไปเขาจำศีลหัวโล้นนี่คงต้องเปลี่ยนมือเสียแล้ว”

นี่เท่ากับการฉีกหน้าอย่างสิ้นเชิง

ทันใดนั้นผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉาในที่นี้ต่างก็นั่งไม่ติด สีหน้าวูบไหวไม่มั่นคง

“หรือก็หมายความว่า หากวันนี้พวกเรายังปฏิเสธอีก เจ้าก็จะเปลี่ยนเป็นศัตรูกับพวกเรา?”

จี้ซิงเหยาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยถามเยียบเย็น

เวลานี้เจิ้นอวิ๋นเฟิงกลับถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “บอกแบบไม่ปิดบัง ละแวกเขาจำศีลหัวโล้นลูกนี้ได้ถูกกองกำลังแดนนรกของข้าควบคุมไว้หมดแล้ว หากทุกท่านยังไม่ให้คำตอบที่น่าพอใจ ที่แห่งนี้… อาจจะมีหายนะนองเลือดก็ได้”

ประโยคเดียวราวกับกระแสหนาวเหน็บ พาให้บรรยายทั่วทั้งโถงใหญ่แข็งทื่อทันควัน ลมหายใจของทุกคนล้วนชะงึกกึก หน้าเปลี่ยนสีอย่างสิ้นเชิง

คราวนี้พวกเขาตระหนักได้ว่า ครั้งนี้เจิ้นอวิ๋นเฟิงเตรียมการมาพร้อมพรัก!

“รังแกกันเกินไปแล้ว!”

โม่เทียนเหอเดือดดาล กัดฟันจนจวนจะหัก

“พี่โม่โปรดระงับโทสะด้วย นี่ก็เป็นวิธีการที่จำใจต้องทำ ยิ่งกว่านั้นข้าก็แค่ดำเนินการตามคำสั่งเท่านั้น หวังว่าอย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจเลย”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงมาดมั่นยิ่ง ท่าทางเยือกเย็นเหมือนกำชัยเป็นมั่นเหมาะ

“เจ้าไม่กลัวพวกเราจับตัวเจ้าไว้เลยหรือ” จี้ซิงเหยากล่าว

เจิ้นอวิ๋นเฟิงคลี่ยิ้มบางๆ “ในเมื่อข้ากล้ามา เจ้าคิดว่าจะไม่ไตร่ตรองถึงเรื่องนี้เลยหรือ ทุกท่าน ยังยืนยันประโยคนั้นเช่นเดิม ข้าไม่หวังจะเป็นศัตรูกับพวกเจ้าอย่างยิ่ง ”

จี้ซิงเหยานิ่งเงียบ ดวงหน้างามวูบไหวไม่คงที่

และพวกโม่เทียนเหอก็แค้นจนดวงตาแทบหลั่งเลือด คิดไม่ถึงเลยสักนิด ว่าเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของพวกเขาจะถึงกับมีวันที่ถูกคนบีบบังคับเช่นนี้ด้วย

รังแกกันเกินไปแล้วชัดๆ!

“ครั้งนี้แดนนรกรวมข้าเข้าไป มีสี่ขุนพลและแปดผู้คุมกฎออกเคลื่อนไหว หากใช้ไม้แข็ง ไม่เกินหนึ่งเค่อก็เพียงพอจะกลืนที่นี่แล้ว”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงเอ่ยปากอีกครั้ง ใจความของคำพูดพาให้ผู้คนสั่นเทิ้มทั้งที่ไม่หนาว “ดังนั้นทุกท่านโปรดคิดทบทวนให้ถ้วนถี่ อย่าผลีผลามเป็นอันขาด จะได้ไม่ต้องจุดธูปสวดส่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาในแดนมกุฎ”

บรรยากาศในโถงใหญ่เงียบกริบมากขึ้นเรื่อยๆ…

เพียงแต่เวลานี้เอง เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังขึ้นนอกโถงใหญ่ คนยังมาไม่ถึงเสียงตื่นตระหนกสายหนึ่งก็ดังขึ้นก่อน “ศิษย์พี่เจิ้น ทะ… ท่านออกมาสักครู่ได้หรือไม่”

เป็นอิ๋นเสวี่ย มาจากจวนเทพขุมทมิฬเช่นเดียวกับเจิ้นอวิ๋นเฟิง

ครานั้นเคยมุ่งหน้าไปเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกเพื่อแสวงหาวาสนาพร้อมกับพวกหลินสวิน

เจิ้นอวิ๋นเฟิงขวดคิ้วกล่าวว่า “มีอันใด”

สายตาของพวกจี้ซิงเหยาและโม่เทียนเหอก็ถูกดึงดูดให้มองไปเช่นกัน สัมผัสได้อย่างว่องไวว่าสีหน้าของอิ๋นเสวี่ยในยามนี้ถึงกับสับสนและตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก เสมือนเจอเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้

“นี่…”

อิ๋นเสวี่ยลังเลเล็กน้อย

“ว่ามาเถิด”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เห็นอยู่ว่าเขาใกล้จะสั่นคลอนพวกโม่เทียนเหอได้แล้ว สามารถคว้าผลแห่งชัยชนะได้ แต่กลับถูกอิ๋นเสวี่ยขัดคอ ในใจรู้สึกไม่อภิรมย์อยู่หน่อยๆ

ดวงหน้างามของอิ๋นเสวี่ยวูบไหว น้ำเสียงฝืดเฝื่อนเจือแววสับสน “สะ… สหายยุทธ์หลินสวินมาแล้ว”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงอึ้งไปเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นทั่วร่างพลันแข็งทื่อ จอกเหล้าที่เพิ่งยกขึ้นมาถือในมือสั่นกึก เหล้ากลิ่นหอมกรุ่นเข้มข้นหกกระจาย

ทว่าเขากลับไม่รู้เนื้อรู้ตัว หากแต่กล่าวตะลึงงัน “เจ้าว่าใครนะ”

พวกจี้ซิงเหยาก็พากันอึ้งค้าง สี่ปีแล้ว ชื่อที่เกี่ยวกับหลินสวินน้อยนักจะถูกคนเอ่ยถึง แต่ตอนนี้อิ๋นเสวี่ยถึงกับบอกว่าหลินสวินมา นี่… เป็นไปได้อย่างไร

อิ๋นเสวี่ยเองก็สีหน้าสับสนหาใดเปรียบ ถูกสายตาของเจิ้นอวิ๋นเฟิงจับจ้อง นางไม่อาจไม่กล่าวด้วยอาการหนังหัวชาหนึบ “เป็นสหายยุทธ์หลินสวิน ขะ… เขายังมีชีวิตอยู่”

เพล้ง!

โต๊ะเตี้ยเบื้องหน้าเจิ้นอวิ๋นเฟิงพลันถูกผลักคว่ำอย่างจัง จอกเหล้าและแก้วกระจายเกลื่อนพื้น

เขาดีดตัวดังผึง สีหน้ามืดทะมึน ผรุสวาทดังลั่น “เหลวไหล! สี่ปีก่อนเขากลายเป็นคนตายไปแล้ว จะโผล่มาอีกได้อย่างไร”

อิ๋นเสวี่ยตัวสั่นระริก กล่าวว่า “ตะ… แต่นี่เป็นเรื่องจริง! ยามนี้เขาอยู่ที่เชิงเขานี่เอง ต้องไม่ผิดอย่างแน่นอน”

“นี่เป็นไปไม่ได้!”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงกล่าวเด็ดขาด ในใจมีความหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ไม่เหลือแววเยือกเย็นและมาดมั่นเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

สี่ปีก่อนที่แท่นบูชานรกเทพ เขาเคยเป็นเห็นกับตาตัวเองว่าหลินสวินสำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ ซัดบุตรนรกจนถอยกรูดอย่างไร

สำหรับคนผู้นี้ ภายในใจเขามีความเกรงกลัวหาใดเปรียบ

ทว่าคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าในเวลาเช่นนี้กลับได้ยินข่าวของคนผู้นี้อีกครั้ง หนำซ้ำยังมีอยู่ชีวิตอยู่อีกด้วย

นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน

เวลานี้พวกจี้ซิงเหยา โม่เทียนเหอต่างก็ตกใจไปพักหนึ่งเช่นกัน หรือว่า… หลินสวินยังไม่ตายจริงๆ

หากเป็นเช่นนี้จริง นี่ก็เป็นข่าวดีอย่างหนึ่ง!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจพวกจี้ซิงเหยาต่างคึกคัก พวกเขาล้วนรู้ดี พลังต่อสู้ของหลินสวินนั้นแข็งแกร่งปานใด

หากได้เขาช่วยเหลือ ไม่แน่ว่าอาจสามารถคลี่คลายสถานการณ์ยุ่งเหยิงนี้ได้!

……….