บทที่ 1262 รีบแต่งตั้งข้า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,262 รีบแต่งตั้งข้า

แดนตะวันตกเฉียงเหนือ พื้นที่เขต 3

โรงเตี๊ยมที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามแห่งหนึ่ง

ยามเช้ากิจการซบเซา ในโรงเตี๊ยมแทบไม่มีลูกค้า

เถ้าแก่ผู้เป็นชายชราฟันเหลืองนอนสัปหงกอยู่หลังคอกเสมียน

ทันใดนั้น ชายชราก็สะดุ้งตื่นและพบว่าภายในร้านมีบุรุษหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ

บุรุษสวมใส่หน้ากากและชุดเกราะสีขาว

หญิงสาวท่าทางซอมซ่อไม่ต่างจากขอทานข้างถนน

เถ้าแก่รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ

เขาไม่อยากรู้แล้วว่าบุรุษหนุ่มหญิงสาวคู่นี้มาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่

หรือพวกเขามาด้วยกันได้อย่างไร

เพราะในโลกนี้มีผู้คนที่แปลกประหลาดมากเกินไป

โดยเฉพาะยอดฝีมือที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ มักทำให้ผู้คนตื่นตระหนกและประหลาดใจได้เสมอ

เถ้าแก่อดดีใจไม่ได้เมื่อคิดว่าแขกทั้งสองท่านนี้เป็นยอดฝีมือระดับสูง

“คุณชายและนายหญิงต้องการจะสั่งอะไรบ้างขอรับ… หืม? ปรากฏว่าเป็นพวกท่านนี่เอง วันนี้ต้องการสุราอีกหรือไม่?”

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ เถ้าแก่ชราจึงจดจำได้ แขกทั้งสองท่านนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งมารับประทานถั่วลิสงทอดและดื่มสุราไปถึงสิบห้าไห และก่อนกลับ นายหญิงผู้นั้นยังได้สั่งสุรากลับไปอีกสิบห้าไหด้วยเช่นกัน

“เอามาก่อนสิบห้าไห”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพยักหน้าและชี้มือมาที่หลินเป่ยเฉิน “เก็บเงินที่เขา”

เถ้าแก่รีบนำไหสุรามาจัดวางให้อย่างรวดเร็ว

“เหตุไฉนเทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ถึงไม่มาอีกแล้วเล่า?”

หลินเป่ยเฉินอดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้

ในการนัดพบก่อนหน้านี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงบอกว่านางจะมาพร้อมกับเทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่เพื่อนำอาวุธและอุปกรณ์ชุดใหม่มาให้เขา

แต่เมื่อถึงวันนัดพบจริง ๆ กลับมีเพียงเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผู้เดียวเท่านั้น

“อิ๋นหวงไหอู่นางติดธุระสำคัญ ขณะนี้ยากจะปลีกตัวมาได้”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ

จากนั้นก็เริ่มดื่มสุราอย่างบ้าคลั่ง

ติดธุระสำคัญ?

ไม่ใช่ว่าโดนใครตามล่าอีกแล้วนะ?

“อุปกรณ์ที่ท่านบอกว่าจะให้ข้าคือสิ่งใดหรือ?”

หลินเป่ยเฉินไม่เสียเวลาอีกต่อไป เขาตัดสินใจเข้าเรื่องโดยทันที

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโยนถุงเก็บของวิเศษเก่าขาดใบหนึ่งลงมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม “อยู่ในนี้”

หืม?

จริงหรือ?

หลินเป่ยเฉินเปิดถุงเก็บของวิเศษดูสิ่งที่อยู่ด้านในด้วยความสงสัย

ด้านในบรรจุสิ่งใด?

ด้านในบรรจุเพียงผงแป้งสีขาวเท่านั้น

“นี่คืออะไรหรือ?”

หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเขม็ง

เทพธิดาขี้เมายกไหสุรากรอกปากอึกใหญ่ ก่อนตอบว่า “นี่คือของที่ล้ำค่ามากเลยนะ มันมีนามว่าผงเทพครวญวิญญาณร่ำไห้ เวลาที่เจ้าพบเจอศัตรูที่สู้ไม่ได้ ให้นำผงชนิดนี้ออกมาปาใส่หน้ามันผู้นั้น แล้วศัตรูของเจ้าก็จะเกิดอาการวิงเวียนศีรษะเจ้าก็อาศัยเวลานั้น หากไม่โจมตีกลับไปก็ให้หลบหนีออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็นับเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง”

ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินกระตุกระริก

เชี่ยเอ๊ย…

นี่มันก็ผงพิษธรรมดาไม่ใช่หรือ?

นางอยากจะล้อเล่นกับเขาใช่หรือไม่?

ดูเหมือนเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะคาดเดาความคิดของเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี นางจึงซดสุราย้อมใจไปอีกหลายอึก ก่อนกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้ประเมินคุณค่าของผงวิเศษนี้ต่ำต้อยเกินไป มันเป็นของที่หายากมากในดินแดนทวยเทพ ข้าต้องเหน็ดเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะหามันมาได้ ต่อให้เป็นเทพเจ้าระดับสูง ก็ยังไม่สามารถต้านทานอานุภาพของมัน…”

“จริงหรือ?”

หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจ้องมองกลับมาตาเขม็ง “เจ้าหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้”

“ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้

เขาล้วงมือเข้าไปในถุงและกำผงขาวนั้นติดมือมากำใหญ่

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรีบพูดออกมาด้วยท่าทีเดือดดาลใจว่า “เจ้าเด็กทรยศ หากเจ้ากล้าใช้มันกับข้า รับรองว่าเจ้าไม่ได้ตายดีแน่ รู้หรือไม่ว่าที่ข้าหาผงเทพครวญวิญญาณร่ำไห้มาให้เจ้าใช้งาน ก็เพราะว่าข้าเป็นห่วงเจ้ามากนะ”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ลังเลใจอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ปล่อยผงเหล่านั้นกลับคืนลงสู่ถุงเก็บของดังเดิม แล้วเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เพราะเหตุใดหรือ?”

“พักนี้เจ้าต้องระวังตัวหน่อย อย่าได้เชื่อใจผู้อื่นมากเกินไป”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือปาดคราบสุราออกจากริมฝีปาก “จงระวังสหายร่วมกลุ่มของเจ้าให้ดี ห้ามไว้ใจพวกเขาเด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้ม “คนที่ข้าไม่ควรไว้ใจมากที่สุด ก็คือท่านนี่แหละ”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงชักสีหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ “เจ้าเด็กปากเสีย รู้หรือไม่ว่าเพื่อช่วยเหลือเจ้า ข้าถึงกับต้องยอมผิดคำสาบาน…”

“แต่ร่างกายของท่านก็ไม่ได้สึกหรอสักหน่อย…”

หลินเป่ยเฉินพึมพำ

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “เด็กโสโครก เจ้าชักจะทำตัวร้ายกาจเกินไปแล้ว”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอและตอบว่า “อย่าเพิ่งมีอารมณ์สิ ท่านเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรืออย่างไร? พวกเราเคยเห็นร่างเปลือยของกันและกันมาแล้ว… แต่ช่างเถอะ ผงขาวอะไรของท่านนี่มันนับเป็นอุปกรณ์ได้ด้วยหรือ? สิ่งที่เรียกว่าอุปกรณ์มันสมควรเป็นชุดเกราะ โล่โลหะ หรือเครื่องมือสำหรับการต่อสู้ไม่ใช่หรือไง?”

“ไม่มีแล้ว”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา “เพื่อผงเทพครวญวิญญาณร่ำไห้ถุงนี้ มันก็ทำให้ข้ากับอิ๋นหวงไหอู่แทบหมดตัวแล้ว เจ้าเอาไปใช้งานให้ดีเถอะ รับรองว่ามีประโยชน์มากกว่าอาวุธพวกนั้นอีก”

“ไม่ใช่ว่าท่านไปโกยผงอะไรก็ไม่รู้มาจากข้างถนน แล้วก็เอามาหลอกข้า เพื่อให้ข้าเลี้ยงสุราท่านนะ”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองคล้ายกับจะพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

“หากเจ้าต้องการจะคิดเช่นนั้น ข้าก็ช่วยไม่ได้”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวประชดแดกดันกลับมา

ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืนและตะโกนว่า “เถ้าแก่ ขอสุราอีกสิบห้าไห ข้าจะนำกลับไปดื่มที่บ้าน”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจ “รับทราบขอรับ ข้าน้อยได้จัดเตรียมเอาไว้ให้นายหญิงล่วงหน้าแล้ว…”

“ตาเฒ่า เจ้าอยากตายหรืออย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินหันไปถลึงตาจ้องมองด้วยสายตาดุดัน

เถ้าแก่ชราย่นคอด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะถอยกายหายกลับเข้าไปที่คอกเสมียนอย่างรวดเร็วยิ่ง

แต่สุดท้าย เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ได้เดินหิ้วสุราสิบห้าไหไปยังประตูทางออกของโรงเตี๊ยมอยู่ดี ทันใดนั้น นางคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับมากล่าวว่า “จริงด้วยสิ ช่วงนี้เจ้าทำตัวเงียบ ๆ หน่อยก็ดี หากเป็นไปได้ก็หาที่ซ่อนตัวซะ มิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะพบกับกลุ่มคนมายื่นข้อเสนอให้เจ้ามากมาย รับรองว่าเจ้าต้องรับแขกจนเหนื่อยเลยล่ะ”

“จริงหรือ?”

หลินเป่ยเฉินมีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมองสีหน้าของเด็กหนุ่มและรู้แล้วว่าตนเองคงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก จึงหมุนกายเดินจากไปพร้อมด้วยไหสุราเต็มสองมือ

หลินเป่ยเฉินหันกลับมาเปิดถุงใส่ผงขาวดูอีกครั้ง เขาคิดอะไรบางอย่างช ก่อนจะเก็บถุงนั้นเข้าใส่อกเสื้อ

แม้ว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะพึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่ผงเทพครวญวิญญาณร่ำไห้อะไรนี่ ก็น่าจะพอพึ่งพาได้อยู่บ้างกระมัง?

เด็กหนุ่มลุกขึ้นกำลังจะจ่ายเงินค่าสุรา

ทันใดนั้น นักเวทในชุดเสื้อคลุมสีดำขลิบทองผู้หนึ่งก็ก้าวปราด ๆ เข้ามานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาหน้าตาเฉย

“เจ้าคือเจี๋ยนเซียวเหยาใช่หรือไม่?”

นักเวทผู้นี้มีอายุประมาณห้าสิบปี ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา ย้ำเตือนให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงพวกศาสตราจารย์ที่สอนวิชาเศรษฐศาสตร์แบบที่ต้องอ้างอิงหลักทฤษฎีเยอะ ๆ สมัยที่เขายังอยู่บนโลกมนุษย์ใบเดิมขึ้นมาทันที

ดูเหมือนว่าริ้วรอยบนใบหน้าเหล่านี้คงบรรจุความรู้ที่หลายคนไม่เข้าใจเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม

สำหรับนักเวท นั่นก็คงเป็นความรู้ในการใช้เวทมนตร์แล้ว

“ท่านเป็นใคร?”

หลินเป่ยเฉินทรุดนั่งลงอีกครั้ง

นักเวทวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่เครื่องแบบของวิหารเทพพงไพร

ย่อมต้องเป็นนักเวทจากสภาเทพเจ้า

“ใต้เท้ากั้วต้องการให้ข้ามายื่นข้อเสนอต่อเจ้า”

เสียงของนักเวทวัยกลางคนผู้นี้เย็นชาราวกับแม่น้ำใต้ดิน เงียบสงบปราศจากคลื่นรบกวน

อ้อ สุดท้ายก็เป็นผู้ส่งสาส์นที่นำข้อความมาบอกต่อเขาสินะ

หลินเป่ยเฉินถามกลับไปว่า “ข้อเสนออันใด?”

“ข้อเสนอให้เจ้าเข้ามาเป็นลูกสมุนใต้อาณัติของใต้เท้ากั้ว”

นักเวทวัยกลางคนจ้องมองดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากของหลินเป่ยเฉินและกล่าวต่อ “หากเจ้ารับข้อเสนอ เจ้าก็ไม่ต้องรอจนจบการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ครั้งนี้ เพราะใต้เท้ากั้วจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นเทพเจ้าชั้นกลางโดยทันที”

หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปเล็กน้อย

นี่มันอะไรกันเนี่ย

นักเวทวัยกลางคนกระซิบเสียงแผ่วเบาต่อเนื่อง “แน่นอนว่าเจ้าสามารถปฏิเสธได้เช่นกัน แต่หากเจ้าปฏิเสธข้อเสนอ เจ้าก็จะ…”

“ไม่ต้องพูด”

หลินเป่ยเฉินตบโต๊ะเสียงดังปัง ขัดจังหวะนักเวทผู้นั้นกลางคัน “ข้า…”

แต่นักเวทกลับหัวเราะเยาะและกล่าวสวนมาว่า “ข้ารู้จักคนหนุ่มเช่นเจ้า ผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตนเอง เจ้าคิดเสมอว่าด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าย่อมได้ทุกอย่างที่ตนเองต้องการ เจ้าคิดว่าโชคชะตาอยู่ในกำมือของตนเอง ฮ่า ๆๆ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง เจ้ายังไม่รู้หรอกว่าลมฝนของโลกใบนี้ มันมีความโหดร้ายเพียงใด…”

“ไม่ ไม่ ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจ”

หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง “ข้า…”

นักเวทวัยกลางคนพูดสวนกลับมาทันที “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ข้าจะให้เวลาเจ้าได้กลับไปคิดไตร่ตรอง…”

“ไม่ต้องคิดอีกต่อไปแล้ว”

หลินเป่ยเฉินกล่าว “ข้าสามารถให้คำตอบกับท่านได้เดี๋ยวนี้เลย ข้า…”

“หากเจ้ากล้าปฏิเสธใต้เท้ากั้ว ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะโชคดี…” นักเวทชุดดำผุดลุกขึ้นยืน

“ให้ข้าพูดจบก่อนได้หรือไม่?”

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ “ข้าบอกตอนไหนว่าจะปฏิเสธ? ข้าน้อยยินดีรับข้อเสนอขอรับ เร็วเข้าเถอะ รีบแต่งตั้งข้าน้อยให้เป็นเทพเจ้าชั้นกลางเดี๋ยวนี้”

“ว่าไงนะ?”

นักเวทวัยกลางคนถึงกับชะงักกึก

ยินดี… รับข้อเสนอ?

เหตุไฉนจึงได้รับปากง่ายดายถึงเพียงนี้?

บรรดาอัจฉริยะคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของการแข่งขันรอบแรก สมควรยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตนเอง ไม่ยอมก้มหัวให้กับผู้ใดง่าย ๆ ไม่ใช่หรือ?

หรือว่าเจี๋ยนเซียวเหยาผู้นี้จะเป็นตัวปลอม?

นี่แตกต่างจากสิ่งที่นักเวทวัยกลางคนคิดเอาไว้มากทีเดียว!