ในความเป็นจริงเขาไม่รู้แต่อย่างใดว่าเขาเคยประมือกับหลัวซิวมาก่อนแล้ว ซึ่งก็คือชายลึกลับครั้นเมื่ออยู่ในโลกเซียนเสวียนเทียนนั่นเอง

ครั้นเมื่ออยู่ในโลกโลกเซียนเสวียนเทียน ผลการฝึกตนต่างอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูงเช่นกัน

ร่างกลวัฏสงสารเมื่อชาติปางก่อนของหลัวซิวสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย หากเขาทราบตั้งแต่เมื่อนั้นว่าเทียนหวูเชวก็เข้าร่วมสงครามที่ทำให้สำนักเทียนช่าต้องล่มสลาย อีกทั้งยังเข่นฆ่าศิษย์ในสำนักเทียนช่าไปไม่น้อยด้วย

เขาก็จะไม่ปล่อยเทียนหวูเชวมีชีวิตรอดออกมาจากโลกเซียนเสวียนเทียน

“ร่างแด่เทพเจ้า!”

เทียนหวูเชวตะคอกเสียงดังลั่น เสียงดังสนั่นราวกับท้องฟ้าแตกแยก มีรัศมีเทพที่แวววาวจับตาเปล่งประกายออกมาจากตัวเขา พลังออร่าค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละขั้น

“ผลการฝึกตนของข้าระงับอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 มานานหลายปี แต่ทว่าร่างยุทธ์ร่างเนื้อของข้ากลับบรรลุถึงแดนเทพมารตั้งนานแล้ว!”

เงาร่างของเทียนหวูเชวกระพริบอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขารวดเร็วมาก ๆ ปล่อยหมัดซัดเข้ามาหาหลัวซิว ราวกับกลายเป็นเทพเจ้าที่น่าเกรงขามอย่างไร้ที่สิ้นสุดองค์หนึ่งภายในชั่วพริบตาเดียว หมัดที่ดูธรรมดา แต่กลับมีปรากฏการณ์แปลกประหลาดปรากฏซ่อนอยู่ พลานุภาพสยดสยองอย่างมาก

เทียนหวูเชวมีต้นทุนที่สามารถทำให้เขาเย่อหยิ่งได้จริง ๆ ผลการฝึกตนยังไม่ถึงแดนเทพมาร แต่ร่างยุทธ์ร่างเนื้อกลับก้าวขึ้นไปสู่ร่างยุทธ์แดนเทพมารก่อนก้าวหนึ่งแล้ว ในบรรดานักยุทธ์รุ่นเดียวกัน ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถทำอย่างเขาได้

หลัวซิวไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ เทียนหวูเชวมีร่างแด่เทพเจ้า สามารถฝึกร่างยุทธ์แด่เทพเจ้าได้ ส่วนเขานั้นเป็นร่างตายเกิดสองระดับ หลังจากที่ร่างแยกดับเบิ้ลรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว จึงกลายเป็นร่างตายเกิดสองระดับโดยปริยาย!

ก่อนที่ร่างแยกดับเบิ้ลจะรวมกันเป็นหนึ่ง ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของทั้งสองร่างต่างอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 หลังจากที่รวมกันเป็นหนึ่งแล้ว จึงอยู่เหนือขีดจำกัด บรรลุถึงระดับเทพมาร!

ในช่วงเวลาที่เขายกมือขึ้นมาก็มีกฎสองระดับความเป็นตายโคจรไปมา รอบกายมีออร่าที่ยิ่งใหญ่พรั่งพรูออกมา ไม่ด้อยไปกว่าร่างแด่เทพเจ้าของเทียนหวูเชวเลย ในทางตรงกันข้ามเขากลับอยู่เหนือกว่าระดับหนึ่ง

ตู้มม!

ทันทีที่ขึ้นแท่นประลองทั้งสองก็ใช้ร่างเนื้ออสุราซัดเข้าหากัน ต่างไม่ใช้พลังอมตะใด ๆ เลย ภายใต้การปะทะกันของกำปั้น อากาศที่ว่างเปล่าบริเวณรอบ ๆ แตกสลายไปด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง ระลอกคลื่นพลังที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกมา เป็นพลังคลื่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการทำลายล้าง

แท่นประลองความเป็นความตายบนสถานประลองยุทธ์มีค่ายเทพต้องห้ามที่แข็งแกร่งครอบคลุมอยู่ เพราะฉะนั้นควันหลงจากการต่อสู้จึงไม่ถึงกับส่งผลกระทบต่อผู้เข้าชมการต่อสู้ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ

“ตึกตึกตึก……”

การโจมตีแรกปะทะเข้าด้วยกัน หลัวซิวไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แต่เทียนหวูเชวกลับก้าวถอยหลังกลับไปสองก้าว แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความอ่อนของร่างยุทธ์ในทันที

“ผลการฝึกตนและศักยภาพของเจ้า……”

สีหน้าของเทียนหวูเชวเปลี่ยนไป เห็น ๆ อยู่ว่าเมื่อสามเดือนก่อนคนดังกล่าวยังอยู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 อยู่เลย แต่วินาทีนี้เขากลับสูสีกับตนที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูง อีกอย่างร่างยุทธ์ของเขายังแข็งแกร่งกว่าตัวเองด้วย นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?

แต่หลัวซิวกลับเบื่อที่จะพูดมาก พลิกฝ่ามือกลางอากาศ เตาเทพหนึ่งแผ่คลุมลงมาทางเทียนหวูเชว อัคคีเทพสีเขียวที่อยู่ในเตาเทพลุกโชนออกมา ลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไปอยู่รอบเตา

หัวใจของเทียนหวูเชวเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าทันทีที่ตัวเองถูกดูดเข้าไปในเตาเทพดังกล่าว เขาต้องได้ตายอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน

เขาจึงรีบเรียกกระบี่ยุทธ์เทพมารเล่มหนึ่งออกโดยไม่ต้องคิด กระบี่ยุทธ์กลายร่างเป็นมังกรเขียวตัวหนึ่ง ก่อนที่มันจะคำรามเสียงดังเลือนลั่นจนทำให้เตาเทพกระเด็นออกไป จากนั้นมันก็รีบอ้าปากขึ้น พุ่งไปกลืนกินหลัวซิว

เทียนหวูเชวเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในสำนักไร้เจตสิก อัญมณีแห่งเทพมารที่เขามีจึงต้องเป็นอัญมณีชั้นยอดอยู่แล้ว พลานุภาพทรงพลังกว่าเตาเทพที่ช่าจื่อเยียนให้มาก ๆ

กระบี่ยุทธ์มังกรเขียวเล่มนี้มีพลานุภาพเพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งเทพมารช่วงปลายบาดเจ็บ หลัวซิวจึงไม่สามารถใช่ร่างยุทธ์มาต้านรับการโจมตีนี้อยู่แล้ว พลิกมือเรียกหอกยุทธ์มังกรดำออกมา หอกยุทธ์กลายเป็นมังกรดำตัวหนึ่ง โถมเข้าไปสู้กับมังกรเขียวของเทียนหวูเชว

มังกรเขียวและมังกรดำกัดสู้กันไปมา หลัวซิวก้าวเท้ายาวขึ้นไป มือทั้งสองข้างคลึงตราประทับพร้อมกัน พลังอมตะต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทำเอาเทียนหวูเชวถูกโจมตีจนต้องก้าวถอยหลังกลับไปรัว ๆ

“อะไรนะ? นี่มันเป็นไปไม่ได้! ……”