มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1204

ในกลุ่มคนที่กำลังรับชมการต่อสู้ มีคนจำตัวตนของผู้อาวุโสคนนี้ได้แล้ว พบว่าเขาคือผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งในสำนักไร้เจตสิก ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตระดับเทพฟ้า

หลัวซิวกลับไม่เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ยิ้มพลางพูด: “ผู้อาวุโสพูดถูก มีคนบางคนนึกว่าตนเองกระทำถูกต้องอย่างแน่แท้ แต่ไม่รู้ว่าเหนือฟ้ามีฟ้า เหนือเมฆยังมีเมฆ เพราะฉะนั้นจึงถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องตาย”

ในขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็จงใจแกว่งเตาเทพที่อยู่ในมือไปมา ความหมายที่เขาจะสื่อไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้แล้ว

“เจ้าหนุ่ม เจ้าทำเกินไปแล้วนะ ถึงแม้เฟิ่งหวูซินจะอยู่ที่นี่ด้วย มันก็ไม่กล้าทำตัวสาวหาวเช่นนี้!”

ในที่สุดผู้อาวุโสก็ระงับอารมณ์ต่อไปไม่ไหว เนื่องจากหากเสียเวลาอยู่แบบนี้ต่อไปนาน ๆ เทียนหวูเชวอาจจะถูกกลั่นแปรอยู่ในเตาเทพนั้นได้จริง ๆ

ผู้อาวุโสคนนี้ไม่ได้กระทำอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีมือใหญ่สีทองปรากฏการณ์อากาศ ก่อนที่มันจะพุ่งลงมาจับตัวหลัวซิวที่ยืนอยู่บนแท่นประลอง

ค่ายเทพต้องห้ามที่วางอยู่บริเวณรอบ ๆ แท่นประลองถูกมือใหญ่สีทองนี้ฉีกออก มือใหญ่นี้มีพลังออร่าที่เฉียบคมถึงขั้นสุดแฝงซ่อนอยู่ เห็นได้เลยว่าผู้อาวุโสคนนี้ก็เป็นเทพฟ้าคนหนึ่งที่ฝึกกฎธาตุทองดั้งเดิมเช่นกัน

“ฉึก!”

แต่เวลานี้เอง กลับมีแสงเทวห้าสีปรากฏ แสงเทวกลายเป็นกระบี่ที่เฉียบคมเล่มหนึ่ง เฉือนลงกลางอากาศ ทำให้มือใหญ่สีทองนั่นแตกขาด ดับสูญหายไปในกลางอากาศ

“ผู้ใดบังอาจขัดขืนกฎสถานประลองยุทธ์ของข้า?”

จู่ ๆ ก็มีเสียงอันน่าเกรงขามดังก้องไปทั่วทั้งสถานประลองยุทธ์ เสี้ยววินาทีที่คนจำนวนมากบนสนามได้ยินเสียงดังกล่าว ต่างก็ตกใจกลัวความน่าเกรงขามที่แฝงซ่อนอยู่ภายในน้ำเสียงนี้ อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าหมอบคลานลงไปกับพื้นด้วยความศรัทธาที่แรงกล้า

“ค่ายเทพต้องห้ามบนแท่นประลองความเป็นความตายของสถานประลองยุทธ์ มีเพียงเทพฟ้าเท่านั้นถึงจะทำลายมันได้ ไม่ทราบว่าผู้เพื่อนใดเป็นผู้ทำลายกฎเกณฑ์ในเมืองแก้วเทวของข้า?”

แสงเทวทั้งห้าที่กลายมาจากกระบี่เทวปรวนแปรอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะกลายเป็นชายที่อยู่ในเสื้อคลุมยาวห้าสี หน้าผากค่อนข้างกว้างคนหนึ่ง เขากวาดตามองดูผู้คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ตัวผู้อาวุโสไท่ซ่างคนนั้นในสำนักไร้เจตสิก

“ไอ้แก่ มึงบังอาจทำลายกฏสถานประลองยุทธ์ของกูอย่างนั้นหรือ?”ชายชุดคลุมยาวห้าสีซักถามด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยือก

“ใช่เจ้านภาตงฟางหรือไม่?”ผู้อาวุโสไท่ซ่างในสำนักไร้เจตสิกไม่กล้าเฉยเมย เขาจึงลองถามทดสอบหยั่งเชิงคำหนึ่ง

“กูถามมึงก่อน เหตุใดมึงถึงย้อนกู?”คำพูดของชายชุดคลุมยาวห้าสีทำให้ผู้คนต่างตะลึง

หลัวซิวยืนยืดอกอยู่บนแท่นประลอง เมื่อเห็นการปรากฏตัวของชายชุดคลุมยาวห้าสีคนนี้ เขาก็พอจะคาดคะเนตัวตนและความเป็นมาของเขาได้แล้ว

เรียกเทพฟ้าว่าผู้เพื่อน คนดังกล่าวก็ต้องเป็นเทพฟ้าคนหนึ่งแน่นอน และภายในเมืองแก้วเทวนี้ มีเทพฟ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือเจ้าเมืองตงฟาง การมีอยู่ของเขาเหมือนดั่งผู้แข็งแกร่งระดับเจ้านภา

แต่ทว่านิสัยของเจ้านภาตงฟางคนนี้เป็นคนที่ไม่ค่อยมีเหตุผล ให้ความรู้สึกคนอื่นเหมือนเขาไม่ใช่ผู้อาวุโสที่มีบารมีสูงส่งเป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่ชนเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเขากลับเหมือนอันธพาลในท้องถิ่นเสียมากกว่า

ผู้อาวุโสไท่ซ่างในสำนักไร้เจตสิกเหงื่อแตกท่วมตัว พลางอธิบาย: “ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาจะทำลายกฎเกณฑ์ของสถานประลองยุทธ์ แต่เป็นเพราะ…..”

เขาอยากอธิบาย แต่ทว่ายังไม่ทันอธิบายจบ ก็ถูกเจ้าเมืองตงฟางปัดมือตัดบทพูดไปเสียก่อน“กูถามแค่ว่ามึงเป็นคนทำลายกฎของสถานประลองยุทธ์หรือไม่ คำอธิบายอื่น ๆ กูไม่อยากฟัง”

“ในเมื่อมึงยอมรับแล้วว่ามึงเป็นคนทำลายกฎของสถานประลองยุทธ์ เช่นนั้นก็ต้องรับบทลงโทษจากเจ้าเมืองอย่างข้า”

เจ้าเมืองตงฟางคนนี้เจ้าเผด็จการมาก อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำตามทางของตนไม่สนว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไร ง้างมือขึ้นมาแล้วฟาดลงไปที่ผู้อาวุโสไท่ซ่างในสำนักไร้เจตสิกคนนั้น

หลัวซิวไม่มีทางปล่อยให้โอกาสดี ๆ เช่นนี้หลุดมือไปอยู่แล้ว กระตุ้นผลการฝึกตนอย่างสุดความสามารถ จะกลั่นแปรเทียนหวูเชวที่อยู่ในเตาเทพให้ตาย

“ข้านั้นคือผู้อาวุโสไท่ซ่างในสำนักไร้เจตสิก!”

ชายชรานั่นก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าเจ้าเมืองตงฟางจะลงมือโดยตรง เขาจึงรีบโคจรผลการฝึกตนคิดจะโต้กลับ มีแสงสีทองแวววาวอยู่ทั่วทั้งร่าง ราวกับพระอาทิตย์สีทองดวงหนึ่งยังไงอย่างนั้น

แต่ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับเจ้านภาอย่างเจ้าเมืองตงฟางแล้ว อุบายทั้งหมดของเขาก็ยับเยินไปในสัมผัสเดียวของเจ้าเมืองตงฟาง ร่างกายถูกพลังฝ่ามือโจมตีจนกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับประตูใหญ่ของสถานประลองยุทธ์จนพังเสียหาย มิอาจทราบได้เช่นกันว่าร่างเขากระเด็นออกไปไกลเท่าไหร่