บทที่ 622.1 เรียนกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เมื่อเฉินผิงอันย้อนกลับมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาก็เลือกหัวกำแพงที่เงียบสงบแห่งหนึ่งแล้วทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงที่มีระยะความยาวประมาณหนึ่งลี้

โดยทั่วไปแล้ว หากขอบเขตต่ำกว่าเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบลงมาก็มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ สามารถออกกระบี่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่งอยู่เพียงลำพัง ยกตัวอย่างเช่นฉีโซ่วที่เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ

ฉีโซ่วเองก็กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่คนแรกที่เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดในบรรดาคนวัยเดียวกันทั้งหมดของช่วงเวลาอันดีงามแห่งตัวอ่อนเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยุคนี้

นี่คือกฎตายตัว แล้วก็เป็นเกียรติยศเพียงหนึ่งเดียวของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ดังนั้นต่อให้เป็นหนิงเหยาก็ยังจำเป็นต้องร่วมออกกระบี่พร้อมกับพวกเฉินซานชิว ผังหยวนจี้และเกาเหย่โหวก็ยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าภูเขาลูกเล็กที่ผู้มีพรสวรรค์หลายคนมารวมตัวกันเหล่านี้ ระดับความกว้างของหัวกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่พวกเขารับผิดชอบ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดทั่วไปแล้วจะยาวกว่า ถึงขั้นที่ว่าสามารถทัดเทียมได้กับเซียนกระบี่หลายคน

การที่เฉินผิงอันได้เป็นข้อยกเว้น อีกทั้งยังไม่ชักนำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ ก็เพราะไม่ถือว่าเฉินผิงอันทำผิดกฎ ตอนนี้เขายังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่เลี้ยงกระบี่บินไว้หลายเล่มเท่านั้น

บวกกับการที่เฉินผิงอันยินดีจะพาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ไปเป็นเหยื่อล่อ เป็นฝ่ายดึงดูดความสนใจจากปีศาจใหญ่บางตนที่ซ่อนตัวอยู่ โดยที่หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไร จั่วโย่วไม่เอ่ยอะไร เซียนกระบี่ผู้เฒ่าตระกูลเหยาอย่างเหยาเหลียนอวิ๋น (ตอนก่อนหน้าผู้แต่งใช้ชื่อหนิงเหลียนอวิ๋น คิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด) ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เซียนกระบี่คนอื่นๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมไม่คิดจะขัดขวาง

และบังเอิญที่เฉินผิงอันเป็นเพื่อนบ้านกับฉีโซ่วพอดี

ฉีโซ่วควบคุมกระบี่ไม่หยุด เพียงแต่แบ่งสมาธิเล็กน้อยมาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน วันนี้ไอ้หมอนี่ไม่ได้สวมหน้ากากที่มีมากมายรุงรังพวกนั้น แต่สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวของตัวเองตัวหนึ่ง บวกกับชุดคลุมของหอภูษาชิ้นหนึ่ง วางกระบี่ยาวที่หอกระบี่เป็นผู้สร้างเล่มหนึ่งพาดไว้บนหัวเข่า ตอนนั้นที่สังหารหลีเจิน อาวุธเซียนสองชิ้นที่สร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ให้แก่เฉินผิงอันต่างก็ไม่ได้ปรากฎตัว

ตอนนี้เพิ่งจะเป็นช่วงต้นในการเฝ้าพิทักษ์เมือง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตจำนวนมากของเซียนกระบี่เป็นเหมือนกระแสน้ำขึ้นที่โถมตัวออกไป อยู่ตำแหน่งหน้าสุดของสนามรบ คอยสกัดขวางกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจ จากนั้นจึงเป็นพวกปลาที่หลุดรอดจากแห ต้องให้พวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเรียกกระบี่บินออกมาสังหาร ลำดับต่อมาหากยังมีปีศาจที่โชคดีรอดตาย ส่วนใหญ่เมื่อผ่านค่ายกลกระบี่แห่งที่สองมาได้แล้วก็ต้องเจอกับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่กรูกันเข้าหา ผ่าหัวฟันแสกหน้า เดิมทีนี่ก็คือการฝึกปรือฝีมือการใช้กระบี่อย่างหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นับตั้งแต่ขอบเขตถ้ำสถิตถึงขอบเขตประตูมังกร ผู้ฝึกกระบี่สามขอบเขตนี้ ต่อให้ขอบเขตจะยังไม่สูง แต่เมื่อคุ้นเคยกับสนามรบมากขึ้นเรื่อยๆ และจิตที่สื่อกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ยิ่งเชื่อมโยงเข้าใจกันมากขึ้น ทุกครั้งที่ออกกระบี่ไปก็ย่อมเร็วมากขึ้นทุกขณะ

ฉีโซ่วย้ายเส้นสายตาไปมองการออกกระบี่ของเฉินผิงอันแวบหนึ่ง

ตอนนั้นที่เฉินผิงอันออกจากเมืองไปต่อสู้กับหลีเจิน ฉีโซ่วกำลังอยู่ในช่วงปิดด่าน ไม่มีโอกาสได้เห็นกับตาตัวเอง แค่ได้ยินคนอื่นเล่ามาหลังจบเรื่องเท่านั้น แต่ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่หยิ่งทระนงอย่างฉีโซ่วก็ยังต้องยอมรับว่านั่นเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เลยทีเดียว

การออกกระบี่ของเฉินผิงอันวันนี้ไม่มีปิดบังอำพราง กระบี่บินทั้งสี่เล่มถูกเรียกออกมาพร้อมกัน มองดูเหมือนเป็นการกระทำอย่างจวนตัว ไม่รู้ว่าไปเรียนวิชาอำพรางตาแบบนี้มาจากใคร กระบี่บินทั้งสี่เล่ม หากพูดถึงแค่รูปลักษณ์ พวกมันมักจะเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ปีศาจห้าขอบเขตบนและก่อกำเนิด แน่นอนว่ามองแค่ครั้งสองครั้งก็สามารถมองออกถึงเวทอำพรางตาชั้นเลวนั้นเลว แต่หากพูดถึงแค่กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่ก้มหน้าก้มตาบุกรุดหน้าไปบนสนามรบอย่างเดียวกลับเพียงพอมากแล้ว หลังจากถูกกระบี่บินสี่เล่มรั้งฝีเท้าก็ง่ายที่ต้องเจอกับความยากลำบาก แล้วก็จะต้องตกหลุมพรางจนมีสภาพอเนจอนาถ

ยังพอจะมีข้อพิถีพิถันเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่ง นั่นคือพวกปีศาจที่บุกมาด้านหน้าสุดจะตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ก่อน ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ปีศาจมากมายยังคงบุกมาด้านหน้าได้ต่อ เพียงแต่ว่าจำต้องชะลอฝีเท้าลงอย่างห้ามไม่ได้

เมื่อเทียบกับความมีสมาธิมุ่งมั่นของเฉินผิงอันแล้ว การขัดขวางศัตรูของฉีโซ่วกลับผ่อนคลายกว่ามาก ต่อให้จะแบ่งสมาธิไปสนใจจุดอื่นก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการดำเนินไปของสนามรบตัวเอง

กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เรียกได้ว่าบาดเจ็บล้มตายกันอย่างหนัก แต่กระนั้นก็ยังอยู่ห่างจากกำแพงเมืองแห่งนี้ไปไกลมาก สำหรับผู้ฝึกกระบี่ที่ผ่านประสบการณ์บนสนามรบใหญ่มาสามครั้งอย่างฉีโซ่วแล้ว การรับมือกับพวกมันจึงมีกำลังเหลือแหล่ นอกจากนี้เดิมทีฉีโซ่วก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอยู่สามเล่ม เฟยหลวนมีความเร็วสูงสุด หากต่อสู้กันตัวต่อตัวย่อมได้เปรียบ ซินเสียนเหมาะกับการสู้รบที่ยาวนาน ไม่กลัวเนื้อหนังที่หนาทนทาน เรือนกายที่แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจที่สุด ส่วนเที่ยวจูกระบี่บินที่ลี้ลับที่สุดเล่มนั้นก็ยิ่งได้รับคำพยากรณ์จากอริยะลัทธิเต๋าว่า ‘ครอบครองธารดารา สายฝนพร่างพรมโลกมนุษย์’ มีวิธีการเดียวกันกับ ‘กระจอกเมฆบนฟ้า’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิง และ ‘ห้วงลึกเมฆขาว’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเหยาเหลียนอวิ๋นที่สามารถสร้างทะเลเมฆขึ้นมาได้หลายแห่ง ซึ่งสามารถทำร้ายศัตรูได้เป็นวงกว้างมากที่สุด

นี่จึงเป็นเหตุให้ถึงแม้ฉีโซ่วจะเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด แต่การเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองในช่วงระยะทางสั้นๆ กลับผ่อนคลายอย่างมาก โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น หรือผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่หากเทียบกันแล้วปราณวิญญาณจะเบาบางกว่า ก็ล้วนจำเป็นต้องคำนวณเวลาให้แม่นยำถึงจะสามารถเผชิญหน้ากับอันตรายในสงครามได้ ถึงเวลานั้นบนหัวกำแพงเมืองจะมีแต่อันตรายรายล้อม คนที่จำต้องถอยออกจากหัวกำแพงเมืองหรือผู้ฝึกกระบี่ที่รบตายในสงครามมีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนแล้วหรือสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจที่ยังไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ขอแค่โชคไม่ดี หรือเป็นพวกที่กล้าเปลี่ยนเส้นทางการบุกมาข้างหน้า ทะเล่อทะล่าโผล่เข้ามาในเขตอิทธิพลของฉีโซ่วก็ล้วนต้องถูกกระบี่บินเฟยหลวนสังหารอย่างโหดเหี้ยม

แต่ไหนแต่ไรมาฉีโซ่วก็จะใช้เฟยหลวนสังหารศัตรูด้วยวิธีการที่อำมหิตเสมอ เขาชอบที่จะแร่เนื้อของเผ่าปีศาจ ให้กระดูกขาวของอีกฝ่ายโผล่ออกมา อยู่ไม่สู้ตาย

หากเป็นพวกที่รับมือได้ยากหน่อยก็จะมอบให้กระบี่บินเล่มที่สองอย่างซินเสียนไปรับมือ ยิ่งคุมเชิงกันนานเท่าไร โอกาสชนะของอีกฝ่ายจะก็ยิ่งน้อยเท่านั้น เพราะนั่นเป็นการมอบโอกาสให้ซินเสียนได้สะสมพลังเตรียมความพร้อม กระบี่บินเล่มนี้สามารถออกกระบี่ได้เร็วกว่าเฟยหลวน อีกทั้งยังสามารถอาศัยการโคจรของปราณวิญญาณที่เล็กละเอียดในฟ้าดินขนาดเล็กมาตามหาช่องโพรงที่สำคัญของศัตรู

ฉีโซ่วมองโครงกระดูกที่กลาดเกลื่อนพื้นบนสนามรบซึ่งห่างไปไกลแวบหนึ่ง ปีนั้นครั้งแรกที่ขึ้นมาออกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ ระหว่างที่ทำสงครามก็อดจะมีคำถามหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ เหตุใดสัตว์รัจฉานพวกนี้ถึงได้ไม่กลัวตายกันเลย

มีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งให้คำตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่มีใครที่ไม่กลัวตาย เพียงแต่ว่าที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น ชีวิตคือสิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุด ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก็เหมือนกัน เว้นเสียจากว่ากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ทำให้ชีวิตพอจะมีคุณค่า ไม่ต้องมาตายอยู่ด้านล่างหัวกำแพงเมืองอย่างง่ายดายเพียงนั้นได้

ฉีโซ่วยังไม่ได้ใช้เที่ยวจู เพราะว่ายังไม่มีความจำเป็น

สงครามโจมตีและป้องกันระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่มาดอันองอาจเลิศล้ำในการออกกระบี่ของเซียนกระบี่คนใดคนหนึ่ง ไม่ได้อยู่ที่วิชาอภินิหารหรือร่างจริงของปีศาจใหญ่ผู้มีฝีมือน่าครั่นคร้ามตนใดตนหนึ่ง ทว่าเป็นคำว่าทรมานคำเดียวเท่านั้น ดูว่าใครจะทรมานใครให้ตายก่อน ใต้หล้าเปลี่ยวร้างใช้วิธีสละชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับดูที่การสะสมปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่ทุกท่าน ใครที่ทนไม่ไหวก่อน คนนั้นก็แพ้

ช่วงเวลาอันดีงามของกำแพงเมืองปราณกระบี่คราวก่อน ตัวอ่อนเซียนกระบี่เหมือนหน่อไม้ที่ผุดขึ้นมาหลังสายฝนฤดูใบไม้ผลิ การที่พวกเขาเกือบจะแพ้ทั้งกระดาน ผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์เกือบจะตายไปหมดก็เพราะว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างเกือบจะอดทนได้จนถึงท้ายที่สุด และหลังจากที่บทเรียนอันเจ็บปวดครั้งนั้นผ่านไป เรือข้ามทวีปที่มุ่งหน้ามายังภูเขาห้อยหัวจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลน่าหลันและตระกูลเยี่ยนเริ่มลุกผงาดขึ้นมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เริ่มทำการค้ากับใต้หล้าไพศาลมากขึ้น กว้านซื้อยาวิเศษ ยันต์ สมบัติอาคมที่เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ไม่ค่อยสนใจมาเป็นจำนวนมาก เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้

และอาศัยเรือข้ามฟากที่มาเยือนภูเขาห้อยหัวครั้งหนึ่งก็สามารถทำการค้าที่ได้กำไรก้อนใหญ่ เก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลมีตระกูลเซียนใหม่เอี่ยมและกองกำลังร่ำรวยมีอำนาจหลายแห่งที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ร่ำรวยเป็นเศรษฐี หนึ่งในนั้นก็คือสกุลหลิวแห่งธวัลทวีปที่เป็นผู้นำ นอกจากนี้ยังมีถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป สำนักฉงหลินแห่งอุตรกุรุทวีป นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป รวมถึงสำนักอวี่หลงที่ถือเป็นพื้นที่สำคัญใจกลางของการขนส่ง เป็นต้น

ถัดจากเฉินผิงอันไปคือเซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีป เมื่อปลายฤดูหนาวของปีก่อนเพิ่งจะมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชื่อเสียงของนางไม่ค่อยโดดเด่นเท่าใดนัก พักอาศัยอยู่ในจวนส่วนตัวที่เซียนกระบี่ท่านหนึ่งทิ้งไว้ระหว่างหัวกำแพงเมืองและตัวนครอย่างเรือนภูเขาสมปรารถนา เพราะว่าเพิ่งจะมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังไม่มีผลงานการต่อสู้แม้แต่น้อย จึงได้แต่อาศัยอยู่ชั่วคราว ตัวเซี่ยซงฮวาเองก็แทบไม่เคยไปมาหาสู่กับคนนอก เรื่องครึกครื้นมากมาย นางก็ไม่เคยโผล่มาร่วมวง

พลังอำนาจหลังจากที่นางเรียกกระบี่ออกมา พูดได้แค่ว่าธรรมดาสามัญ กระบี่บินไม่เร็วไม่ช้า แสงกระบี่และปณิธานกระบี่ล้วนปกติ ดูเหมือนว่าได้แค่สังหารศัตรูอย่างพอดิบพอดีเท่านั้น

ฉีโซ่วอดไม่ไหวชำเลืองตามองกล่องกระบี่ที่ทำจากไม้ไผ่ซึ่งเซี่ยซงฮวาสะพายไว้ด้านหลัง

นางน่าจะเป็นคนที่ช้อนปลาร่วมมือกับการตกปลาของเฉินผิงอัน ว่ากันว่าเป็นแค่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเท่านั้น นี่ทำให้ฉีโซ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ขอแค่เผ่าปีศาจมาติดกับ สามารถรบกวนให้เซี่ยซงฮวาช่วยออกกระบี่อย่างเต็มกำลังได้ ตัวที่งับเหยื่อก็ต้องเป็นปลาใหญ่ตัวหนึ่งอย่างแน่นอน ทว่าต่อให้เซี่ยซงฮวาจะเป็นเซียนกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบ แต่จะไม่เดือดร้อนให้เฉินผิงอันถูกปลาใหญ่กระชากคันเบ็ดหนีไปจริงๆ หรือ? หรือว่าเซี่ยซงฮวาผู้นี้ก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่แสวงหาพลังพิฆาตของหนึ่งกระบี่แบบสุดโต่ง? ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีเซียนกระบี่ที่ประหลาดแบบนี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีไม่มาก มักจะเชี่ยวชาญการต่อสู้ตัวต่อตัวมากที่สุด ชอบใช้หนึ่งกระบี่แบ่งเป็นตาย เมื่อปล่อยกระบี่ไปทีหนึ่งแล้ว ขอแค่ฝ่ายตรงข้ามไม่ตาย ส่วนใหญ่ก็มักจะกลายเป็นตัวเองที่ร่างดับมรรคาสลาย ดังนั้นเซียนกระบี่ที่เป็นเช่นนี้จึงมักจะมีชีวิตอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ไม่ยืนยาว

ตั้งแต่ขวามาซ้าย เรียงตามลำดับมาก็คือฉีโซ่ว เฉินผิงอันและเซี่ยซงฮวา ต่างคนต่างเฝ้าพิทักษ์พื้นที่หนึ่ง

ด้านหลังของทั้งสามฝ่ายต่างก็ไม่มีผู้ฝึกกระบี่มาคอยแทนที่

ระหว่างนี้ฟ่านต้าเช่อแอบมาที่นี่ครั้งหนึ่ง แต่ไม่กล้าอยู่นานนัก เอาเหล้ากาหนึ่งมาวางไว้ก็รีบกลับทันที

เฉินผิงอันเปิดกาเหล้าจิบเหล้าคำเล็กๆ คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเผ่าปีศาจบนสนามรบตลอดเวลา

ไม่ค่อยเหมือนกับวิธีการอันโหดเหี้ยมอำมหิตของฉีโซ่ว เฉินผิงอันพยายามจะโจมตีให้ถึงแก่ชีวิตในคราวเดียว อย่างน้อยที่สุดทุกครั้งที่ออกกระบี่ก็สามารถทำร้ายไปถึงรากฐานเรือนกายของเผ่าปีศาจได้ หรือไม่ก็ทำให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่สะดวก และนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าจนใจ หลังจากที่ผ่านศึกใหญ่กับหลีเจินไป ขอบเขตของเขาก็ถดถอยมาถึงสามขอบเขต เดิมทียังถือว่าพอจะมีรากฐานปราณวิญญาณที่ไม่เลว ยกตัวอย่างเช่นจวนน้ำก็ไม่ใช่แค่อาศัยการหลอมโอสถวารีก็สามารถฟื้นคืนสู่จุดสูงสุดได้อีกแล้ว หากโคจรปราณวิญญาณโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน ทำเหมือนการวิดบ่อน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา นั่นก็มีแต่จะเพิ่มรอยแตกร้าวให้กับตราประทับอักษรน้ำที่เดิมทียังมีโอกาสซ่อมแซมให้มากขึ้น เพิ่มความเร็วในการหลุดลอกของภาพเทพวารีบนผนังมากขึ้น บ่อน้ำขนาดเล็กของจวนน้ำด้านล่างตราประทับอักษรน้ำนั้นก็จะรั่วซึม พูดง่ายๆ ก็คือหากบอกว่าก่อนหน้านี้จวนน้ำสามารถรองรับโชคชะตาน้ำหนึ่งจิน ตอนนี้ก็เหลือความจุโชคชะตาน้ำแค่สามสี่ตำลึงเท่านั้น หากปณิธานกระบี่เผาผลาญไปมากเกิน จิตวิญญาณห่อเหี่ยวโรยรา อาศัยปราณวิญญาณที่เป็นวิธีการก้นกรุไปประคับประคองการออกกระบี่แต่ละครั้งก็มีแต่จะเข้าสู่วงจรที่เลวร้ายอย่างหนึ่ง อาศัยยาวิเศษมาชดเชยปราณวิญญาณในจวนน้ำ ปราณวิญญาณชะตาน้ำจะสลายไปเป็นจำนวนมาก ไม่ต่างจากการนำมาผลาญอย่างสิ้นเปลือง สุดท้ายเป็นเหตุให้โอสถวารีของเทพวารีหนองน้ำเซิ่นเจ๋อที่มีมูลค่าควรเมืองถูกย่ำยีอย่างเสียเปล่า

นี่ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากที่สุด

หลังจากผ่านการหลอมใหญ่ ซงเจิน ไฮเหลยที่ต่อให้จะเป็นแค่กระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่ ทว่ากลับไม่ขาดระดับความคม เพียงแต่ขาดวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตซึ่งเป็นความพิเศษจากสวรรค์ไป หากว่ากันในบางระดับแล้ว ชูอีกับสืออู่ก็เป็นเช่นนี้ จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ จะสามารถฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้หรือไม่ คือความต่างราวฟ้ากับเหว ฉีโซ่วที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งไม่ต้องพูดมาก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่มของเขา เฉินผิงอันล้วนเคยสัมผัสกับตัวเองมาก่อน พูดถึงแค่พีซวงของกู้เจี้ยนหลงที่เพราะเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสมชื่อแท้จริง ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้ขอแค่ทำร้ายศัตรูได้ก็เท่ากับสังหารศัตรูได้แล้ว และหากกระบี่บินพีซวงทำร้ายเรือนกายของฝ่ายตรงข้ามได้ ปณิธานกระบี่ก็จะสามารถแทรกซึมเข้าไปในช่องโพรงลมปราณของศัตรู รับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่ว่าการแก้ไขปัญหา เดิมทีก็คือการฝึกตนอยู่แล้ว

ควบคุมการเผาผลาญปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งสี่แห่งอย่างระมัดระวังพลางซ่อมแซมรากฐานของจวนน้ำ ศาลภูเขาและเรือนไม้ทั้งสามแห่ง ปราณวิญญาณของช่องโพรงทุกแห่งกำลังจะถูกใช้ไปจนหมดสิ้น ยกตัวอย่างเช่นจวนน้ำที่ราวกับน้ำลดหินผุด ข้อบกพร่องมากมายก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องปิดประตูจวนทันที ไม่ใช้ปราณวิญญาณของที่แห่งนี้อีก พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวก็เริ่มยุ่งวุ่นวาย รับหน้าที่เป็นช่างซ่อม ทางฝั่งของเรือนไม้ก็มีเมล็ดงาจิตหยินเฝ้าพิทักษ์ ฝ่ายของศาลภูเขาก็มีคนจิ๋วสีทองช่วยสำรวจตรวจตรา ศึกใหญ่ค่อนข้างจะฉุกละหุกจึงไม่มีเวลาให้เฉินผิงอันได้พักผ่อนอยู่ในนครนานนัก ถ้าอย่างนั้นก็ถอยมาเลือกในลำดับรอง ใช้ศึกเลี้ยงศึก อาศัยโอกาสนี้เป็นฝ่ายไปค้นหาข้อบกพร่องเล็กๆ ทุกข้อที่เป็นรากฐานของการฝึกตน ต่อให้การทำเช่นนี้จะทำให้ประสิทธิผลของโอสถน้ำเทพวารีแห่งหนองบึงเซิ่นเจ๋อและยาที่เก็บไว้ในคลังของจวนหนิงลดน้อยลงไปมาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยให้มากเกินไปนัก

การสังหารปีศาจบนสนามรบก็สามารถหาเงินได้เช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีกฎเกณฑ์ที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนข้อหนึ่งซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด ในเรื่องของการสังหารปีศาจ เป็นปีศาจโอสถทองตนหนึ่งเหมือนกัน หากเซียนกระบี่เป็นผู้สังหาร กับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเป็นผู้สังหาร เงินที่ได้จะต่างกันอย่างมาก ผลประโยชน์ที่ฝ่ายหลังจะได้รับมักจะมากกว่าเซียนกระบี่อยู่เสมอ

ดังนั้นครั้งนี้เฉินผิงอันจึงใช้สถานะของผู้ฝึกตนขอบเขตสองมาสังหารปีศาจเพื่อหาเงิน

สายของอิ่นกวานและสายของลัทธิขงจื๊อที่รับผิดชอบตรวจตราการศึก บันทึกผลงานล้วนไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้

อาศัยความสามารถทำให้ขอบเขตถดถอย แล้วก็อาศัยความสามารถเป็นเหยื่อล่อ ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกว่านี่คือกำไรส่วนต่างที่เฉินผิงอันสมควรจะได้รับ

มองดูเหมือนว่าเฉินผิงอันเพ่งสมาธิอยู่กับการบังคับกระบี่ทั้งสี่เล่มให้สังหารศัตรูในสนามรบ แต่อันที่จริงเขาก็แบ่งสมาธิมามองการรบของทั้งสองด้านข้างกายเหมือนกัน การออกกระบี่ของฉีโซ่วที่เป็นก่อกำเนิดแล้ว แตกต่างจากการต่อสู้ตัวต่อตัวบนถนนใหญ่ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

ส่วนการออกกระบี่ของเซียนกระบี่เซี่ยซงฮวาก็ยิ่งเรียบง่าย นั่นคืออาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไม่ทราบชื่อเล่มนั้น ใช้ระดับความคมของมันมาแสดงพลังพิฆาต ทว่ากลับทำให้เฉินผิงอันได้ประสบการณ์และความรู้เพิ่มมากกว่า

ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว การบังคับกระบี่บินจึงมักจะเผาผลาญจิตใจและปราณวิญญาณมากกว่าผู้ฝึกกระบี่อยู่มาก ความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายขอบเขตร่างทองย่อมได้รับผลประโยชน์ เพราะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณและปณิธาน เพียงแต่ว่าก็ยังไม่อาจทัดเทียมการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ได้

ส่วนการกระโจนเข้าหาความตายของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจนั้นกลับไม่เคยหยุดพักแม้แต่นาทีเดียว

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมักจะดื่มเหล้าบ่อยๆ เพราะในเหล้านี้มีความรู้ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่

ฉีโซ่วที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความบันเทิงอยู่ไม่น้อย ช่างลำบากเถ้าแก่รองที่ตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วนผู้นี้จริงๆ อย่าให้กลายเป็นว่าไม่มีปลาใหญ่มาติดเบ็ด คนถือคันเบ็ดกลับอดทนไม่ไหวไปเสียก่อนล่ะ

เพียงแต่ว่าคนหนุ่มที่สีหน้าซีดขาวน้อยๆ ดวงตากลับยิ่งเป็นประกายแจ่มใส หากไม่พูดถึงการที่ประคับประคองกระบี่บินให้สังหารปีศาจเป็นเวลายาวนานถือว่าเป็นเรื่องที่ฝืนตัวเองอยู่บ้าง พูดถึงแค่ระดับความทนทานของเฉินผิงอัน รวมไปถึงการเลือกที่จะจัดการรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างดีเยี่ยมก็มากพอจะทำให้ฉีโซ่วต้องมองเขามุมใหม่แล้ว แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เกือบต้องแลกชีวิตกัน แต่ฉีโซ่วก็ไม่ได้ใจแคบถึงขั้นหวังให้เฉินผิงอันที่อยู่ที่นี่บาดเจ็บแล้วบาดเจ็บอีก สุดท้ายทำร้ายไปถึงรากฐานของมหามรรคา

ดังนั้นฉีโซ่วจึงพูดด้วยเสียงในใจว่า “หากเจ้าไม่ถือสา สามารถจงใจปล่อยสัตว์เดรัจฉานกลุ่มหนึ่งให้ผ่านสนามรบของสี่กระบี่เข้ามา ให้พวกมันเข้าใกล้กำแพงเมืองอีกหน่อย ข้าจะเรียกกระบี่บินเที่ยวจูออกมากวาดเอาผลงานการต่อสู้ไป ไม่อย่างนั้นหากปล่อยเวลาให้นานไปกว่านี้ เจ้าจะรักษาสนามรบนี้ไว้ไม่ได้”

ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสอง แม้แต่ริ้วคลื่นเสียงในหัวใจก็ยังใช้ไม่ได้ จึงได้แต่อาศัยการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ พูดกับฉีโซ่วว่า “น้ำใจรับไว้แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ต้อง ข้าต้องมีสภาพอนาถกว่านี้อีกหน่อยถึงจะมีโอกาสตกปลาตัวใหญ่ได้ หลังจากนั้นต่อให้เจ้าไม่เปิดปาก ข้าก็ต้องขอให้เจ้าช่วยอยู่ดี”

เสียโอสถวารีไปเปล่าๆ เม็ดสองเม็ด หรือถึงขั้นเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะให้แก่ช่องโพรงลมปราณสี่แห่ง เป็นเหตุให้การออกกระบี่ของเขายิ่งยากลำบาก แต่ขอแค่สามารถตกเผ่าปีศาจขอบเขตใหญ่ตนหนึ่งมาได้ก็ถือว่าได้กำไรก้อนใหญ่แล้ว

บัญชีต้องคิดกันอย่างนี้