……
……
หลายวันมานี้พรรคทางตอนใต้ใช้ประโยชน์จากการสอบใหญ่เพื่อยกพลขึ้นเหนือ สวีโหย่วหรงวางค่ายกลสถานศึกษาหนานซีไว้ ระหว่างเมืองหลวงและลั่วหยางนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุ่งกว้างของราชสำนักเกิดฟ้าผ่าขึ้น เฉินฉางเซิงไม่ได้แสดงอาการสีหน้าใด ๆ เขานั่งนิ่งซึมซับกระบี่อยู่ภายในห้องศิลา จวบจนเช้าตรู่วันนี้จึงได้ออกแรงเริ่มเดินทาง และใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อบีบบังคับให้ซางสิงโจวต่อสู้กับตน
กระบวนการทั้งหมดนี้เหนื่อยยากยิ่งนัก
แน่นอนว่าเขาต้องการที่จะชนะการต่อสู้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องการที่จะต่อสู้
เขาต้องการขับไล่ซางสิงโจวไปยังขอบหน้าผา บีบบังคับให้เข้าสู่สถานการณ์ที่รุนแรงที่สุด
เขาต้องการให้ซางสิงโจวรับรู้ถึงอันตรายของความล้มเหลวอย่างแท้จริง รับรู้ถึงสายตาที่ประหลาดออกไป รับรู้ถึงความท้อแท้และสิ้นหวังของสรรพสิ่งในอากาศ
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ซางสิงโจวได้เผชิญหน้ากับตนเอง เพื่อที่จะสามารถมองเห็นความเล็กน้อยที่แอบซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์นักพรตสีเขียว และสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
ในใจของซางสิงโจวกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เขามองเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิงอย่างไรกัน
แต่ละประโยคที่เฉินฉางเซิงเอ่ยออกมา นั่นคือความคิดที่เขามีต่อซางสิงโจว
ท่านปฏิเสธที่จะยอมรับความผิดพลาด แต่ท่านรู้ดีแก่ใจว่าท่านคิดผิด เช่นนั้นท่านจึงไม่เคยพยายามลงมือด้วยตัวเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพียงแค่ปล่อยให้คนในตระกูลเทียนไห่และคนจากดินแดนต้าซีมาสังหารข้า เพราะท่านไม่ต้องการที่จะสังหารข้า แม้ว่าความจริงข้อนี้ท่านเองก็อาจจะไม่แจ้งใจเสียด้วยซ้ำ
ความคิดนี้ช่างสมเหตุสมผล
หากอาศัยขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์และวิถีพรตของซางสิงโจว อาศัยปณิธานของเขาที่แน่วแน่ดุจต้นสนเก่าแก่ แม้ว่าใต้เท้าสังฆราชจะทิ้งข้อบังคับเอาไว้มากมายก่อนตาย แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะมีคนให้ความช่วยเหลือมากมายและระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่หากเขาประสงค์จะสังหารเฉินฉางเซิงแล้วล่ะก็ หลายปีมานี้จะไม่เกิดผลเลยได้อย่างไรกัน เหมือนกับพฤติกรรมของขุนพลเสือขาวที่เป็นดั่งเรื่องตลก
นี่คือความจริงที่เฉินฉางเซิงอยากจะให้ซางสิงโจวได้เห็น ความคิดที่แท้จริงของเขาเอง
ซางสิงโจวมองไปยังเฉินฉางเซิงโดยไม่ได้เอ่ยคำใด แววตาเย็นชา
ราวกับเขาไม่ได้มองคนที่มีอยู่จริง ๆ ชีวิตที่มีชีวิตจริง แต่เป็นเพียงวัชพืชและผลไม้ที่เน่าแล้วเท่านั้น
คำพูดของเฉินฉางเซิงนั้นจริงหรือ
หลายปีก่อนในวัดเก่าเมืองซีหนิง คนที่ป้อนโจ๊กปลาแก่เฉินฉางเซิงก็คืออวี๋เหริน คนที่สั่งสอนเฉินฉางเซิงก็ยังคงเป็นอวี๋เหริน
ซางสิงโจวปฏิบัติต่อเฉินฉางเซิงอย่างห่างเหิน น้อยมากที่จะสั่งสอนเขา
ที่แท้มิใช่เพราะเขาไร้ความรู้สึกใดต่อเฉินฉางเซิง แต่เพราะกลัวจะหวั่นไหว
หลายปีมานี้ ทั่วทั้งดินแดนล้วนทราบว่าเขาไม่ชอบเฉินฉางเซิง แต่กลับไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุใด
แท้จริงแล้วการเยาะเย้ย ดูถูกและเหยียดหยามเหล่านั้นไม่เป็นความจริงแม้แต่นิด เขาเพียงต้องการรักษาระยะห่าง เพื่อให้หัวใจของเขาแข็งกระด้างหรือ
แต่ท้ายที่สุดแล้วเฉินฉางเซิงก็ยังคงเป็นเงานั้นบนเส้นทางแห่งจิตของเขา
จะลบเงานั้นออกไปให้หมดสิ้นได้อย่างไร จะเติมให้เต็มได้อย่างไร
สังหารเฉินฉางเซิงก็มิได้ เนื่องจากเรื่องราวเหล่านั้นได้เกิดขึ้นแล้ว
หรืออย่างที่เฉินฉางเซิงเอ่ย
รับผิดหรือ
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังใบหน้าของซางสิงโจว
ซางสิงโจวมองเฉินฉางเซิง ก่อนจะหัวเราะออกมา
มีความเยาะเย้ยอยู่ในรอยยิ้มนั้นอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ เขาก็หันกายเดินออกไปนอกสำนักฝึกหลวง
อาภรณ์นักพรตสีเขียวชุ่มไปด้วยโลหิต มองดูแล้วคล้ายกับดอกบัวที่สีดำดอกหนึ่ง ค่อย ๆ พลิ้วไหวอย่างเชื่องช้าตามสายลม
มองไปยังเงาร่างที่กำลังเดินห่างออกไป เฉินฉางเซิงเงียบขรึม ไม่ได้เอ่ยคำใด
จวบจนตอนสุดท้ายก็ยังคงไม่มีผู้ใดยอมแพ้ แต่ทุกคนล้วนทราบผลแพ้ชนะแล้ว
เขาเอาชนะอาจารย์ของตนได้ คนผู้นั้นที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดน
สิ่งที่เขาได้รับไม่เพียงแค่ชัยชนะจากการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่มันคือชัยชนะของการต่อสู้ด้านจิตใจอีกด้วย
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด นี่ล้วนเป็นเรื่องที่น่าทึ่งยิ่งนัก เป็นเกียรติยศของจักรพรรดิโดยแท้
หากว่ากันด้วยเหตุผล ท่ามกลางซากปรักหักพังของหอเฟิง สำนักฝึกหลวงยามนี้ควรจะมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรื่นเริง
แต่กลับไม่ เนื่องจากเฉินฉางเซิงยังคงนิ่งเงียบ เขาเม้มปากอย่างแน่นจนริมฝีปากเริ่มซีดขาว
คนที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดก็คือสวีโหย่วหรง
เมื่อเห็นความเงียบของเขา ความรื่นเริงในแววตาของสวีโหย่วหรงพลันจางหายไป กลายเปลี่ยนเป็นความเวทนา
“ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าท่านจะพูดเก่งขนาดนี้”
นางเอ่ยพลางอมยิ้ม พยายามปลอบประโลมจิตใจของเขา
ในวันนี้เฉินฉางเซิงได้เอ่ยถ้อยคำมากมายกับซางสิงโจวภายใต้อารมณ์ฮึกเหิม คำพูดนั้นดูช่างแหลมคม
“นั่นเป็นเพราะปกติเขาและท่านสนทนากันน้อยนัก ไม่เช่นนั้นท่านจะทราบว่าเขาถนัดเรื่องโจมตีผู้อื่นยิ่งนัก”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยด้วยใบหน้าบานเป็นจานเชิง เขาเพียงสร้างสีสันไม่มีเจตนาจะเยาะเย้ยเฉินฉางเซิงแต่อย่างใด
ต่อมาเขาก็หันกลับไปเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ “ต้องให้ข้าเลี้ยงหรือไม่”
อีกฝ่ายไม่เข้าใจเจตนาของเขา
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ก็สู้จนจบสิ้นแล้ว ท่านยังจะแช่อยู่ที่นี่อีกทำไม ยังไม่รีบไปอีก ข้าไม่เลี้ยงข้าวเจ้าหรอกนะ”
เขาเป็นผู้คุมกฎสำนักของสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่ามีคุณสมบัติทั้งในการต้อนรับแขกและไล่แขก
คำถามก็คือ เป้าหมายของประโยคนี้ ก็คือหวังจือเช่อหรือ
แม้แต่จักรพรรดิไท่จงหรือจักรพรรดินีเทียนไห่ ต่างก็ไม่กล้าเอ่ยกับหวังจือเช่อด้วยน้ำเสียงเยี่ยงนี้
ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าใช้คำว่า “แช่” กับหวังจือเช่อ
หวังจือเช่อส่ายหน้า ก่อนหมุนกายเดินออกไปนอกสำนักฝึกหลวง
“ท่านทำท่าทางสงบจิตสงบใจอย่างนี้ให้ใครดูกัน มิใช่ว่าพ่ายแพ้มิเป็นท่าแล้วน่ะหรือ”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยก่อนถ่มน้ำลายลงพื้น
หวังผ้อเดินมาอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิง มองไปที่ใบหน้าของเขา เมื่อมั่นใจว่าไม่เป็นอะไรแล้วจึงเอ่ยลาจากไป
ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบ ไม่มีการเจรจา ไม่มีการขอบคุณ เพียงแต่เฉยเมยเสียอย่างนี้
เมืองสวินหยางในปีนั้น เมืองเวิ่นสุ่นในปีก่อน และเมืองหลวงในปีนี้ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้
เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองสวีโหย่วหรง ก่อนเอ่ย “ข้าชนะแล้ว”
สวีโหย่วหรงมองไปยังเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม ก่อนเอ่ย “ยอดเยี่ยมมาก”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “ข้าไม่ได้ร้องไห้ด้วย”
สวีโหย่วหรงยื่นมือไปเช็ดเศษฝุ่นบนใบหน้าของเขา นางเอ่ยขึ้นอย่างปวดใจว่า “นี่ก็ยอดเยี่ยมมาก”
เฉินฉางเซิงทอดมองออกไปไกล
กำแพงสำนักฝึกหลวงด้านนั้นถล่มแล้ว
อาภรณ์จักรพรรดิสีเหลืองทองชุดนั้นโดดเด่นยิ่งนักท่ามกลางอากาศที่มืดครึ้ม
อวี๋เหรินยืนอยู่ตรงนั้น
……
……
ในตรอกไป่ฮวาเงียบสงัด
ผู้คนต่างตกใจกับผลสุดท้ายเสียจนไร้คำพูด
ไม่มีผู้ใดจากไป มีสาเหตุให้ตกใจมากเกินไป และยังมีอีกหลายสาเหตุเนื่องจากประตูของสำนักฝึกหลวงยังปิดอยู่
ฮ่องเต้กำลังสนทนากับเฉินฉางเซิงอยู่ด้านใน
หลังจากการต่อสู้นั้น ไม่มีผู้ใดสามารถขวางกั้นการพบกันของศิษย์พี่และศิษย์น้องได้อีก
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง พวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกัน
ประตูใหญ่ที่หนักอึ้งของสำนักฝึกหลวงเปิดออกอย่างช้า ๆ
เฉินฉางเซิงเดินออกมา
กระบี่ถูกผูกไว้
ผมยุ่งเล็กน้อย
ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่นและโลหิต
ตาของเขาแดงก่ำ
แลดูเหนื่อยล้ามาก
หรือแม้แต่ดูจนตรอกยิ่งนัก
แต่ไม่มีผู้ใดกล้าคิดเช่นนั้น
สวีโหย่วหรงเดินไปอยู่ทางด้านซ้ายมือของเขา
ถังซานสือลิ่วอยู่เบื้องหลังของเขา
ราชันย์แห่งหลิงไห่ทำความเคารพอย่างเคร่งขรึม “คารวะท่านใต้เท้าสังฆราช”
นักบวชแห่งพระราชวังหลีทยอยคุกเข่าลง ทำความเคารพ
ในตอนแรกเสียงดูเบาบาง และค่อย ๆ เกรียวกราวขึ้นอย่างเป็นระเบียบ
ผู้คนต่างทยอยคุกเข่าลง
มีทหารของสำนักฝึกหลวง และก็มีทหารม้าเกราะเหล็ก
เหล่าขุนนางแห่งราชสำนักต่างก็คุกเข่าลงกับพื้น
ท่านอ๋องกว่าสิบคนสบตากันโดยปราศจากคำพูด สุดท้ายก็ทยอยคุกเข่าลงไป
เฉินฉางเซิงเดินออกไปยังด้านนอกตรอก
ผู้คนต่างก็ทยอยคุกเข่าลง
ราวกับคลื่นน้ำ
ที่ไหลบ่าท่วมเมืองหลวง
จวบจนทั่วทั้งเมือง