มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1203

ผลการฝึกตนอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูงเหมือนกัน แต่ร่างแยกดับเบิ้ลที่รวมเป็นหนึ่งของหลัวซิวกลับแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ ซึ่งเขาไม่มีการตระหนักรู้ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 ถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 แต่อย่างใด

การเก็บสะสมพลังความสามารถในรากฐานก็อ่อนกว่าเทียนหวูเชวมาก ๆ

แต่ทว่าความแข็งแกร่งของหลัวซิวอยู่ในด้านวิชาพลังอมตะ ถึงแม้วิชาที่เทียนหวูเชวฝึกจะเป็นวิชาชั้นยอดที่ถ่ายทอดสืบสานต่อกันมาของสำนักไร้เจตสิก เมื่อมองในมุมโลกเสวียนเทียน มันต้องเป็นวิชาที่ระดับสูงที่สุดอยู่แล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการถ่ายทอดสืบสานที่หลัวซิวได้รับแล้ว มันกลับแตกต่างกันมาก ๆ

ระหว่างทั้งสองมีทั้งด้านที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ เทียนหวูเชวก็เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งจริง ๆ แทบจะทำให้หลัวซิวดึงกำลังรบทั้งหมดออกมาถึงจะสามารถกดอัดเขาได้

“ข้ายอมรับว่าข้าดูถูกเจ้ามากเกินไป แต่เกมดำเนินการมาจนถึงบัดนี้ และมันก็ควรจะจบได้แล้ว!”

เทียนหวูเชวยื่นมือออกมาแล้วโบกทีหนึ่ง กระบี่เทวมังกรเขียวบินกลับมา ร่วงลงบนมือข้างขวาของเขา

กระจกเทพไร้เจตสิกลอยอยู่ตรงกลางหว่างคิ้ว เตรียมป้องกันเคล็ดวิชาแปรจิตเทพของหลัวซิว โล่เต่าเสวียนลอยวนอยู่รอบ ๆ เตรียมต้านทานการโจมตีจากทุกตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา

“ฟึ่บ!”

เงาร่างของหลัวซิวหาบไปอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเทียนหวูเชว กระจกเทพไร้เจตสิกสาดส่องลำแสงออกมา กระบี่ยุทธ์มังกรเขียวฟาดฟันมา

“กฎปริภูมิ!”

ผู้ชมที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างส่งเสียงตกใจ ก่อนหน้านี้พลังที่เทียนหวูเชวใช้ล้วนเป็นพลังแห่งกฎธรรมดาทั่วไป แต่ตอนนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขาใช้กฎชั้นยอด

การตระหนักรู้ในกฎชั้นยอดนั้นเป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก ๆ ผู้คนในโลกต่างรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของมัน แต่กลับมีน้อยคนมากที่ฝึกมัน

ฉึก!

ลำแสงจากกระจกเทพไร้เจตสิกตัดเฉือนอากาศที่ว่างเปล่าจนฉีกออก ยิ่งทะลุศีรษะของหลัวซิว ถัดจากนั้นกระบี่เทวมังกรเขียวก็เฉือนผ่านเอวหลัวซิวไป

“ตายแล้วหรือ?”

มีความดีใจปรากฏบนใบหน้าเทียนหวูเชว แต่ทว่าภายในชั่วพริบตาเดียวจิตใจเขาก็ตึงเครียดขึ้นมา สัมผัสได้ถึงจิตที่จะฆ่าอันน่าสยดสยองส่งตรงมาจากด้านหลัง

ในขณะที่เขากำลังจะโคจรกฎปริภูมิเพื่อหลบหลีกอย่างรวดเร็วอยู่นั้น จู่ ๆ เขากลับรู้สึกว่าอากาศบริเวณรอบ ๆ หยุดนิ่งไปแล้วยังไงอย่างนั้น ไม่สามารถเรียกใช้พลังแห่งกฎปริภูมิได้

วินาทีต่อไป เทียนหวูเชวก็สัมผัสได้ว่ามีเงามืดกำลังแผ่คลุมลงมาครอบศีรษะเขา

“เวิง!”

บนแท่นประลองความเป็นความตาย มีเตาเทพหนึ่งเตากำลังหมุนติ้วอยู่กลางฝ่ามือหลัวซิว ภายในเตาเทพมีอัคคีเทพลุกโชน ห่อหุ้มเทียนหวูเชวที่อยู่ด้านในไว้อย่างแน่นหนา จะกลั่นแปรร่างเขาให้กลายเป็นฝุ่นผง

ด้านล่างแท่นประลอง สีหน้าของทุกคนดูซับซ้อนมาก ๆ เทียนหวูเชวเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในวัยรุ่นยุคใหม่ของโลกเสวียนเทียน เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ที่ไร้การโต้แย้ง แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรคนหนึ่ง

“เหมือนพลังที่เขาเพิ่งใช้ในเมื่อกี้นี้ก็เป็นกฎปริภูมิเช่นกัน!”

“ถูกต้อง หลัวซิวผู้นี้ก็เป็นผู้อัจฉริยะที่สวรรค์ประทานเช่นกัน แดนกฎปริภูมิของเขาอยู่สูงกว่าเทียนหวูเชวเสียอีก!”

ผู้คนต่างรู้สึกอึ้งทึ่งอย่างมาก ราวกับมองเห็นดวงดาวอัจฉริยะที่แวววาวจับตามากกว่าเทียนหวูเชวกำลังค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาจากขอบฟ้า

“สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินมีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถจำนวนมากจริง ๆ เริ่มด้วยการบังเกิดของเฟิ่งหวูซิน บัดนี้ก็มีหลัวซิวตามมาอีกคนหนึ่ง!”

เสียงที่หนาทุ้มดังก้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักไร้เจตสิกนำสายตาจับจ้องไปทางหลัวซิวที่ยืนอยู่บนแท่นประลอง

“เจ้าหนุ่ม ในเมื่อเจ้าชนะแล้ว ก็ปล่อยตัวเทียนหวูเชวออกมาซะ”

น้ำเสียงของผู้อาวุโสคนดังกล่าวฟังดูไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษาหารือเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามมันกลับเหมือนเป็นคำสั่งที่สั่งให้หลัวซิวปล่อยตัวเทียนหวูเชวออกมามากกว่า

“ในเมื่อเป็นศึกการต่อสู้ที่เอาเป็นเอาตาย จึงต้องฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ตายก่อนถึงจะหยุดลงได้ เทียนหวูเชวยังไม่ตาย ข้าจึงปล่อยตัวมันออกมาไม่ได้อยู่แล้ว”หลัวซิวไม่ไว้หน้าฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าหนุ่ม การเป็นมนุษย์ต้องรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร โลกนี้ไม่เคยขาดอัจฉริยะที่พรสวรรค์ดีเลิศ แต่อัจฉริยะที่มีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้กลับมีไม่มากนัก”

ผู้อาวุโสในสำนักไร้เจตสิกขมวดคิ้วลง ภายในน้ำเสียงมีความข่มขู่แฝงซ่อนอยู่เล็กน้อย