บทที่ 622.2 เรียนกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีปเป็นเหมือนอย่างที่ฉีโซ่วคาดเดา นางก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่แสวงหาปณิธานกระบี่แบบสุดโต่ง การฝึกกระบี่ของชีวิตนี้ล้วนเน้นในเรื่องที่ว่าเมื่อออกกระบี่อย่างเต็มกำลังไปแล้ว ท้องฟ้าผืนดินล้วนสว่างแจ่มกระจ่าง

เซี่ยซ่งฮวาเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา หลังจากที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเลือกให้นางเป็นคนช้อนปลาช่วยเฉินผิงอัน เซี่ยซงฮวาก็ได้พูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างเปิดเผยครั้งหนึ่ง เซียนกระบี่หญิงพูดเข้าประเด็นโดยตรง นางเอ่ยอย่างโผงผางว่านางมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เพื่อพยายามจะเอาปีศาจใหญ่ตนสองตนมาเซ่นกระบี่ของนางเท่านั้น

แต่เฉินผิงอันกลับวางใจได้หลายส่วน

ฉีโซ่วยิ้มถาม “ทำไมไม่ขอให้เซียนกระบี่เซี่ยซ่งฮวาที่เป็นพันธมิตรช่วยล่ะ?”

เฉินผิงอันกล่าว “ติดค้างน้ำใจเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง ไม่กล้าไม่ใช้คืน ใช้คืนมากหรือน้อย ก็ยิ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่ติดค้างน้ำใจเจ้ากลับใช้คืนได้ค่อนข้างง่าย สงครามใหญ่ครั้งนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องยาวนานอย่างแน่นอน ระหว่างพวกเรา สุดท้ายใครกันแน่ที่จะติดค้างน้ำใจใคร ตอนนี้ยังบอกได้ยากนัก”

ฉีโซ่วรู้สึกว่าไอ้หมอนี่ยังคงทำให้คนรังเกียจได้เหมือนเดิม เงียบไปครู่หนึ่งซึ่งก็ถือเป็นการตอบรับเฉินผิงอันโดยปริยาย จากนั้นจึงถามอย่างสงสัยว่า “สภาพอับจนยากลำบากของเจ้าในเวลานี้มีจริงเท็จกี่ส่วนกันแน่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าบอกอะไรไปเจ้าก็ไม่เชื่อ แล้วจะยังถามอีกทำไม”

ฉีโซ่วแสร้งพูดอย่างระอาใจ “ข้าเองก็ไม่ใช่ว่าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำหรอกหรือ เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่มีใครเป็นศัตรูได้ ช่างเงียบเหงายิ่งนัก”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ข้าสามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งและเซียนกระบี่ท่านหนึ่งทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลได้ น่าเบื่อมากกว่าเสียอีก”

ฉีโซ่วชูนิ้วกลาง

เฉินผิงอันอาศัยเวลาว่างตอนนี้ดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก กาเหล้าคือกาของเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ร้านตัวเอง นี่ก็เพื่อปกปิดความลี้ลับบางอย่าง

เหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ซึ่งห้อยไว้ตรงเอวถูกหลอมให้เป็นโอสถน้ำเม็ดหนึ่ง หากไม่ถึงช่วงเวลาคับขันจริงๆ ก็ไม่ต้องดื่มเหล้านี้ เหล้ากาหนึ่งที่ฟ่านต้าเช่อคอยช่วยเอามาส่งให้ช่วยชดเชยปราณวิญญาณ ตอนนี้จึงยังไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้ ส่วนยาล้ำค่าหลายเม็ดที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นอย่างสืออู่ก็ยิ่งต้องใช้ในเหตุการณ์เฉพาะเจาะจง หลักๆ แล้วใช้รับมือกับสสถานการณ์ที่ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณสองแห่งอย่างศาลภูเขาและจวนไม้มีแนวโน้มว่าจะแห้งขอด

บนสนามรบ เรื่องมหัศจรรย์แปลกประหลาดเกิดขึ้นได้หลากหลาย

อยู่ดีๆ ก็มีทะเลเมฆแผ่ปกคลุมไปทั่วรัศมีร้อยจั้งของสนามรบ ทอดสายตามองไกลไปจากหัวกำแพงเมืองเห็นว่าพลันมีจุดแสงจุดหนึ่งผุดขึ้นมา แหวกผ่าทะเลเมฆ แล้วก็ลากเอาเส้นแสงเส้นหนึ่งดิ่งเข้าไปในทะเลเมฆ ทะลุร่วงลงมาบนพื้นดิน แผ่นดินสะเทือนเลือนลั่น

มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหลบเลี่ยงค่ายกลกระบี่ชั้นที่หนึ่งของเซียนกระบี่มาได้ก็พลันเผยร่างจริง แต่ละตนล้วนสวมเสื้อเกราะสีเงินเหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้น ตนที่เป็นตัวนำบุกรุดมาด้านหน้าสามารถดีดให้กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินหลายท่านกระเด็นออกไป เมื่อถูกเซียนกระบี่บางท่านหมายหัว ก่อนที่จะตายก็พยายามจะสร้างค่ายกลยันต์ที่ไม่ได้ตั้งตระหง่านอยู่บนสนามรบ แต่กลับมุดเข้าไปอยู่ลึกในใต้ดินขึ้นมาให้จงได้

ปีศาจย้ายขุนเขามากมายที่มีปีศาจใหญ่ฉงกวงเป็นผู้นำยังคงเผยเรือนกายใหญ่โตมโหฬารอยู่เหมือนเดิม คอยขว้างยอดเขาเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ประหนึ่งรถขว้างหินหลายคันที่สนามรบโลกมนุษย์ของใต้หล้าไพศาลใช้กัน

และยังมีปีศาจใหญ่ไม่รู้นามอีกตนหนึ่งที่ทะยานลมมาหยุดลอยตัวอยู่ในจุดที่สูงมาก ในมือถือขวดหยกขาวใสโปร่งแวววาวใบหนึ่ง พอเทปากขวดเอียงเข้าใส่หัวกำแพงเมืองก็มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลรินลงมา สายน้ำใหญ่ประดุจแถบผ้าสีขาว แต่กลับไม่ร่วงลงพื้น เพราะปะทะเข้ากับปราณกระบี่ที่ไหลซัดเชี่ยวของกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียก่อน

แล้วก็มีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งแฝงตัวอยู่ใต้ดินลึกอย่างลับๆ จู่ๆ ก็พลันแหวกหน้าดินขึ้นมา เผยร่างจริงที่สูงหลายร้อยจั้ง เหมือนเจียวเหมือนงู พยายามจะขยี้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางหลายเล่มให้แหลกเละไปในคราวเดียว แต่หลี่ถุ่ยมี่เซียนกระบี่ใหญ่บนหัวกำแพงกลับจับสังเกตได้ในเสี้ยววินาที โจมตีหนึ่งกระบี่ให้อีกฝ่ายล่าถอยไป เรือนกายมโหฬารผลุบหายเข้าไปในแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง พยายามจะถอยออกไปจากสนามรบ แต่กลับถูกกระบี่บินไล่ฆ่า แผ่นดินโยกคลอนพลิกตลบ แสงกระบี่ใต้ดินเจิดจ้าสว่างไสว แม้จะมีดินหนาชั้นกางกั้นก็ยังมองเห็นแสงกระบี่ที่พร่างพราวได้อยู่ดี

และยังมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เผ่นหนีอุตลุด หลังจากหลบค่ายกลใหญ่กระบี่บินของเซียนกระบี่มาได้ก็มาตกอยู่เบื้องหน้าของค่ายกลกระบี่แห่งที่สอง ฉับพลันนั้นก็ขว้างวัตถุบางอย่างลักษณะเหมือนกรวดทรายออกมากำหนึ่ง ผลคือบนสนามรบพลันมีหุ่นเชิดร่างสูงใหญ่ที่เป็นโครงกระดูกสวมเสื้อเกราะหลายร้อยโครงปรากฎตัวขึ้นในเสี้ยววินาที ใช้เรือนกายใหญ่โตไปคว้าจับกระบี่บิน หากมีกระบี่บินหลุดเข้าไปในมือของพวกมันก็จะระเบิดแตกคาที่ เนื่องจากเป็นช่วงริมอาณาเขตของค่ายกลกระบี่สองแห่ง ยามที่กระดูกขาวและเสื้อเกราะระเบิดแตกกระจาย ความคมของกระบี่บินผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอาจได้รับความเสียหายบ้าง แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางจำนวนมากกลับถูกโจมตี หรือไม่ก็อาจถูกกระแทกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปโดยตรง

เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในสนามรบอย่างแท้จริง ผู้ฝึกกระบี่บางคนก็ลืมการไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างสิ้นเชิง หรือไม่ก็เป็นความสุดโต่งอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือรบอย่างระมัดระวังรอบคอบ รู้สึกว่าหนึ่งวันยาวนานราวกับหนึ่งปี

วันและคืนหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน

ดวงจันทร์สามดวงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่กำแพงเมืองปราณกระบี่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดคล้ายจะสว่างไสวขึ้นทุกที ราวกับว่าแสงจันทร์ได้ขยับเข้ามาใกล้สนามรบเพราะโปรดปรานกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้เป็นพิเศษ

ฉีโซ่วมองเฉินผิงอันแวบหนึ่งก็เอ่ยเตือนว่า “ระวังจะตกปลาไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นถูกเผาผลาญพลังจนตาย หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เจ้าก็คงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปก่อนแล้ว”

หากเป็นแค่การออกกระบี่ขัดขวางศัตรูแบบทั่วๆ ไป การเผาผลาญพลังจิตของเฉินผิงอันย่อมไม่มีทางมหาศาลถึงขั้นนี้

นี่ต้องให้เส้นเอ็นหัวใจของเฉินผิงอันขึงเกร็งตึงแน่นอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เพราะถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่ามีปีศาจใหญ่ตนใดซ่อนอยู่ในตำแหน่งใด ยิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะลงมือเมื่อไหร่ หากอีกฝ่ายยอมเสี่ยงอันตรายสักหน่อย ไม่หวังว่าจะฆ่าคนได้ แค่หวังว่าจะทำลายกระบี่บินสี่เล่มของเฉินผิงอันให้แหลกสลาย สำหรับเฉินผิงอันแล้วนี่ก็สร้างบาดแผลสาหัสได้ไม่ต่างกัน

เฉินผิงอันยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มเหล้าอึกใหญ่ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ดังนั้นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายแข่งกันก็คือความอดทนและทักษะฝีมือด้านการแสดง หากอีกฝ่ายไม่กล้าแม้แต่จะลงเดิมพันใหญ่หวังคว้าชัยชนะใหญ่ บีบให้ข้าร้อนใจจริงๆ จนได้แต่เก็บกระบี่ไป แล้วเรียกคนให้มาลงสนามรบแทน อย่างมากข้าก็แค่ไม่เป็นเหยื่อล่อนี้อีก”

บนสนามรบมีวิญญาณเร่ร่อนที่สภาพพิกลพิการอยู่ทั่วทุกหนแห่ง พวกมันถูกแสงกระบี่ปั่นคว้านทำลายไม่หยุด นั่นก็คือสภาพอันน่าสังเวชที่เสียงร้องโหยหวนระงมไปทั่วพื้นที่

เมื่อกองกระดูกทับถมกันเป็นภูเขาก็จะถูกเซียนกระบี่ออกกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่าโจมตีให้จมลึกลงไปใต้ดิน เศษซากกระจายไปทั่วสนามรบร้อยลี้พันลี้ ไม่ปล่อยให้อาจารย์ค่ายกลของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนำมาสร้างความมั่นคงให้พื้นดิน ถมสนามรบให้สูงขึ้นได้ตามใจปรารถนา เพียงแต่ว่ากลิ่นคาวเลือดและปราณดุร้ายที่เผ่าปีศาจสร้างขึ้นมากลับยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เซียนกระบี่และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตจะมีวิธีรับมือไว้แต่แรกแล้ว นั่นคือใช้วิชาอภินิหารเฉพาะตัวของกระบี่บิน ล่องลอยไปทั่วสนามรบ พยายามชำระล้างปราณดุร้ายนั้นให้หมดสิ้น แต่เมื่อเวลาล่วงผ่านนานเข้า ก็ยังคงยากที่จะสกัดกั้นการรวมตัวกันของสถานการณ์ใหญ่บางอย่าง นี่จึงเป็นเหตุให้การมองเห็นในสนามรบของผู้ฝึกกระบี่ที่เดิมทีชัดเจนเริ่มค่อยๆ พร่าเลือน

นี่ก็คือการช่วงชิงฟ้าอำนวย

หันกลับมามองกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บุกรุดหน้าทะลวงขบวนรบ ยิ่งสูญเสียสติสัมปชัญญะและไม่กลัวตายมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ว่ามีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจจำนวนมากที่เพิ่งจะเหยียบลงบนสนามรบครั้งแรกก็มีปณิธานอยู่ที่ความตายซึ่งเป็นปณิธานที่บริสุทธิ์ยิ่งแล้ว

คำกล่าวที่ว่ากระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกต่อไป

ดังนั้นอริยะลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าจึงดึงเส้นขนเส้นหนึ่งออกมาจากพัดหางกวางสีขาวหิมะ โยนลงบนพื้นดิน บนสนามรบจึงมีฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำลงมาอย่างที่ใครก็ไม่ทันตั้งตัว บรรยากาศพลันเปลี่ยนมาเป็นสดชื่น

ทันใดนั้นก็มีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่นั่งอยู่บนทะเลเมฆ ลักษณะคล้ายคุณหนูในตระกูลใหญ่ของใต้หล้าไพศาล รูปร่างหน้าตางดงาม บนข้อมือของมือสองข้างต่างก็สวมกำไลหยกเอาไว้ข้างละวง หนึ่งขาวหนึ่งดำ กำไลสองวงที่ด้านในมีแสงเรื่อเรืองไหลรินไม่ได้แนบติดกับผิว แต่ลอยตัวอยู่อย่างมหัศจรรย์ บนร่างยังรัดเข็มขัดหลากสีพลิ้วไสวเบาๆ ผมสีนิลปลิวปรายถูกห่วงสีทองรัดเอาไว้ มองดูเหมือนรัดแน่น แต่แท้จริงแล้วกลับลอยตัวและหมุนไปเรื่อยๆ

นางหยิบม้วนภาพเก่าแก่ภาพหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ สะบัดคลี่ออกเบาๆ บนภาพวาดเทือกเขาหลายเส้นที่ทอดยาวเป็นสาย ขุนเขาใหญ่เบียดเสียด สายน้ำไหลแว่วเสียงน้ำกระทบหิน ราวกับใช้วิชาอภินิหารของเซียนกักนักโทษอาญาขุนเขาสายน้ำไว้ในม้วนภาพ ไม่ใช่แค่การจรดพู่กันวาดขึ้นมาอย่างง่ายๆ เท่านั้น

ปีศาจใหญ่ที่สวมชุดคลุมอาคมสีชาดเหมือนสียามที่แสงแดดสาดส่องบนหมู่เมฆตนนี้คลี่ยิ้มหวาน จากนั้นก็หยิบตราประทับอีกอันหนึ่งออกมา เป่าลมปราณแท้จริงใส่ตราประทับหนึ่งที แล้วประทับลงไปบนม้วนภาพเบาๆ แสงสว่างเรืองรองพลันส่องประกายออกมาจากตราประทับกว้างไกลเป็นหมื่นจั้ง แต่ม้วนภาพที่เดิมทีเห็นภาพขุนเขาเขียวสายน้ำใสอย่างชัดเจนนั้นกลับค่อยๆ หม่นแสงลง

นางผลักม้วนภาพออกไปเบาๆ นอกจากตราประทับอักษรสีชาดที่ยังอยู่ที่เดิมแล้ว ม้วนภาพทั้งม้วนพลันหายไป

กลางอากาศเหนือสนามรบกลับมีม้วนภาพใหญ่โตโอฬารที่ยาวพันลี้ กว้างร้อยลี้ปรากฏขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ ปราณวิญญาณของม้วนภาพยังแผ่ออกมา พยายามจะสกัดกั้นฝนเม็ดใหญ่ที่กำลังตกกระหน่ำ

เม็ดฝนกระทบลงบนม้วนภาพขุนเขาสายน้ำ

เหนือสนามรบไม่มีฝนตกลงมาอีกแม้แต่หยดเดียว

แต่บนเทือกเขาที่แท้จริงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ถูกนำมาวาดลงในม้วนภาพนี้กลับมีน้ำฝนที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณตกลงมา

นักพรตเฒ่าสะบัดไม้ปัดฝุ่นทำลายม้วนภาพให้ย่อยยับ ม้วนภาพกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ดังนั้นน้ำฝนที่จำแลงมาจากหางกวางเส้นหนึ่งก่อนหน้านี้จึงร่วงลงบนสนามรบดังเดิม แล้วก็ถูกม้วนภาพสกัดขวางไว้อีก ก่อนจะถูกนักพรตเฒ่าใช้ไม้ปัดฝุ่นทำลายไปอีก

เมื่อตราประทับที่อยู่เบื้องหน้าของสตรีเริ่มหม่นหมองไร้แสง สุดท้ายระเบิดแตกดังปัง นางก็พลันคลี่ยิ้ม “เทพเซียนผู้เฒ่ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”

เมื่อหญิงสาวหยิบตราประทับชิ้นนั้นออกมาอีกครั้ง แสงกระบี่ยาวเส้นหนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศเข้ามาถึง กำไลขาวดำสองวงบนข้อมือของนาง และห่วงทองที่รัดเส้นผมพากันบินออกมาด้วยตัวเอง ปะทะเข้ากับแสงกระบี่ สะเก็ดไฟจ้าแสบตาสาดกระเซ็นไปทั่ว ฝนไฟจึงตกลงมาจากฟากฟ้า

แม้ว่าสตรีจะสกัดขวางแสงกระบี่เส้นนั้นเอาไว้ได้ แต่กลับจำต้องถอยร่นออกไปร้อยจั้งกว่า ก้มหน้าลงมองกำไลบนข้อมือ ยังดี แค่สึกกร่อนไปเล็กน้อยเท่านั้น นางจึงไม่ใช้ม้วนภาพขัดขวางฝนเม็ดใหญ่อีกต่อไป แต่ถอยออกไปชมศึกอยู่ไกลๆ ต่ออีกครั้ง

คนที่ออกกระบี่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่คือลู่จือ

นางจำได้แล้ว

หากสตรีอาฆาตแค้นสตรีด้วยกันขึ้นมา ส่วนใหญ่มักจะลงมืออย่างอำมหิตเสมอ

เฉินผิงอันจำต้องเก็บกระบี่บินทั้งหมดกลับมาพร้อมกันในคราวเดียว สุดท้ายก็ยังไม่มีปีศาจใหญ่มาติดเบ็ด เหนือจากการคาดการณ์ แต่ก็สมเหตุสมผลดี

เซี่ยซงฮวาไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับฉีโซ่วก็รีบร่วมมือกันช่วยเฉินผิงอันสังหารเผ่าปีศาจทันที ต่างคนต่างแบ่งสนามรบไปคนละครึ่ง เพื่อให้เฉินผิงอันได้พักผ่อนเล็กน้อย จะได้สะดวกสำหรับการออกกระบี่อีกครั้ง

ศึกใหญ่เพิ่งจะเปิดฉาก กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจในตอนนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกมดตัวเล็กตัวน้อยที่ใช้ชีวิตไปถมเติมเต็มให้กับสนามรบ ผู้ฝึกตนไม่ถือว่ามาก ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเทียบกับสามศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ การโจมตีเมืองครั้งนี้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังมีความอดทนมากกว่า ผู้ฝึกกระบี่กับค่ายกลกระบี่ร่วมมือสอดประสานเชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ส่วนการโจมตีเมืองของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจก็คล้ายว่าจะมีระดับขั้นบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก ไม่ได้ใช้แค่ความหยาบกระด้างมุทะลุอีกต่อไป ทว่าบางครั้งแต่ละจุดของสนามรบก็เกิดปัญหาในการเชื่อมโยงอยู่บ้าง ราวกับว่าคนเบื้องหลังที่รับหน้าที่บัญชาการณ์กองทัพผู้นั้นจะมีประสบการณ์ในการทำสงครามไม่มากพอ

ผู้ฝึกกระบี่ฝึกกระบี่ เผ่าปีศาจฝึกปรือฝีมือการต่อสู้

ดวงจันทร์ทั้งสามลอยอยู่กลางนภา

ทางฝั่งของอริยะลัทธิขงจื๊อมีผู้เฒ่าแปลกหน้าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งปรากฏตัว เขากำลังแหงนหน้ามองดวงจันทร์ทั้งสามดวงนั้น

ผู้เฒ่าก็คือบุคคลอันดับหนึ่งแห่งทักษิณาตยทวีป เฉินฉุนอันผู้รอบรู้

เฉินฉุนอันดึงสายตากลับคืนมา หันไปยิ้มเอ่ยกับพวกลูกศิษย์ที่เดินทางมาทัศนศึกษาซึ่งยืนอยู่ห่างไปไกลว่า “ไปช่วยพวกเขา จำไว้ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”

คนรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งจึงกระจายตัวกันออกไป

อริยะลัทธิขงจื๊อที่เป็นคนของสายหย่าเซิ่งเหมือนกันเอ่ยว่า “มีเมล็ดพันธ์บัณฑิตอยู่ไม่น้อยเลย”

เฉินฉุนอันกล่าว “หยกงามวัตถุดิบที่ดีแบบนี้ ทักษินาตยทวีปของข้ายังมีอีกไม่น้อย”

อริยะลัทธิขงจื๊อยิ้ม “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ใต้หล้าไพศาล อยู่ที่นี่ หากคิดจะพูดกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ไม่ทำอะไรสักหน่อยคงไม่ได้หรอก”

เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ แล้วชูมือข้างหนึ่งขึ้นสูง

ดวงจันทร์ดวงหนึ่งบนท้องฟ้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงกับเริ่มสั่นไหวน้อยๆ ราวกับว่าจะถูกผู้เฒ่าคนนี้กระชากลงมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ

ปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่ได้นั่งบนบัลลังก์ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า มายืนอยู่ระหว่างดวงจันทร์บนฟ้ากับผู้เฒ่าบนหัวกำแพง

เฉินผิงอันย้อนกลับมาที่หัวกำแพงอีกครั้ง แล้วจึงออกกระบี่ต่อ เซี่ยซงฮวากับฉีโซ่วจึงถอยออกจากสนามรบคืนพื้นที่ให้เฉินผิงอัน

คนหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง ไม่ได้เอ่ยอะไร ไม่รบกวนการออกกระบี่ของเฉินผิงอัน เพียงแค่จ้องมองสนามรบอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าแค่แสร้งทำเป็นว่าเรี่ยวแรงไม่พอ ปล่อยเข้ามาให้หมด ยิ่งขยับเข้าใกล้หัวกำแพงเมืองก็ยิ่งดี”

เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ บังคับกระบี่บินสี่เล่มให้ถอยมาทันที

ปล่อยให้กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่อยู่ในอาณาเขตของตนกรูกันบุกเข้ามา

หลิวเสี้ยนหยางหลับตาลง ประหนึ่งเข้าสู่ภวังค์ของความฝัน

ฉีโซ่วหันมามองบัณฑิตแปลกหน้าที่เหมือนกำลังงีบหลับคนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองฝูงปีศาจบนสนามรบที่เฮโลส่งเสียงดังวุ่นวายอยู่เบื้องหน้า

ในชั่วขณะที่ฉีโซ่วกำลังจะเรียกกระบี่บินเที่ยวจูออกมานั้นเอง

หลิวเสี้ยนหยางพลันลืมตาขึ้น

บนสนามรบที่เฉินผิงอันเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ เผ่าปีศาจตายสิ้น ไม่มีใครที่โชคดีรอดชีวิตแม้สักตน

ต่อให้เป็นเซียนกระบี่เซี่ยซงฮวาก็ยังอดหันมามองหลิวเสี้ยนหยางไม่ได้

เพราะนางสัมผัสไม่ได้ถึงการแผ่กระเพื่อมของปราณวิญญาณ ไม่มีปราณกระบี่ปรากฏแม้สักเสี้ยว ถึงขั้นที่ว่าบนสนามรบยังไม่มีร่องรอยปณิธานกระบี่ใดๆ ให้ตามหา

เฉินผิงอันสังเกตการณ์สนามรบที่อยู่ดีๆ เสียงก็เงียบหายไปอย่างระมัดระวัง มีแต่ความเงียบสงัด ตายกันหมดอย่างสิ้นซากแล้วจริงๆ

หลิวเสี้ยนหยางคล้ายรู้สึกประหลาดใจกับตัวเองมากเหมือนกัน เขาลูบคลำปลายคาง พึมพำว่า “ทนรับการต่อยตีไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”

และในขณะที่จิตของเซี่ยซงฮวาและเฉินผิงอันกระเพื่อมขึ้นพร้อมกันนั้นเอง

ฉีโซ่วก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “มาแล้ว!”

หลิวเสี้ยนหยางที่สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งซึ่งหอกระบี่เป็นผู้สร้างร้องอ้อหนึ่งที กระบี่ยาวด้านหลังออกจากฝักด้วยตัวเอง วาดเส้นออกไปเป็นวงโค้ง กลางอากาศพลันปรากฏร่างเทพสีทองไม่รู้ที่มาตนหนึ่ง ในมือถือกระบี่ยาวธรรมดาเล่มนั้น ระหว่างทางที่ดิ่งลงไปยังพื้นดินก็มีปณิธานกระบี่บรรพกาลที่มหามรรคาใกล้ชิดกันขยับเข้ามารวมตัวกันบนร่างของมันอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเทพถือกระบี่ก็เงื้อกระบี่ฟันลงไป กระแทกลงบนแสงกระบี่เล็กบางที่ผุดออกมาจากศพศพหนึ่งแล้วพุ่งตรงเข้าหาเฉินผิงอัน

แสงกระบี่ที่ห่างจากหัวกำแพงเมืองไม่ไกลเส้นนั้นถูกกระแทกร่วงลงบนพื้นดิน เทพร่างทองและกระบี่ยาวของหอกระบี่ก็หายไปจากกลางอากาศด้วย

แสงกระบี่หลายเส้นพากันผุดพุ่งออกมาจากกล่องกระบี่ด้านหลังเซี่ยซงฮวา ความเร็วและพลังอำนาจที่พุ่งไปน่าครั่นคร้ามพรั่นพรึง

สุดท้ายก็โจมตีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่เผ่าปีศาจเล่มนั้นให้แตกกระจายอยู่บนพื้นได้สำเร็จ

เซี่ยซงฮวาเก็บแสงกระบี่กลับมาแค่ครึ่งเดียว พวกมันทยอยกันเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในกล่องกระบี่ นางลุกขึ้นยืน หันหน้ามาเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ช่วงนี้เจ้าคงได้แต่เอาตัวรอดด้วยตัวเองแล้ว ข้าจำเป็นต้องพักรักษาตัวระยะหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหากสังหารปีศาจห้าขอบเขตบนไม่สำเร็จ สำหรับข้าแล้วก็ไม่มีความหมายใดๆ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

หลิวเสี้ยนหยางหันหน้าไปมองเซี่ยซงฮวาที่เดินจากไป ดูเหมือนว่าอยากจะใช้โอกาสนี้แทนที่ตำแหน่งของเซียนกระบี่หญิงมาทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมือง

เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็หยุดไป

ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางเดินผ่านไปด้านหลังเฉินผิงอัน เขาก้มตัวมาตบหัวเฉินผิงอันทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “กฎเดิม หัดเรียนรู้เสียบ้าง”

นับตั้งแต่ที่คนทั้งสองรู้จักและกลายเป็นสหายกัน ก็ล้วนเป็นหลิวเสี้ยนหยางที่คอยสอนเฉินผิงอันทำโน่นทำนี่มาตลอด เมื่อคนทั้งสองต่างก็ต้องออกจากบ้านเกิด จากลากันทีก็นานเป็นสิบกว่าปี ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับยังคงเดิม