บทที่ 621.3 ทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันนึกถึงลูกศิษย์ของตนอย่างชุยตงซานขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

การมาทัศนศึกษาของสกุลเฉินผู้รอบรู้ซึ่งเฉินฉุนอันพาพวกลูกศิษย์เดินทางมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยตัวเองในครั้งนี้

เฉินผิงอันเชื่อว่าชุยตงซานจะต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับหลิวเสี้ยนหยางให้มากความ

เพียงแค่ได้มาพบกับหลิวเสี้ยนหยางอีกครั้งในต่างบ้านต่างเมืองก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดแล้ว

เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น “สักหน่อยไหม?”

หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “ไม่ดื่มแล้ว”

เขาเงยหน้ามองสีท้องฟ้า “กลุ่มคนที่มาทัศนศึกษาของพวกเราในครั้งนี้ล้วนพักอาศัยอยู่ที่จวนของซุนจวี้เฉวียน ข้าจะต้องรีบกลับไป ก่อนหน้านี้เอาของไปเก็บก็รีบร้อนไปหาเจ้าที่จวนหนิงเสียก่อน ได้พบแต่หมัวมัวหน้าตามีเมตตาคนหนึ่ง บอกว่าเจ้าน่าจะมาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่ หนิงเหยาก็น่าจะเป็นหมัวมัวคนนั้นที่ไปตามตัวมา”

หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่วันหน้าข้าก็น่าจะไปที่จวนหนิงบ่อยๆ แล้วลากเจ้ามาดื่มเหล้าด้วยกันที่นี่บ่อยๆ เพราะสหายทั้งหลายของข้าซึ่งรวมถึงเฉินซื่อเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ไม่เชื่อว่าข้ารู้จักเจ้า บอกว่าข้าขี้โม้ ทำเอาข้าโมโหแทบตาย ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดรู้จักเจ้าเฉินผิงอันถึงได้เป็นเรื่องที่ร้ายกาจไปแล้ว หรือว่าไม่ใช่เฉินผิงอันรู้จักหลิวเสี้ยนหยางที่ถึงจะเป็นเรื่องโชคดีที่สุดในใต้หล้าหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยว่า “ถึงเวลานั้นขอแค่เจ้าช่วยข้าหาลูกค้ามาได้ จะให้ข้านั่งยองดื่มเหล้าพูดคุยกับเจ้าก็ยังไม่มีปัญหา”

คนหนึ่งไปที่จวนเซียนกระบี่ซุน อีกคนหนึ่งไปที่จวนหนิง จะต้องเดินทางร่วมกันไประยะหนึ่ง คนทั้งสองจึงออกไปจากร้านเหล้าด้วยกัน ก่อนจะออกไป หลิวเสี้ยนหยางยังไม่ลืมเก็บเศษชิ้นส่วนของถ้วยเหล้าที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา พลางพึมพำเบาๆ ว่า “แตกเพื่อความสงบสุข”

จากนั้นพอเดินกันไปบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบเส้นนั้น หลิวเสี้ยนหยางก็ยื่นแขนมาเกี่ยวคอเฉินผิงอันอีกครั้ง ออกแรงรัดคออีกฝ่าย พูดกลั้วหัวเราะร่า “ครั้งหน้าเมื่อไปถึงตีนภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง เจ้าก็จงเบิกตาให้กว้างเถอะ ถึงเวลานั้นจะรู้เองว่าเวทกระบี่ของนายท่านใหญ่หลิวนั้นร้ายกาจแค่ไหน”

เด็กชายเถาป่านและเด็กหนุ่มเด็กสาวมองไปตรงนั้นด้วยกัน

ดูเหมือนว่าเถ้าแก่รองในวันนี้จะถูกรังแกจนไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน แต่กลับดูอารมณ์ดีอย่างมาก

……

ภูเขาห้อยหัว

เซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนซึ่งมีชาติกำเนิดจากอุตรกุรุทวีปยืนอยู่ในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง ทว่าเถาน้ำเต้าต้นนั้นกลับไม่อยู่แล้ว

เพราะหลังจากที่หลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิงและหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยกลับออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยามที่บอกลากัน เส้าอวิ๋นเหยียนก็ได้มอบสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดินชิ้นนั้นให้กับหลูสุ้ยไปแล้ว และยังเรียกเซียนกระบี่หนุ่มอย่างหลิวจิ่งหลงมาด้วย เขาบอกกับหลูสุ้ยว่านอกจากจะต้องนำเถาน้ำเต้าที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แต่ละลูกกำลังจะสุกงอมส่งไปที่ภูเขาสุ่ยจิงแล้ว ยังบอกให้หลูสุ้ยรู้ถึงรายชื่อผู้ซื้อน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ทุกลูก จากนั้นก็ขอร้องให้หลิวจิ่งหลงช่วยคุ้มกันไปส่ง หลูสุ้ยย่อมปฏิเสธ ต่อให้เส้าอวิ๋นเหยียนจะไม่ใช่คู่รักเทพเซียนกับอาจารย์ผู้มีพระคุณของนาง แต่ก็เป็นยิ่งกว่าคู่รัก กระนั้นสองสำนักก็มีความแตกต่าง อีกทั้งนางหลูสุ้ยเองก็เป็นเด็กรุ่นหลัง ไหนเลยจะกล้ารับสมบัติหนักเช่นนี้เอาไว้ แต่เส้าอวิ๋นเหยียนยืนกรานว่าจะทำเช่นนี้ ไม่ยอมให้หลูสุ้ยปฏิเสธ หลูสุ้ยจึงได้แต่ตอบตกลงอย่างระมัดระวัง หากข้างกายไม่มีหลิวจิ่งหลงอยู่ด้วย ต่อให้หลูสุ้ยตอบตกลง นางก็ยังไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถมีชีวิตรอดกลับไปถึงอุตรกุรุทวีปได้ สมบัติล้ำค่าของตระกูลเซียนประเภทนี้เกี่ยวพันกับชะตาฟ้าลิขิตมากมายนัก ทั้งลี้ลับทั้งมหัศจรรย์ ต่อให้หลูสุ้ยคือหนึ่งในสิบอันดับคนหนุ่มสาวของอุตรกุรุทวีปก็ยังไม่คิดว่าตัวเองจะ ‘รับ’ โชควาสนานี้เอาไว้ได้

สุดท้ายเส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าวกับหลูสุ้ยว่า “ช่วยข้านำความไปบอกกับอาจารย์เจ้าประโยคหนึ่ง ตลอดหลายปีมานี้ คิดถึงนางมาโดยตลอด”

วันนี้เส้าอวิ๋นเหยียนออกจากจวนไปเดินท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงของภูเขาห้อยหัวอย่างที่หาได้ยาก

ลูกศิษย์สืบทอดทั้งหลายต่างก็พกพาสมบัติหนักชิ้นอื่นและทรัพย์สินแต่ละประเภทของเรือนชุนฟานออกไปจากภูเขาห้อยหัวอย่างเงียบเชียบแล้ว

คนหนึ่งในนั้น บางทีอาจรู้สึกว่าฟ้าสูงพอให้นกโบยบินแล้ว ถึงได้ร่วมมือกับคนนอกตามไปไล่ฆ่าหลูสุ้ยกับหลิวจิ่งหลง

เส้าอวิ๋นเหยียนไม่ได้สนใจ ปล่อยให้จิตสังหารของลูกศิษย์ที่ไม่มีความเป็นมนุษย์มากพอผู้นั้นบังเกิดขึ้นมา จะเชื่อว่าโชคและเคราะห์ไร้ประตู ล้วนเป็นคนที่เรียกหามันมา หรือจะเชื่อว่าเป็นตายอยู่ที่ชะตา ยากดีมีจนอยู่ที่ฟ้าลิขิต ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

สวนดอกเหมยซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัวเช่นเดียวกับเรือนชุนฟาน

เปียนจิ้งไม่ได้เดินทางไปทัศนศึกษาที่ทักษินาตยทวีปพร้อมกับพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์อย่างเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง แต่อยู่ต่อที่นี่เพียงลำพัง

สตรีผู้หนึ่งที่ตรงหว่างคิ้วแต้มดอกเหมยประดับ ผิวพรรณขาวนวลเนียน ริมฝีปากแดงฉ่ำ สวมชุดกระโปรงที่ตัดเย็บอย่างประณีตจนแทบจะเรียกได้ว่ายิบย่อย งดงามจนมิอาจมีสิ่งใดมาทัดเทียมได้

นางต่างหากจึงจะเป็นเจ้าของสวนดอกเหมยแห่งนี้ที่แท้จริง เพียงแต่ว่ามักจะเก็บตัวเงียบ แทบไม่เคยเผยโฉมมาก่อน

เปียนจิ้งเรียกนางว่าถัวเหยียนฮูหยิน ถัวเหยียน (ใบหน้าที่แดงปลั่งหลังจากดื่มสุรา) คือชื่อที่งดงามชื่อหนึ่ง ชื่องดงาม คนก็รูปงาม ช่างดีพร้อมเสียจริง

แม้เปียนจิ้งจะไม่เคยมีความสนใจต่อเรื่องชายหญิง แต่ก็ยอมรับว่าเมื่อได้มองถัวเหยียนฮูหยินก็ทำให้สบายตาสบายใจอยู่ไม่น้อย

ชิงเสินฮูหยินแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมย ฮูหยินทั้งหมดสิบท่านของใต้หล้าไพศาลล้วนมีความงามที่มากพอจะทำให้เทพเซียนบนภูเขาละเมอเพ้อพก จิตวิญญาณแกว่งไกว หลงใหลคลั่งใคล้

และฮูหยินเหล่านี้ก็มีความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง เพราะพวกนางล้วนมีชาติกำเนิดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำหรือไม่ก็ภูตผี

ถัวเหยียนฮูหยินนั่งตรงกันข้ามกับเปียนจิ้งอยู่ในศาลาริมน้ำ ในมือของนางถือกระบอกเก็บพู่กันที่เหลามาจากไม้ไผ่ซึ่งสวนดอกเหมยเพิ่งจะมอบให้นางเพื่อแสดงความกตัญญู บนตัวกระบอกใช้วิธีการฝานเอาเนื้อด้านในของไม้ไผ่ที่เป็นสีเหลืองมาแปะเป็นภาพกอไผ่ซี่เล็กๆ เป็นพุ่มเป็นกอนูนขึ้นอย่างมีมิติ ฝีมือประณีตบรรจงดุจสวรรค์เนรมิต ไม้ไผ่เหลืองล้วนมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ มีมูลค่าควรเมือง

ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มกล่าว “กลัวตายขนาดนี้เชียวหรือ?”

เปียนจิ้งพยักหน้ารับ “อันที่จริงตัวข้าเองยังไม่เท่าไร อยากจะไปชมศึกบนหัวกำแพงเมืองกับหลินจวินปี้อย่างมาก เพียงแต่อีกคนหนึ่งกลับทำลับๆ ล่อๆ บอกให้ข้าหลบซ่อนให้ดี บอกว่าได้คำนวณมาแล้ว หากไม่ระวังสักหน่อย ทุกอย่างที่ทำมาก็จะสูญเปล่า และจุดจบก็จะอนาถอย่างมาก”

เปียนจิ้งถาม “ประตูใหม่บานนั้น สรุปแล้วว่าเป็นใครที่เสนอให้บุกเบิกก่อน? แล้วเทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนั้นคิดอย่างไรกันแน่?”

ถัวเหยียนฮูหยินเอ่ย “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ประตูเก่าประตูใหม่ ต่อให้ทั้งภูเขาห้อยหัวล้วนไม่อยู่แล้ว พวกมันกลับจะยังอยู่”

เปียนจิ้งกล่าวอย่างคลางแคลง “จะมีเซียนกระบี่คอยประสานอยู่ภายใน ยินดีช่วยพวกเราเฝ้าประตูบานนั้นจริงๆ หรือ?”

ถัวเหยียนฮูหยินชำเลืองตามองคนหนุ่มแวบหนึ่ง “น่าประหลาดใจมากนักหรือ? หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้า ฝั่งหนึ่งเจอสงครามมีคนตายนานเป็นหมื่นปี อีกฝั่งหนึ่งเสวยสุขกับวิถีทางโลกที่สงบสุข แล้วยังจะคอยหัวเราะเยาะพวกคนที่ตายไปแล้วด้วย ในใจเจ้าจะรู้สึกดีได้หรือ? วันสองวัน ปีสองปีสามารถอดทนได้ แต่สิบปีหลายร้อยปีเล่า? คนที่นิสัยดีจะกลายเป็นเซียนกระบี่ได้หรือ?”

เปียนจิ้งพยักหน้ารับ “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าย่อมเอาคืนเป็นเท่าตัว”

คนในครอบครัวของเถ้าแก่หนุ่มของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยพักอาศัยอยู่ที่นี่กันมาหลายรุ่นหลายสมัย เวลานี้เขามานั่งอยู่บนธรณีประตูโรงเตี๊ยม กำลังหยอกหมาตัวหนึ่งที่ผ่านทางมา

แสงอาทิตย์อบอุ่น ทำเอาคนที่อาบแดดยิ่งเกียจคร้านมากกว่าเดิม เป็นวันที่โลกสงบสุขปลอดภัยน่าเบื่อหน่ายอีกวัน

นอกภูเขาห้อยหัว

ร่องเจียวหลงแห่งนั้น แน่นอนว่าไม่ได้เหลือแค่กุ้งหอยปูปลาตัวเล็กตัวน้อยจริงๆ ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนเซียนดิน ที่แห่งนี้ก็ยังคงเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ ได้แต่อ้อมเดินทางไปไกลกว่าเดิมเท่านั้น

ห่างไปไกลอีกนิด สำนักที่มีเทวรูปเทพพิรุณกับเทวรูปแม่ทัพเทพตั้งตระหง่านอยู่ตรงข้ามกันมีชื่อว่าสำนักอวี่หลง ตำหนักสุ่ยจิงที่อยู่บนภูเขาห้อยหัวก็คือจวนส่วนตัวของสำนักแห่งนี้

นอกจากสำนักอวี่หลงที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารอย่างถึงที่สุดแล้ว บนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลยังมีตระกูลเซียนบนภูเขาน้อยใหญ่ที่มายึดครองเกาะ ต่างคนต่างมีทั้งเกียรติรุ่งโรจน์และทั้งความอัปยศเสื่อมถอย

บนเส้นทางการเดินเรือข้ามทวีปของเกาะกุ้ยฮวา ทัศนียภาพแห่งที่สี่บนทะเลก็คือการขับเคลื่อนผ่านช่องแคบใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปร่างทองสององค์ที่สูงร้อยจั้งกว่าของสำนักอวี่หลงไปช้าๆ

เล่าลือกันว่าแม่ทัพเทพร่างทองที่มือสองข้างค้ำยันไว้บนกระบี่องค์นั้นเคยเป็นองค์เทพบรรพกาลซึ่งทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ประตูทิศใต้ของสรวงสวรรค์ ส่วนองค์เทพอีกองค์ที่ใบหน้าพร่าเลือน รัดเข็มขัดพลิ้วไสวหลากสีสันองค์นั้น คือองค์เทพอันดับหนึ่งในบรรดาเทพพิรุณมากมายบนสวรรค์ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลการเคลื่อนเมฆโปรยพิรุณของมังกรที่แท้จริงทุกตัวในโลกมนุษย์ หลังจากที่บรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงสร้างร่างกายธรรมขององค์เทพนี้ขึ้นมา ก็ดูเหมือนว่ายังคงมีหน้าที่คอยควบคุมการโคจรของชะตาน้ำส่วนหนึ่งทางทิศใต้อยู่เหมือนเดิม

สำนักอวี่หลงที่มีสององค์เทพคุมเชิงกันแห่งนี้มีระบบสืบทอดเก่าแก่โบราณที่ประวัติศาสตร์ยาวนานมากอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือยามผู้ฝึกตนที่เป็นสตรีจะเลือกคู่บำเพ็ญเพียร จะต้องดูที่ลูกกลมปักลายซึ่งทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับของสำนักที่พวกนางโยนลงไปอย่างเดียว ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนไปแย่งชิงมา แล้วก็แย่งชิงมาได้ ผู้ฝึกตนเซียนดินก็ไม่สามารถใช้วิชาอภินิหารไปแย่งบังคับกลับคืนมา แต่หากผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนลงมือ ก็เท่ากับว่าเป็นการท้าทายสำนักอวี่หลง

เมื่อสิบกว่าปีก่อนมีผู้ฝึกตนหนุ่มที่โชควาสนาลึกล้ำคนหนึ่งโดยสารเกาะกุ้ยฮวาผ่านช่องแคบนั้นมา และมาเจอกับการโยนลูกกลมลายปักของเทพธิดาแห่งสำนักอวี่หลงพอดี ดันเป็นเขาที่รับได้ จึงถูกลูกกลมและแถบผ้าหลากสีพาบินขึ้นยังจุดสูงของสำนักอวี่หลงราวกับเทพบินทะยาน ไม่เพียงเท่านี้ บุรุษผู้นี้ยังมีโชควาสนาด้านการฝึกตนที่ใหญ่กว่านั้น เพราะยังได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับเทพธิดาอีกท่านหนึ่งด้วย โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ โชคด้านความรักใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ แม้แต่นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ห่างไกลก็ยังได้ยินเรื่องนี้

คนหนุ่มผู้นี้มีนามว่าฟู่เค่อ ไม่เสียแรงที่เป็นคนซึ่งมีวาสนากับสำนักอวี่หลง จากผู้ฝึกตนเล็กๆ ที่เดิมทีไร้สัญชาติไร้นาม คิดไม่ถึงว่าหลังจากฝึกวิชาเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของสำนักอวี่หลงแล้วจะเดินขึ้นฟ้าไปทีละก้าว ไม่เพียงแต่ได้กอดสาวงามกลับไป ยังเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้อย่างราบรื่น กลายเป็นเซียนดินที่ฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักอวี่หลง ถึงอย่างไรคนหนุ่มก็เป็นผู้ฝึกตนที่เคยล้มลุกคลุกคลานตรงตีนเขามาก่อน หลังจากขึ้นสู่ที่สูงแล้ว ด้านการสมาคมกับผู้คนจึงต่างจากผู้ฝึกตนที่มีชาติกำเนิดจากสำนักอวี่หลงอยู่มาก จึงกลายเป็นคนที่ได้รับความสำคัญอย่างมาก

วันนี้ฟู่เค่อมาที่ตีนของเทวรูปองค์หนึ่ง เขาเดินขึ้นสู่ที่สูงทอดสายตามองไปไกลด้วยใบหน้าแช่มชื้น เวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบกว่าปี ก็สามารถทำให้คนหนุ่มที่กระเป๋าฟีบแบนคนหนึ่งกลายมาเป็นคนในกลุ่มเทพเซียนราวกับได้เกิดใหม่

เคยมีผู้ฝึกตนที่เคยร่วมทุกข์ด้วยกันมาเยือนเพราะได้ยินข่าว สำนักอวี่หลงไม่อนุญาตให้คนนอกขึ้นมาบนเกาะ ฟู่เค่อจึงลงไปต้อนรับด้วยตัวเอง จัดหาที่พักให้เขาอยู่กับกองกำลังใต้อาณัติของสำนักอวี่หลง หากกลับบ้านเกิดเมื่อไหร่ก็จะมอบค่าเดินทางก้อนใหญ่ให้ แต่หากไม่ยินดีจะจากไป ฟู่เค่อก็จะช่วยให้คนผู้นั้นได้มีงาน มีตำแหน่งฐานะอยู่ในสำนักบนเกาะอื่นๆ

มีศิษย์พี่ของสำนักอวี่หลงต้องการเดินทางไปหาประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลกลับถูกอาจารย์ห้ามปราม ยามที่มาดื่มเหล้าดับทุกข์ ฟู่เค่อก็คอยอยู่เป็นเพื่อน ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ดื่มเหล้าเท่านั้น

ฟู่เค่อที่หลายปีมานี้มีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุดบางครั้งก็รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก และบางครั้งก็จะนึกถึงสภาพอับจนน่าสมเพชของตนในอดีต คิดถึงพวกคนที่เคยร่วมโดยสารเกาะกุ้ยฮวามาด้วยกันในปีนั้น ทว่าสุดท้ายแล้วกลับมีเพียงตนที่โดดเด่นเหนือฝูงชน เดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว

แต่ส่วนลึกในใจของฟู่เค่อกลับมีปมเล็กๆ อย่างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือเขาได้ยินมานานแล้วว่าบนเกาะกุ้ยฮวาในปีนั้น หลังจากที่ตนออกมาจากเรือข้ามฟากแล้ว มีคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากแจกันสมบัติทวีปเหมือนกันสามารถร่ายใช้เวทอภินิหารที่ร่องเจียวหลง สุดท้ายนอกจากจะไม่ตายแล้วยังได้ชื่อเสียงใหญ่โต

ไม่เพียงเท่านี้ คนหนุ่มที่แซ่เฉินผู้นั้นยังโชคดีกว่าเขาฟู่เค่อเสียอีก ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น แม้แต่ตำหนักสุ่ยจิงของภูเขาห้อยหัวก็ยังส่งข่าวเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับคนผู้นี้มาที่สำนักอวี่หลง นี่ทำให้ฟู่เค่อที่ยามแย้มยิ้มพูดจามีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ถึงขั้นที่ว่าตอนพูดถึงสายเหวินเซิ่งยังเอ่ยถ้อยคำดีๆ เกี่ยวกับคนหนุ่มผู้นั้นอยู่หลายคำ ทว่าขณะเดียวกันในใจกลับมีความคิดเล็กๆ อย่างหนึ่งผุดขึ้นมา เฉินผิงอันผู้นี้ ตายๆ ไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นั่นแหละดี

แน่นอนว่าฟู่เค่อย่อมไม่เคยมีความแค้นกับคนผู้นี้มาก่อน

คนผู้นั้นตายไป วิถีทางโลกควรจะเป็นอย่างไรก็ยังจะเป็นอย่างนั้นอยู่ดีมิใช่หรือ?

ฟู่เค่อยิ้มบางๆ พลันรู้สึกอารมณ์ดี เขาหมุนตัวเดินจากไปเพื่อไปฝึกตนต่อ ขอแค่พัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น ได้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ในอนาคตเก้าอี้เจ้าสำนักของสำนักอวี่หลงก็จะยิ่งขยับเข้ามาใกล้ตนอีกก้าว ไม่แน่ว่าในอนาคตข้าฟู่เค่ออาจจะยังมีโอกาสได้สตรีเซียนกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเป็นคู่รักคนใหม่ก็เป็นได้

เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า

การเดินไปบนมหามรรคา

ต้นไม้น้ำเขียวครึ้มอุดมสมบูรณ์ ปลามากมายแหวกว่าย ถึงขั้นยังสามารถเลี้ยงเจียวหลง

ยามที่ชะตาฟ้าพลิกกลับ เมื่อน้ำแห้งขอด สัตว์น้ำมากมายย่อมถูกแดดแผดเผาจนตาย