“พัก! เขานั้นกลับบอกให้พวกผางเจิ้นนั่งพัก!”
“เจ้าเด็กคนนี้มันโดนว่านเจิ้นตีจนสมองกลับแล้วหรือ?”
“ถึงเวลานี้แล้วยังจะต้องมานึกถึงเรื่องใจกว้างใดๆ อีก?”
…
คนทั้งหลายนั้นต่างร้องลั่นขึ้นมาตามๆ กันเพราะไม่อาจจะเข้าใจถึงการกระทำของเย่หยวนได้
ในวินาทีที่ทุกอย่างนั้นจะตัดสินเป็นตายได้เจ้าหมอนี่มันกลับทำใจกว้างบอกให้อีกฝ่ายไปพักก่อน
แม้แต่ตัวผางเจิ้นเองหรือยูถันจื่อเองก็ยังผงะไปไม่น้อย หลังจากยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งพวกเขาจึงเริ่มกลับมาตั้งสติได้
พวกเขาทั้งหลายนั้นต่างเป็นคนทะนงถือตัวเป็นธรรมชาติ ไม่เคยจะได้รับการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้จากใครมาก่อน
“เด็กน้อย เจ้าแน่ใจแล้ว?” ยูถันจื่อถามขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก
เย่หยวนพยักหน้ารับ “สำหรับข้าแล้วจะคนเดียวหรือสิบคนมันก็ไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้นพวกเจ้าทั้งหลายก็พักฟื้นแรงกันก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วศึกนี้มันจะน่าเบื่อไป”
พูดจบเขาก็นั่งลงพัก
เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งสิบแปดนั้นต่างหันมองด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนดูถูก
พวกเขาทั้งหลายนี้กลับยังถูกคนมาดูถูกได้!
“ดีมาก ข้าก็อยากจะรู้เสียจริงๆ ว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะเก่งกาจสักเท่าใด!”
ผางเจิ้นนั้นหัวเราะขึ้นก่อนจะนั่งลงปรับลมหายใจ
เสียงหัวเราะลั่นมันดังขึ้นบนท้องฟ้ากว้าง
“เจ้าเด็กคนนี้มันช่างโอหังเสียจริงๆ! เขากลับคิดท้าทายคนทั้งสิบแปดนี้ด้วยกำลังของตัวเอง หากเทียบกันแค่ความกล้าแล้วแม้แต่เฒ่าคนนี้ก็ยังไม่กล้าเท่ามัน! สายฟ้า เจ้าบอกว่าเขาไม่ติดอับดับทองคำเทพสงครามมิใช่หรือ? เวลานี้เป็นอย่างไรเล่า?” จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้กล่าวถามด้วยเสียงหัวเราะ
เหล่ายอดคนทั้งหลายรวมไปถึงตัวเต๋าบรรพกาลสายฟ้าต่างแสดงสีหน้าเหยเกออกมาตามๆ กัน
เพราะสิบปีที่ผ่านมาในโลกภายนอกนี้พวกเขาทั้งหลายได้กล่าวเยาะเย้ยจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ไปอย่างไม่ขาดปาก บอกว่าคนที่เขาเลือกนั้นกลับไม่อาจจะติดอันดับทองคำเทพสงคราม
แต่ใครจะไปคิดว่าในโค้งสุดท้ายนั้นเย่หยวนกลับปรากฏตัวพุ่งทะยานขึ้นมาครองอันดับหนึ่งไปได้เสียอย่างนั้น?
ศึกในกรงนี้เองเย่หยวนก็ทำการต่อสู้อันน่าหวาดกลัวมาถึงสองครั้งจนทำให้เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายไม่กล้าจะมาท้าทายเขา
ในโค้งสุดท้ายนั้น เขายังกล้าจะท้าทายยอดอัจฉริยะทั้งสิบแปดนี้ด้วยตัวคนเดียว
เรื่องราวที่เขาทำนี้มันย่อมจะไม่ได้ทำให้แค่เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายในมิติสงครามดึกดำบรรพ์ตกตะลึง แต่รวมไปถึงเหล่าบรรพกาลทั้งหลายที่ดูเรื่องราวอยู่
แม้แต่ตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้เองก็ยังต้องผงะมึนงงไปนานกว่าจะกลับมาตั้งสติได้
เต๋าบรรพกาลสายฟ้านั้นกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าจะมาวางท่าเพื่อ? ต่อสู้หนึ่งต่อสิบแปดนี้มีหรือที่มันจะยังเอาชนะได้?”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ยิ้มกว้างตอบ “แพ้แล้วทำไมเล่า? ยอดอัจฉริยะนั้นคือคนที่ทำเรื่องราวเหนือกว่าผู้คนได้และกล้าจะทำเรื่องที่คนอื่นไม่กล้า! ไม่เอาชนะยอดอัจฉริยะในรุ่นเดียวกันไปแล้วมีหรือที่คนผู้นั้นจะร่างเต๋าได้? ในยุคสมัยนี้มันมีแต่เราเหล่าเฒ่าทั้งหลายที่รอดมาได้มิใช่หรือ? ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเจ้าเด็กนี้มันกล้าวางตัวโอหังเช่นนี้ มันจะพูดกล่าวออกมาอย่างไร้อะไรหนุนได้หรือ?”
คนอื่นนั้นต่างไม่อาจจะเถียงใดๆ กลับได้
ที่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ว่ามานั้นมันถูกต้องสิ้น พวกเขาทั้งหลายเหล่าบรรพกาลนั้นต่างร่างเต๋าของตน มีใครบ้างเล่าที่ไม่ทำลายบดขยี้อัจฉริยะคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันมากว่าจะขึ้นมาถึงวันนี้ได้?
แต่ถึงจะเป็นสมัยคนทั้งหลายนี้ยังหนุ่มๆ พวกเขาก็ไม่กล้าจะต่อสู้กับยอดอัจฉริยะสิบแปดคนเช่นนี้!
บรรพกาลคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “เฉียนจี้ เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป! ต่อให้มันจะมีไม้ตายใดๆ หลบซ่อนไว้มันก็ไม่มีทางใดจะเอาชนะได้! ระวังจะถูกตบหน้าเข้าทีหลังเถอะ!”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้หันหน้าไปมองดูคนทั้งหลายก่อนจะส่ายหัวออกมาพร้อมหัวเราะเย้ย “สายตาของเจ้ามันช่างคับแคบจริงๆ! เวลานี้ทุกเผ่าพันธุ์ทุกชีวิตบนมหาพิภพถงเทียนกำลังเผชิญภัยร้าย เวลานั้นมันต้องมียอดวีรบุรุษที่จะก้าวขึ้นมานำเรา! ยิ่งเย่หยวนเก่งกาจเท่าใด มันก็ยิ่งหมายความว่าความหวังของพวกเรายิ่งยิ่งใหญ่ขึ้น! ถึงเวลานี้พวกเจ้ายังจะมาเล่นเกมเอาหน้า มันมีประโยชน์ใดกัน?”
ทุกผู้คนต่างหุบปากลงไปตามๆ กันเพราะคำพูดของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นมันมีเหตุผลที่หนักแน่นเกินกว่าจะเถียง แต่ใครกันเล่าที่จะทิ้งเรื่องราวเช่นนั้นลงไปได้สิ้น?
…
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยความที่เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายนั้นต่างบ่มเพาะด้วยวรยุทธบ่มเพาะเหนือล้ำการฟื้นฟูของพวกเขาจึงรวดเร็วล้ำ
เวลานี้คนทั้งสิบแปดนั้นได้กลับมามีสภาพสมบูรณ์พร้อมอีกครั้ง
เมื่อมีพลังเต็มเปี่ยมความมั่นใจของพวกเขานั้นมันก็ได้กลับมาอีกครั้ง
ผางเจิ้นหันมามองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “เด็กน้อย ความมั่นใจนั้นมันก็ดี! แต่อีกไม่นานเจ้าจะได้รู้ว่าสิ่งที่เจ้ามีนั้นมันมิใช่ความมั่นใจ แต่เป็นความหลงตัวเอง!”
เย่หยวนยิ้ม “เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นก็หวังว่าเจ้าจะพิสูจน์มันให้ข้าเห็นได้”
ผางเจิ้นนั้นหน้าดำลงทันทีที่ได้ยิน รอยยิ้มของเจ้าเด็กคนนี้มันน่ารำคาญเสียจริง!
แต่ยูถันจื่อนั้นกลับกล่าวขึ้นมาแทรก “ว่านเจิ้น เจ้าจะยืนข้างใด?”
ว่านเจิ้นตอบ “ข้าไม่ขอร่วมด้วย!”
ยูถันจื่อจึงหัวเราะขึ้นมา “ถอนตัว? หึ สมองเจ้ามันดีจริงๆ! หากเราต่อสู้กันจนบาดเจ็บหนักกันถ้วนหน้า เวลานั้นเจ้าก็คงเข้ามากวาดชัยชนะไปด้วยมือข้างเดียวเลยใช่หรือไม่เล่า?”
แต่ว่านเจิ้นนั้นกลับตอบมาด้วยใบหน้าจริงจัง “แท้จริงข้าอยากจะช่วยน้องเย่ แต่เขาย่อมจะไม่รับความช่วยเหลือจากข้าแน่ เพราะฉะนั้นข้าจึงเลือกจะไม่ยุ่งด้วย หากพวกเจ้ายังกังวลใจ จะส่งคนมาจัดการข้าเสียหน่อยก็ได้!”
เย่หยวนยิ้มรับ ว่านเจิ้นนั้นทำการอย่างมีเหตุผลหนักแน่น
ยูถันจื่อนั้นหรี่ตาลงด้วยใบหน้ามืดดำ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเราทั้งหลาย หลังจากสังหารเจ้าเด็กคนนี้ลงแล้วมาช่วยกันสังหารว่านเจิ้นต่อเถอะ!”
ทุกผู้คนต่างพยักหน้ารับ เวลานี้ไม่มีใครคิดคัดค้านใดๆ หากสามารถลดคู่แข่งที่เก่งกาจลงไปได้แล้วมันย่อมมิใช่ปัญหาแก่พวกเขา
จู่ๆ มันก็เกิดแรงระเบิดของพลังต้นกำเนิดรุนแรงปะทุขึ้นในกรง
แม้จะยังไม่ทันได้ลงมือใดๆ แต่ตั้งท่ากันมันก็ส่งคลื่นพลังรุนแรงจากกรงลงไปถึงมิติสงครามดึกดำบรรพ์ได้
นี่คือพลังของยอดคนทั้งสิบเจ็ด!
แค่ความรู้สึกที่ต้องไปยื่นต่อหน้าพวกเขาทั้งหลายนี้มันก็ทำให้คนแทบเป็นลมได้
ด้วยพลังของคนทั้งสิบเจ็ดนี้มันย่อมจะปล่อยพลังต้นกำเนิดแนวคิดหลายต่อหลายอย่างออกมา
บ้างนั้นมีพลังรุนแรง บ้านั้นมีพลังสูงล้ำ บ้านั้นมีพลังลึกลับ!
แต่ละคนนั้นถนัดในเรื่องที่แตกต่างกันไป แน่นอนว่าสิ่งที่ทำได้มันก็ย่อมจะแตกต่างด้วย
เมื่อคนทั้งสิบเจ็ดนี้ร่วมมือกันแล้วมันย่อมจะนับได้ว่าไร้จุดอ่อนใดๆ
“แข็งแกร่ง! แข็งแกร่งเสียจริง! หากข้าไปยืนตรงนั้นข้าคงแตกสลายอย่างไม่ต้องให้พวกเขาลงมือใดๆ เลย”
“อย่าว่าแต่เจ้า ข้าว่าแม้แต่ว่านเจิ้นเองก็ยังต้องสงบลงใต้แรงกดดันนี้!”
“ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเย่หยวนนั้นคิดอะไรอยู่ ศัตรูเช่นนี้มันจะรับมือด้วยตัวคนเดียวอย่างไรไหว?”
…
ว่านเจิ้นนั้นรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอันแสนน่ากลัวนั้นจนหน้าถอดสี
ก่อนหน้านี้มันล้วนแล้วแต่เป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง คลื่นพลังใดๆ มันก็จะเล็งเป้าไปที่ศัตรูเพียงคนเดียว
แต่เวลานี้ทุกผู้คนนั้นกลับหันพลังมาใส่เย่หยวนเพียงแค่คนเดียว มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
พลังของคนทั้งสิบเจ็ดนี้มันเหมือนกับสิบเจ็ดขุนเขาที่หนักหน่วง
บนท้องฟ้านั้นเย่หยวนกำลังถูกล้อมไปด้วยยอดคนทั้งสิบเจ็ด
รอบๆ กายเขานั้นมันมีดาบพุ่งผ่านไปมา ค่ายกลดาบของเขายังคงทำงานอย่างไร้ความอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
สำหรับเขาแล้ว มันก็คือความท้าทายใหญ่หนึ่งเช่นกัน
เพราะอย่างไรเสียคนทั้งหลายนี้ก็มิใช่แค่คนทั่วๆ ไป แต่เป็นยอดคนอัจฉริยะแห่งมหาพิภพถงเทียน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผางเจิ้นที่มีพลังจากร่างกายนั้นคล้ายคลึงกับพลังของสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ พลังของเต๋าสวรรค์ที่สุดแสนน่ากลัวนั้น
“สังหาร!”
ผางเจิ้นร้องลั่นขึ้นมาก่อนจะพุ่งตัวกลายเป็นก้อนสายฟ้าเข้ามาหาเย่หยวน
พริบตานั้นมันก็ปรากฎทะเลสายฟ้าขึ้นรอบกายเย่หยวน
คลื่นพลังสายฟ้านี้มันรุนแรงมากพอที่จะทำลายล้างโลกหล้าได้!
เพราะจะอย่างไรเต๋าบรรพกาลสายฟ้านั้นก็คือผู้ลงทัณฑ์ของสวรรค์มาแต่แรก
ผางเจิ้นได้รับพลังสืบทอดมาจากเขานั้นย่อมจะต้องมีพลังรุนแรงล้ำจินตนาการ!
ในเวลาเดียวกันนั้นคนที่เหลือทั้งสิบหกก็ลงมือพร้อมๆ กัน
คลื่นพลังรุนแรงล้ำหลายสายพุ่งทะยานเข้ามาในทะเลสายฟ้าที่เย่หยวนยืนอยู่
พริบตาเดียวที่ที่เย่หยวนยืนอยู่มันก็เริ่มกลายเป็นสีดำ
คนทั้งหลายได้เห็นอย่างชัดเจนว่าที่ที่เย่หยวนยืนอยู่นั้นมันได้เกิดหลุมดำย่อมๆ ขึ้นมา
คลื่นพลังรุนแรงนั้นมันได้กลืนทุกสิ่งอย่างเข้าไปในห้วงความว่างเปล่า
……………..