ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 76 ท่านลองดูเอาเถิด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

​…​…

​…​…

​หลาย​วัน​มานี​้​พรรค​ทาง​ตอน​ใต้​ใช้ประโยชน์​จาก​การ​สอบ​ใหญ่​เพื่อ​ยกพล​ขึ้น​เหนือ​ ​สวี​โหย​่ว​หรง​วาง​ค่าย​กล​สถานศึกษา​หนาน​ซี​ไว้​ ​ระหว่าง​เมืองหลวง​และลั​่ว​หยาง​นั้น​เกิด​การเปลี่ยนแปลง​อย่างรวดเร็ว​ ​ทุ่ง​กว้าง​ของ​ราชสำนัก​เกิด​ฟ้าผ่า​ขึ้น​ ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ไม่ได้​แสดงอาการ​สีหน้า​ใด​ ​ๆ​ ​เขา​นั่ง​นิ่ง​ซึมซับ​กระบี่​อยู่​ภายใน​ห้อง​ศิลา​ ​จวบจน​เช้าตรู่​วันนี้​จึง​ได้​ออกแรง​เริ่ม​เดินทาง​ ​และ​ใช้ประโยชน์​จาก​สถานการณ์​เพื่อ​บีบบังคับ​ให้​ซาง​สิง​โจว​ต่อสู้​กับ​ตน

​กระบวนการ​ทั้งหมด​นี้​เหนื่อยยาก​ยิ่งนัก

​แน่นอน​ว่า​เขา​ต้องการ​ที่จะ​ชนะ​การต่อสู้​ ​แต่​ที่​สำคัญ​กว่านั​้​นคือ​เขา​ต้องการ​ที่จะ​ต่อสู้

​เขา​ต้องการ​ขับไล่​ซาง​สิง​โจว​ไป​ยัง​ขอบ​หน้าผา​ ​บีบบังคับ​ให้​เข้าสู่​สถานการณ์​ที่​รุนแรง​ที่สุด

​เขา​ต้องการ​ให้​ซาง​สิง​โจว​รับรู้​ถึง​อันตราย​ของ​ความล้มเหลว​อย่างแท้จริง​ ​รับรู้​ถึง​สายตา​ที่​ประหลาด​ออก​ไป​ ​รับรู้​ถึง​ความท้อแท้​และ​สิ้นหวัง​ของ​สรรพสิ่ง​ใน​อากาศ​

​ด้วย​วิธี​นี้​เท่านั้น​ที่จะ​ทำให้​ซาง​สิง​โจว​ได้​เผชิญหน้า​กับ​ตนเอง​ ​เพื่อที่จะ​สามารถ​มองเห็น​ความ​เล็กน้อย​ที่​แอบซ่อน​อยู่​ใต้​อาภรณ์​นักพรต​สีเขียว​ ​และ​สามารถ​มองเห็น​สิ่ง​ที่อยู่​ใน​ใจ​ที่​เขา​ไม่เคย​พบ​เจอ​มาก​่อน

​ใน​ใจ​ของ​ซาง​สิง​โจว​กำลัง​คิด​เรื่อง​อะไร​อยู่​ ​เขามอง​เรื่อง​ทุกอย่าง​ที่​เกี่ยวข้อง​กับ​เฉิน​ฉาง​เซิง​อย่างไร​กัน

​แต่ละ​ประโยค​ที่​เฉิน​ฉาง​เซิง​เอ่ย​ออกมา​ ​นั่น​คือ​ความคิด​ที่​เขา​มีต​่อ​ซาง​สิง​โจว

​ท่าน​ปฏิเสธ​ที่จะ​ยอมรับ​ความผิดพลาด​ ​แต่​ท่าน​รู้ดี​แก่​ใจ​ว่า​ท่าน​คิดผิด​ ​เช่นนั้น​ท่าน​จึง​ไม่เคย​พยายาม​ลงมือ​ด้วยตัวเอง​ใน​ช่วง​หลาย​ปี​ที่ผ่านมา​ ​เพียงแค่​ปล่อย​ให้​คนใน​ตระกูล​เทียน​ไห่​และ​คน​จาก​ดินแดน​ต้า​ซี​มาสัง​หาร​ข้า​ ​เพราะ​ท่าน​ไม่ต้องการ​ที่จะ​สังหาร​ข้า​ ​แม้ว่า​ความจริง​ข้อนี​้​ท่าน​เอง​ก็​อาจจะ​ไม่​แจ้งใจ​เสียด​้วย​ซ้ำ

​ความคิด​นี้​ช่าง​สมเหตุสมผล

​หาก​อาศัย​ขั้น​เทพศักดิ์​สิทธิ์​และ​วิถี​พรต​ของ​ซาง​สิง​โจว​ ​อาศัย​ปณิธาน​ของ​เขา​ที่​แน่วแน่​ดุจ​ต้นสน​เก่าแก่​ ​แม้ว่า​ใต้เท้า​สังฆราช​จะ​ทิ้ง​ข้อบังคับ​เอาไว้​มากมาย​ก่อน​ตาย​ ​แม้ว่า​เฉิน​ฉาง​เซิง​จะ​มี​คน​ให้​ความช่วยเหลือ​มากมาย​และ​ระมัดระวัง​เป็นอย่างมาก​ ​แต่​หาก​เขา​ประสงค์​จะ​สังหาร​เฉิน​ฉาง​เซิง​แล้ว​ล่ะ​ก็​ ​หลาย​ปี​มานี​้​จะ​ไม่​เกิดผล​เลย​ได้​อย่างไร​กัน​ ​เหมือนกับ​พฤติกรรม​ของ​ขุนพล​เสือ​ขาว​ที่​เป็น​ดั่ง​เรื่องตลก

​นี่​คือ​ความจริง​ที่​เฉิน​ฉาง​เซิง​อยาก​จะ​ให้​ซาง​สิง​โจว​ได้​เห็น​ ​ความคิด​ที่แท้​จริง​ของ​เขา​เอง

​ซาง​สิง​โจว​มอง​ไป​ยัง​เฉิน​ฉาง​เซิง​โดย​ไม่ได้​เอ่ย​คำ​ใด​ ​แววตา​เย็นชา

​ราวกับ​เขา​ไม่ได้​มอง​คนที​่​มีอยู่​จริง​ ​ๆ​ ​ชีวิต​ที่​มีชีวิต​จริง​ ​แต่​เป็น​เพียง​วัชพืช​และ​ผลไม้​ที่​เน่า​แล้ว​เท่านั้น

​คำพูด​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง​นั้น​จริง​หรือ

​หลาย​ปีก่อน​ใน​วัด​เก่า​เมือง​ซี​หนิง​ ​คนที​่​ป้อน​โจ๊ก​ปลา​แก่​เฉิน​ฉาง​เซิง​ก็​คือ​อวี​๋​เห​ริน​ ​คนที​่​สั่งสอน​เฉิน​ฉาง​เซิง​ก็​ยังคง​เป็น​อวี​๋​เห​ริน

​ซาง​สิง​โจว​ปฏิบัติ​ต่อ​เฉิน​ฉาง​เซิง​อย่าง​ห่างเหิน​ ​น้อยมาก​ที่จะ​สั่งสอน​เขา

​ที่แท้​มิใช่​เพราะ​เขา​ไร้ความรู้สึก​ใด​ต่อ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​แต่​เพราะ​กลัว​จะ​หวั่นไหว

​หลาย​ปี​มานี​้​ ​ทั่วทั้ง​ดินแดน​ล้วน​ทราบ​ว่า​เขา​ไม่​ชอบ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​แต่กลับ​ไม่เข้าใจ​ว่าด้วย​เหตุใด

​แท้จริง​แล้ว​การ​เยาะเย้ย​ ​ดูถูก​และ​เหยียดหยาม​เหล่านั้น​ไม่​เป็นความ​จริง​แม้แต่​นิด​ ​เขา​เพียง​ต้องการ​รักษา​ระยะห่าง​ ​เพื่อให้​หัวใจ​ของ​เขา​แข็งกระด้าง​หรือ

​แต่​ท้ายที่สุด​แล้ว​เฉิน​ฉาง​เซิง​ก็​ยังคง​เป็นเงา​นั้น​บน​เส้นทาง​แห่ง​จิต​ของ​เขา

​จะ​ลบ​เงา​นั้น​ออก​ไป​ให้​หมดสิ้น​ได้​อย่างไร​ ​จะ​เติม​ให้​เต็ม​ได้​อย่างไร

​สังหาร​เฉิน​ฉาง​เซิง​ก็​มิได้​ ​เนื่องจาก​เรื่องราว​เหล่านั้น​ได้​เกิดขึ้น​แล้ว

​หรือ​อย่างที่​เฉิน​ฉาง​เซิง​เอ่ย

​รับผิด​หรือ

​สายตา​นับไม่ถ้วน​จับจ้อง​ไป​ยัง​ใบหน้า​ของ​ซาง​สิง​โจว

​ซาง​สิง​โจว​มอง​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​ก่อน​จะ​หัวเราะ​ออกมา

​มี​ความ​เยาะเย้ย​อยู่​ใน​รอยยิ้ม​นั้น​อย่าง​ไม่​ปิดบัง

​“​เจ้า​คิดมาก​ไป​แล้ว​”

​เมื่อ​เอ่ย​คำ​นี้​จบ​ ​เขา​ก็​หัน​กาย​เดิน​ออก​ไปนอก​สำนัก​ฝึก​หลวง

​อาภรณ์​นักพรต​สีเขียว​ชุ่ม​ไป​ด้วย​โลหิต​ ​มองดู​แล้ว​คล้าย​กับ​ดอกบัว​ที่​สีดำ​ดอก​หนึ่ง​ ​ค่อย​ ​ๆ​ ​พลิ้วไหว​อย่าง​เชื่องช้า​ตาม​สายลม

​มอง​ไป​ยัง​เงา​ร่าง​ที่​กำลัง​เดิน​ห่าง​ออก​ไป​ ​เฉิน​ฉาง​เซิง​เงียบขรึม​ ​ไม่ได้​เอ่ย​คำ​ใด

​จวบจน​ตอน​สุดท้าย​ก็​ยังคง​ไม่มี​ผู้ใด​ยอมแพ้​ ​แต่​ทุกคน​ล้วน​ทราบ​ผล​แพ้ชนะ​แล้ว

​เขา​เอาชนะ​อาจารย์​ของ​ตน​ได้​ ​คน​ผู้​นั้น​ที่​แข็งแกร่ง​ที่สุด​ใน​ดินแดน

​สิ่ง​ที่​เขา​ได้รับ​ไม่​เพียงแค่​ชัยชนะ​จาก​การต่อสู้​ใน​ครั้งนี้​ ​แต่​มัน​คือ​ชัยชนะ​ของ​การต่อสู้​ด้าน​จิตใจ​อีกด้วย

​ไม่ว่า​จะ​มอง​จาก​มุม​ใด​ ​นี่​ล้วน​เป็นเรื่อง​ที่​น่าทึ่ง​ยิ่งนัก​ ​เป็นเกียรติ​ยศ​ของ​จักรพรรดิ​โดยแท้

​หากว่า​กัน​ด้วย​เหตุผล​ ​ท่ามกลาง​ซากปรักหักพัง​ของ​หอ​เฟิง​ ​สำนัก​ฝึก​หลวง​ยาม​นี้​ควรจะ​มีบร​รยา​กาศ​ที่​เต็มไปด้วย​ความรื่นเริง

​แต่กลับ​ไม่​ ​เนื่องจาก​เฉิน​ฉาง​เซิง​ยังคง​นิ่งเงียบ​ ​เขา​เม้มปาก​อย่าง​แน่น​จน​ริมฝีปาก​เริ่ม​ซีด​ขาว

​คนที​่​อยู่​ใกล้​เขา​มาก​ที่สุด​ก็​คือ​สวี​โหย​่ว​หรง

​เมื่อ​เห็น​ความ​เงียบ​ของ​เขา​ ​ความรื่นเริง​ใน​แววตา​ของ​สวี​โหย​่ว​หรง​พลัน​จางหาย​ไป​ ​กลาย​เปลี่ยนเป็น​ความเวทนา

​“​ข้า​ไม่​คาดคิด​มาก​่อน​เลย​ว่า​ท่าน​จะ​พูดเก่ง​ขนาด​นี้​”

​นาง​เอ่ย​พลาง​อมยิ้ม​ ​พยายาม​ปลอบประโลม​จิตใจ​ของ​เขา

​ใน​วันนี้​เฉิน​ฉาง​เซิง​ได้​เอ่ย​ถ้อยคำ​มากมาย​กับ​ซาง​สิง​โจว​ภายใต้​อารมณ์​ฮึกเหิม​ ​คำพูด​นั้น​ดู​ช่าง​แหลมคม

​“​นั่น​เป็น​เพราะ​ปกติ​เขา​และ​ท่าน​สนทนา​กันน้อย​นัก​ ​ไม่เช่นนั้น​ท่าน​จะ​ทราบ​ว่า​เขา​ถนัด​เรื่อง​โจมตี​ผู้อื่น​ยิ่งนัก​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​เอ่ย​ด้วย​ใบหน้า​บาน​เป็น​จานเชิง​ ​เขา​เพียง​สร้าง​สีสัน​ไม่มี​เจตนา​จะ​เยาะเย้ย​เฉิน​ฉาง​เซิง​แต่อย่างใด

​ต่อมา​เขา​ก็​หันกลับ​ไป​เอ่ย​ด้วย​สีหน้า​ไม่เต็มใจ​ ​“​ต้อง​ให้​ข้า​เลี้ยง​หรือไม่​”

​อีก​ฝ่าย​ไม่เข้าใจ​เจตนา​ของ​เขา

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​เอ่ย​ ​“​ก็​สู้​จน​จบสิ้น​แล้ว​ ​ท่าน​ยัง​จะ​แช่​อยู่​ที่นี่​อีก​ทำไม​ ​ยัง​ไม่​รีบ​ไป​อีก​ ​ข้า​ไม่​เลี้ยงข้าว​เจ้า​หรอก​นะ​”

​เขา​เป็น​ผู้คุม​กฎ​สำนัก​ของ​สำนัก​ฝึก​หลวง​ ​แน่นอน​ว่า​มีคุณ​สมบัติ​ทั้ง​ใน​การ​ต้อนรับ​แขก​และ​ไล่​แขก

​คำถาม​ก็​คือ​ ​เป้าหมาย​ของ​ประโยค​นี้​ ​ก็​คือ​หวัง​จือ​เช่อ​หรือ

​แม้แต่​จักรพรรดิ​ไท่​จง​หรือ​จักรพรรดินี​เทียน​ไห่​ ​ต่าง​ก็​ไม่กล้า​เอ่ย​กับ​หวัง​จือ​เช่​อด​้ว​ยน​้ำ​เสียง​เยี่ยง​นี้

​ยิ่ง​ไม่มี​ผู้ใด​กล้า​ใช้​คำ​ว่า​ ​“​แช่​”​ ​กับ​หวัง​จือ​เช่อ

​หวัง​จือ​เช่​อส​่าย​หน้า​ ​ก่อน​หมุน​กาย​เดิน​ออก​ไปนอก​สำนัก​ฝึก​หลวง

​“​ท่าน​ทำท่า​ทาง​สงบจิตสงบใจ​อย่างนี้​ให้​ใคร​ดูกัน​ ​มิใช่​ว่า​พ่ายแพ้​มิ​เป็น​ท่า​แล้ว​น่ะ​หรือ​”

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​เอ่ย​ก่อน​ถ่มน้ำลาย​ลงพื้น

​หวังผ​้อ​เดิน​มา​อยู่​ตรงหน้า​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​มอง​ไป​ที่​ใบหน้า​ของ​เขา​ ​เมื่อมั​่น​ใจ​ว่า​ไม่เป็นอะไร​แล้วจึง​เอ่ย​ลาจาก​ไป

​ตั้งแต่แรก​เริ่ม​จน​จบ​ ​ไม่มี​การ​เจรจา​ ​ไม่มี​การ​ขอบคุณ​ ​เพียงแต่​เฉยเมย​เสีย​อย่างนี้

​เมือง​สวิน​หยาง​ใน​ปีนั​้น​ ​เมือง​เวิ​่น​สุ่น​ใน​ปีก่อน​ ​และ​เมืองหลวง​ใน​ปีนี​้​ ​ก็​ล้วน​เป็น​เช่นนี้

​เฉิน​ฉาง​เซิง​หันกลับ​ไป​มอง​สวี​โหย​่ว​หรง​ ​ก่อน​เอ่ย​ ​“​ข้า​ชนะ​แล้ว​”

​สวี​โหย​่ว​หร​งม​อง​ไป​ยัง​เขา​ด้วย​สายตา​ที่​เต็มไปด้วย​ความชื่นชม​ ​ก่อน​เอ่ย​ ​“​ยอดเยี่ยม​มาก​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​เงียบ​ไป​ครู่หนึ่ง​ ​จากนั้น​จึง​เอ่ย​ต่อ​ ​“​ข้า​ไม่ได้​ร้องไห้​ด้วย​”

​สวี​โหย​่ว​หรง​ยื่นมือ​ไป​เช็ด​เศษ​ฝุ่น​บน​ใบหน้า​ของ​เขา​ ​นาง​เอ่ย​ขึ้น​อย่าง​ปวดใจ​ว่า​ ​“​นี่​ก็​ยอดเยี่ยม​มาก​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ทอด​มองออก​ไป​ไกล

​กำแพง​สำนัก​ฝึก​หลวง​ด้าน​นั้น​ถล่ม​แล้ว

​อาภรณ์​จักรพรรดิ​สีเหลือง​ทอง​ชุด​นั้น​โดดเด่น​ยิ่งนัก​ท่ามกลาง​อากาศ​ที่​มืดครึ้ม

​อวี​๋​เห​ริน​ยืน​อยู่​ตรงนั้น

​…​…

​…​…

​ใน​ตรอก​ไป่ฮ​วา​เงียบสงัด

​ผู้คน​ต่าง​ตกใจ​กับ​ผลสุดท้าย​เสีย​จน​ไร้คำ​พูด

​ไม่มี​ผู้ใด​จากไป​ ​มีสา​เหตุ​ให้​ตกใจ​มากเกินไป​ ​และ​ยัง​มี​อีก​หลาย​สาเหตุ​เนื่องจาก​ประตู​ของ​สำนัก​ฝึก​หลวง​ยัง​ปิด​อยู่

​ฮ่องเต้​กำลัง​สนทนา​กับ​เฉิน​ฉาง​เซิง​อยู่​ด้านใน

​หลังจาก​การต่อสู้​นั้น​ ​ไม่มี​ผู้ใด​สามารถ​ขวางกั้น​การพบกัน​ของ​ศิษย์​พี่​และ​ศิษย์​น้อง​ได้​อีก

​เวลา​ผ่าน​ไป​เพียง​ครึ่ง​ชั่วโมง​ ​พวกเขา​พูดคุย​เรื่อง​อะไร​กัน

​ประตู​ใหญ่​ที่​หนักอึ้ง​ของ​สำนัก​ฝึก​หลวง​เปิด​ออก​อย่าง​ช้า​ ​ๆ

​เฉิน​ฉาง​เซิง​เดิน​ออกมา

​กระบี่​ถูก​ผูก​ไว้

​ผม​ยุ่ง​เล็กน้อย

​ร่างกาย​เต็มไปด้วย​ฝุ่น​และ​โลหิต

​ตาของ​เขา​แดงก่ำ

​แลดู​เหนื่อยล้า​มาก

​หรือ​แม้แต่​ดู​จนตรอก​ยิ่งนัก

​แต่​ไม่มี​ผู้ใด​กล้า​คิด​เช่นนั้น

​สวี​โหย​่ว​หรง​เดิน​ไป​อยู่​ทาง​ด้าน​ซ้ายมือ​ของ​เขา

​ถัง​ซาน​สือ​ลิ่ว​อยู่​เบื้องหลัง​ของ​เขา

​ราชันย์​แห่ง​หลิง​ไห่​ทำความเคารพ​อย่าง​เคร่งขรึม​ ​“​คารวะ​ท่าน​ใต้เท้า​สังฆราช​”

​นักบวช​แห่ง​พระราชวัง​หลี​ทยอย​คุกเข่า​ลง​ ​ทำความเคารพ

​ใน​ตอนแรก​เสียง​ดูเบา​บาง​ ​และ​ค่อย​ ​ๆ​ ​เกรียวกราว​ขึ้น​อย่างเป็นระเบียบ

​ผู้คน​ต่าง​ทยอย​คุกเข่า​ลง

​มีท​หาร​ของ​สำนัก​ฝึก​หลวง​ ​และ​ก็​มีท​หาร​ม้า​เกราะ​เหล็ก

​เหล่า​ขุนนาง​แห่ง​ราชสำนัก​ต่าง​ก็​คุกเข่า​ลง​กับ​พื้น

​ท่าน​อ๋อง​กว่า​สิบ​คน​สบตา​กัน​โดย​ปราศจาก​คำพูด​ ​สุดท้าย​ก็​ทยอย​คุกเข่า​ลง​ไป

​เฉิน​ฉาง​เซิง​เดิน​ออก​ไป​ยัง​ด้านนอก​ตรอก

​ผู้คน​ต่าง​ก็​ทยอย​คุกเข่า​ลง

​ราวกับ​คลื่น​น้ำ

​ที่​ไหลบ่า​ท่วม​เมืองหลวง

​จวบจน​ทั่วทั้ง​เมือง