บทที่ 2020 แขกผู้มีเกียรติมาเยือน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

นางไม่อยากให้เหมียวอี้รับอนุภรรยาไปทั่ว อยากให้เหมียวอี้โปรดปรานนางคนเดียว แต่เหมียวอี้เดินบนเส้นทางนี้แล้ว

นางจำได้ดีว่าเหมียวอี้ในปีนั้นล้วนถูกคนรังแก เป็นเวลาที่ทนรับความอัปยศมาเต็มที่

ตอนที่นางอยู่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็เห็นกับตาว่ามีคนมากมายดูหมิ่นเหยียดหยามเหมียวอี้ เหมียวอี้ในตอนนั้นทำได้เพียงเงียบและอดทนไว้ ปล่อยให้คนหยามเกียรติท่ามกลางฝูงชน นั่นคือครั้งที่นางได้เห็นกับตาตัวเองจริงๆ ปวดใจ!

นางจำได้ชัดเจนว่าตอนที่เหมียวอี้ไปร่วมการทดสอบแดนอเวจี ข่าวที่นางได้ยินแทบจะทำให้ตาถลน มีคนมากมายขนาดนั้นต้องการเล่นงานให้เหมียวอี้ถึงตาย มีคนมากมายขนานั้นรังแกเหมียวอี้คนเดียว ไม่มีความยุติธรรมหรือเหตุผลใดๆทั้งนั้น เหมียวอี้บุกเดี่ยวอาบเลือดอยู่ท่ามกลางกำลังพลหนึ่งล้าน ถึงได้สู้จนเก็บชีวิตกลับมาได้ ตอนนั้นนางก็สาบานต่อฟ้าแล้ว!

นางรู้ดีว่าเหมียวอี้ได้รับความอัปยศมาหลายครั้ง ไม่รู้ว่าโดนทวนในที่แจ้งกับธนูในที่ลับมาตั้งเท่าไร ทั้งยังถูกทรยศ ถึงได้เดินมาจนทุกวันนี้ ทุกอย่างในวันนี้ล้วนป็นสิ่งที่เหมียวอี้ถือศีรษะเอาชีวิตแลกมา

ไม่ต้องพูดถึงว่าแต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนับ เหมียวอี้ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ง นางทำได้เพียงพยายามสนับสนุนเต็มที่เพื่อให้เหมียวอี้ก้าวไปข้างหน้าต่อ

แน่นอน ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เขาไม่ทำผิดข้อห้ามของนาง เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน เหมียวอี้เจ้าจำทำซี้ซั้วไม่ได้!

เจ้าสำนักอวี้หลิงเดาว่าเหมียวอี้คงกำลังติดต่อกับอวิ๋นจือชิว จึงเฝ้ารออย่างอดทน

หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว เหมียวก็เก็บอี้ระฆังดาราเงียบๆ กลั่นกรองคำพูดเล็กน้อย แล้วกล่างอย่างไม่แน่ใจว่า “เจ้าสำนัก เรื่องนี้ข้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ ข้าไม่มีอะไรไม่พอใจ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้จะฝืนใจเป่าเหลียนไม่ได้ เป่าเหลียนจะตอบตกลงเหรอ?”

หยางเจาชิงทำสายตาล่อกแล่ก รู้ว่านายท่านตอบตกลงแล้ว

เจ้าสำนักอวี้หลิงโล่งอก เจาเองก็ไม่อยากทำให้วุ่นวายถึงขั้นนี้ แต่อวิ๋นจือชิวแอบบอกใบ้ทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆ กอปรกับเป่าเหลียนดื้อรั้นใส เต๋อหมิงบิดานางก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน เรื่องไหนที่แน่ใจแล้วก็จะไม่หันหลังกลับ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกเรื่องร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้นบีบก็คงไม่ยอมถอยแน่ ตกต่ำจนมีจุดจบเหมือนอย่างวันนี้ แม้แต่เจ้าสำนักอย่างเขาก็ช่วยพูดให้ไม่ได้ ทำได้เพียงให้เต๋อหมิงผิดหวังท้อใจอยู่ที่ไร่ศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ส่วนเป่าเหลียนก็เรียกได้ว่าได้นิสัยจากเต๋อหมิงบิดาของนางมาเต็มๆ

เขารู้ชัดเจนว่าในใจเป่าเหลียนคิดอย่างไร สำนักลมปราณไม่มีเรื่องบังคับผู้หญิงให้แต่งงาน แต่ตอนนี้ลากยาวมาจนอายุก็ไม่น้อยแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นหลานสาวของเขา เขาทำได้เพียงหน้าด้านมาที่นี่เพื่อเอ่ยปากเอง

“ในจุดนี้ผู้ตรวจการใหญ่วางใจได้ ถ้าเป่าเหลียนไม่ได้คิดอย่างนั้น ตาแก่คนนี้คงไม่เอ่ยปากเช่นกัน” เจ้าสำนักอวี้หลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เหมียวอี้ยังคงลังเล “เจ้าสำนัก มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ท่านต้องคิดให้ดี ท่านเองก็รู้ถึงฐานะข้าตอนนี้ ความเสี่ยงที่อยู่ในนั้นไม่ได้มีหน้ามีตาอย่างที่ท่านเห็นภายนอก ชั่วอึดใจเดียวสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปร้อนแปดพันเก้า วันนี้สูงส่ง พรุ่งนี้ก็อาจจะกลายเป็นนักโทษได้ ถ้าเป่าเหลียนแต่งงานกับข้าจริงๆ นางกับสำนักลมปราณก็อาจจะไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว”

เจ้าสำนักอวี้หลิงยิ้มเจื่อน “ขอพูดบางสิ่งที่อาจไม่ไพเราะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนายท่านจริงๆ ต่อให้เป่าเหลียนไม่ได้แต่งงานกับนายท่าน นายท่านคิดว่าสำนักลมปราณยังจะมีทางถอยด้วยเหรอ? หลังจากผ่านเรื่องครั้งก่อนมา ถ้าร้านค้าตกอยู่ในมือคนอื่น เกรงว่าเรื่องแรกที่อีกฝ่ายทำก็คือแยกอำนาจควบคุมที่สำนักลมปราณมีต่อร้านค้าไปทีละก้าว จากนั้นจุดจบของสำนักลมปราณจะเป็นอย่างไร แค่คิดก็รู้แล้ว” ความหมายที่จะสื่อก็คือ สำนักลมปราณถูกผูกมัดไว้กับเจ้าแล้ว

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ในเมื่อเข้าใจก็ดีแล้ว “มีบางเรื่องที่เจ้าสำนักอาจยังไม่เข้าใจชัดเจน คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัว ไม่รู้ว่าจะปะทุเมื่อไร ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าคงไม่สะดวกจะแต่งงานอย่างเปิดเผย คงต้องลำบากเป่าเหลียนไปก่อน ในภายหลังจะชดเชยให้ เจ้าสำนักพิจารณาดูหน่อยก็ได้ ถ้าท่านรับได้ ก็หาฤกษ์รับเป่าเหลียนได้เลย”

“เมื่อเทียบกับชีวิตแต่งงานของผู้หญิงแล้ว สิ่งนี้ล้วนเป็นเรื่องหยุมหยิม ความประพฤติของผู้ตรวจการใหญ่ข้าย่อมเข้าใจดี ในภายหลังไม่ปฏิบัติต่อเป่าเหลียนอย่างอยุติธรรมแน่นอน แบบนั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น” เจ้าสำนักอวี้หลิงพูดดักเอาไว้ก่อน และกำลังเตือนเหมียวอี้เช่นกัน ว่าขอเพียงเจ้าไม่ปฏิบัติต่อหลานสาวข้าอย่างอยุติธรรมก็พอ จากนั้นก็ยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ “หากผู้ตรวจการใหญ่ไม่มีขอเรียกร้องอย่างอื่นแล้ว ข้าก็ขอกลับไปเตรียมตัว จะให้เป่าเหลียนแต่งเข้าบ้านให้เร็วที่สุด”

“ก็ดี!” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนเป็นเพื่อนเขา อีกประเดี๋ยวแขกผู้มีเกียรติจะมาเยือนแล้ว เขาเองก็ไม่สะดวกจะรั้งอีกฝ่ายไว้ จึงเอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง “ไปส่งเจ้าสำนักแทนข้า”

หยางเจาชิงยื่นมือเชิญด้วยรอยยิ้มทันที “เจ้าสำนัก เชิญ!” ขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็ส่งสายตาให้เขา เขาพยักหน้าอย่างรู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะประกาศเรื่องแต่งงาน ยังต้องให้สำนักลมปราณปิดเป็นความลับ อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง นายท่านไม่สะดวกจะพูดอะไรแบบนี้ ทำได้เพียงให้เขาเอ่ยปากเอง ในตอนหลังเรื่องแต่งงานต้องมีเขาเป็นคนจัดการ

เมื่ออวี้หลิงออกไปได้หนึ่งชั่วยาม แขกผู้มีเกียรติของเหมียวอี้ก็มาเยือนแล้ว

ถ้าพูดถึงฐานะตำแหน่งของผู้ที่มา เขาควรจะออกไปต้อนรับข้างนอกเอง เพียงแต่ไม่อยากดึงดูดสายตาผู้คน ทำได้เพียงรออยู่ตรงประตูในเรือนด้านใน

กลุ่มคนจำนวนหนึ่งร้อยเหาะลงมาเหยียบตรงประตูจวนผู้สำเร็จราชการ ผู้ที่มาใส่หน้ากากทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าชายสองหญิงสองในนั้นได้รับความเคารพจากกลุ่ม

หลังจากเหยียบลงพื้นแล้ว ทหารอารักขาที่ติดตามมาก็เฝ้าระแวดระวังรอบด้าน สี่คนที่อยู่ข้างหน้ามองประเมินซ้ายขวา

หยางเจาชิงที่รออยู่ตรงประตูทำความเคารพ แล้วกล่าวเชิญ “เชิญด้านในขอรับ!”

สี่คนทยอยกันเข้าไปข้างใน เมื่อได้รับอนุญาตก็ไม่ต้องมีการตรวจสอบอีกแล้ว เพราะตอนอยู่ข้างนอกผ่านการตรวจมาแล้วสองชั้น ถ้าตรวจสอบแขกท่านนี้อีกก็แสดงถึงความไม่จริงใจ

เพียงแต่ผู้ติดตามกลับถูกกันไว้ข้างนอก ผู้ชายที่นำหน้ามาหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบ “นี่ไม่ใช่เวลาปกติ ทำตามกฎระเบียบของอีกฝ่ายเถอะ”

เขาเองก็เข้าใจชัดเจน แม้จะแอบซ่อนกำลังพลมาด้วย แต่มาถึงอาณาเขตของเหมียวอี้แล้ว ถ้าเหมียวอี้จะลงมือกับเขาจริงๆ เขาก็ยากที่จะรอดพ้น

บางครั้งก็เป็นเช่นนนี้ ไม่ว่าจะผู้บังคับบัญชาเชิญ หรือผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคนเชิญ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าอันตรายจริงๆ ก็ไม่ต้องไปเสียเลย หรือไม่ก็เตรียมแตกคอกันได้เลย

พอเขาเอ่ยปาก ผู้ติดตามก็เอ่ยรับคำสั่งแล้วถอยไป ไปรออยู่ด้านนอก

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างผู้ชายที่นำหน้ามาพูดเหน็บแนมว่า “ตำแหน่งก็ไม่ใหญ่ แต่วางมาดไม่ใช่น้อย”

หยางเจาชิงที่เดินนำทางอยู่ข้างๆ มองผู้หญิงคนนั้นแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก

ผู้ชายที่นำหน้ามากลับถ่ายทอดเสียงตะคอก “หุบปาก! แขกควรตามใจเจ้าบ้าน ไม่รู้จักมารยาทพื้นฐานเหรอ?”

ผู้หญิงคนนั้นเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไรแล้ว

คนกลุ่มนี้เดินเข้ามาในลานบ้านของเรือนด้านใน เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยคารวะจอมพลผัง ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับใกล้ๆ หวังว่าจอมพลผังจะไม่ถือสา!”

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน ผังก้วน จอมพลสายเถาะนั่นเอง

“ผู้ตรวจการใหญ่ทำตัวห่างเหินแล้ว สถานการณ์บีบบังคับ เข้าใจได้” ผังก้วนจ้องเหมียวอี้พร้อมยิ้มอ่อน ในใจแปลกใจมาก เจ้าหนุ่มนี่เชิญให้ตนลดเกียรติมาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่? เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะเชิญตนมาเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์ที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล สถานที่เส็งเคร็งที่ขาดความเจริญ มีอะไรน่าเที่ยว

แม้สภาพแวดล้อมของจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจะไม่ได้แย่ แต่มีสถานที่ดีๆ ที่ไหนที่ผังก้วนไม่เคยไปบ้าง ในสายตาเขา สถานที่เส็งเคร็งห่างไกลความเจริญแบบนี้จะมีอะไรดีเชียวหรือ?

เดิมทีผังก้วนไม่ได้อยากมา เพราะถ้าอยากจะมาหาตน เช่นนั้นก็มาที่จวนจอมพลสายเถาะก็ได้ ถึงอย่างไรฐานะของตนก็เหนือกว่าเหมียวอี้ มีอย่างที่ไหนกันที่ให้คนยศต่ำเรียกคนยศสูงไปนั่นมานี่ได้ ยังเห็นตนอยู่ในสายตาอยู่มั้ย กำเริบเสิบสานเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

ทว่าเหมียวอี้ไม่ได้เชิญเขาคนเดียว ทั้งยังตั้งใจบอกให้เขาพาฮูหยินจาหรูเยี่ยนกับผังเสี้ยวเสี้ยวลูกสาวคนเล็กของเขามาเที่ยวด้วย

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เหมียวอี้เอ่ยถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง ถามเขาว่ายังจำตอนที่ทั้งสองคุยกันนอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้มั้ย?

เมื่อได้ยินแบบนี้ ผังก้วนก็หัวใจเต้นแรง จึงลองตอบรับดู เป็นอย่างที่เหมียวอี้ขอมา เขามาฮูหยินจาหรูเยี่ยนกับผังเสี้ยวเสี้ยว ลูกสาวคนเล็กที่รักประดุจไข่มุกในฝ่ามือมาด้วยแล้ว

ส่วนในด้านความปลอดภัย เขาไม่กังวลเลยสักนิด ไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะกล้าแตะต้องเขา

ถ้ารู้ว่าเหมียวอี้เล่นงานเซี่ยโห้วลิ่งจนตาย ก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างนี้หรือเปล่า

เหมียวอี้เตือนว่า “ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้ถอยออกไปก่อน”

ดังนั้น พวกผังก้วนจึงทยอยกันถอดหน้ากาก จาหรูเยี่ยน ผังเสี้ยวเสี้ยว ทั้งยังมีเฉินหวยจิ่วที่เป็นพ่อบ้าน

จาหรูเยี่ยนคนนี้เหมียวอี้รู้จัก ในปีนั้นเคยเจอที่อุทยานหลวง เขากุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ผู้น้อยคารวะฮูหยิน”

จาหรูเยี่ยนไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเหมียวอี้ จาเหรินจวิ้นหลานชายแท้ๆ ของนางตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ถามหน่อยว่าจาหรูเยี่ยนจะไม่แค้นเหมียวอี้ได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้นางแค้นกว่านั้นก็คือ เหมียวอี้กลายเป็นเจ้าอาณาเขตที่มีอำนาจมากแล้ว นางรู้สึกว่าโลกนี้ช่างไร้เหตุผล แม้แต่คนต่ำต้อยอย่างนี้ก็สามารถเลื่อนขั้นพรวดพราดได้

ความแค้นต่อเหมียวอี้สามารถมองออกจากสายตานาง นางตอบอย่างเย็นชาว่า “ไม่ต้องมากพิธี”

ที่จริงนางไม่อยากมา ไม่อยากเห็นหน้าเหมียวอี้ แต่ผู้ชายของตัวเองขู่ไว้ จำเป็นต้องทำตาม

ผังก้วนขมวดคิ้วเล็กน้อง ชำเลืองเมียตัวเองแวบหนึ่ง พบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเลยสักนิด แค่ไว้หน้าสักหน่อยให้ผ่านๆ ไปก็ทำไม่ได้ แต่เขาก็แปลกใจเช่นกัน รู้อยู่แจ่มแจ้งว่ามีความแค้นกับเมียเขา แต่หนิวโหย่วเต๋อยังบอกให้เขาพาเมียมาด้วยอีกเหรอ?

ทุกคนล้วนมีความเจ้าอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็มีเวลาที่ต้องใจกว้างเช่นกัน เพียงแต่สำหรับคนที่คิดจะทำการใหญ่ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็ย่อมปล่อยวางได้ เหมียวอี้ยิ้มอ่อนๆ รู้อยู่แก่ใจแต่ไม่ถือสา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวผังเสี้ยวเสี้ยวที่สดใสเปล่งประกาย อ่อนหวานแช่มช้อยดุจดอกไม้ สวมชุดกระโปรงยาวทีเขียวแกมฟ้า บนเรือนร่างอรชรเผยความสุภาพเยือกเย็น ไม่ว่าไปยืนอยู่ตรงไหนก็มีท่วงท่างดงามโดยธรรมชาติ ราวกับดอกบัวหลังฝนตก มีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป รูปร่างหน้าตาได้รับจุดเด่นมาจากจาหรูเยี่ยน ไม่ด้อยไปกว่ากันแน่นอน

เหมียวอี้แอบชมในใจ ว่ากันว่าบุตรสาวคนเล็กของผังก้วนเป็นยอดหญิงงาม วันนี้ได้เห็นกับตาก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จึงชี้แล้วถามว่า “หรือว่านี่จะเป็นไข่มุกล้ำค่าในมือจอมพลผัง?”

เขาไม่เคยเจอผังเสี้ยวเสี้ยวมาก่อน ในปีนั้นตอนอยู่อุทยานหลวง ผังเสี้ยวเสี้ยวก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเลย

ที่จริงผังเสี้ยวเสี้ยวก็มองประเมินเหมียวอี้ด้วยความสงสัยมาตลอด นางได้ยินชื่อเสียงของเหมียวอี้มานานมากแล้ว เวลาลูกหลานขุนนางรวมตัวกันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงบุคคลนี้ แม้จะด่าไปหลายรอบ แม้จาหรูเยี่ยนจะด่าบ่อยๆ รู้ว่าบ้านตัวเองมีความแค้นต่อท่านนี้ แต่เรื่องที่เหมียวอี้พลิกสถานการณ์แล้วผงาดขึ้นมา ขั้นตอนเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกว่ายอดเยี่ยมกว่าบิดาตัวเองที่ไต่เต้าตำแหน่งสูงตามขั้นตอนปกติด้วยซ้ำ

ที่นางสงสัยใคร่รู้ที่สุดก็คือ ได้ยินว่าเหมียวอี้ยอมนำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ทำศึกเลือดเพื่ออวิ๋นจือชิว นางไม่คิดว่าคนที่ทิ้งลูกเมียเพื่ออำนาจความสำเร็จเป็นผู้ชายที่ดีอะไร แต่หนิวโหยว่เต๋อเป็นแม่ทัพที่เดือดดาลเพราะหญิงงาม ทำศึกสงครามเลือด สับเนื้อศัตรูเป็นพันชิ้นเพื่อคนรัก ทำให้นางมีใจใฝ่หา นางรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เป็นวีรบุรุษที่แท้จริง

ที่จริงนางก็อยากจะเห็นมาตลอดว่าหนิวโหย่วเต๋อที่เขาร่ำลือกันหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่จนใจที่ไม่เคยมีโอกาส พอได้ยินว่าบิดาจะพานางมาจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล นางก็ตอบตกลงด้วยความยินดี

ได้ยินมาตลอดว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาดุร้ายน่ากลัว อีกทั้งชื่อก็ฟังดูบ้านนอก ตอนนี้พอได้เห็นแล้วถึงรู้ว่าคำพูดพวกนั้นล้วนเป็นข่าวลือเสียหาย เพราะท่านที่อยู่ตรงหน้าองอาจผึ่งผาย กระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา บุคลิกสง่างาม ยามเผชิญหน้ากับบิดาตนก็ดูไม่ถ่อมตัวเกินไป มีสง่าราศีไปอีกแบบ ดูดีกว่าพวกผู้ชายเจ้าสำอางค์ไม่รู้ตั้งกี่เท่า แย่อย่างที่คนเขาพูดถึงเสียที่ไหนกัน

………