ตอนที่ 2596

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,596 : ประเทศอมตะ

 

“ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ!?”

 

แม่ทัพของกองทัพมังกรดำอย่างเจี่ยนชิวผิง พอได้ยินต้วนหลิงเทียนบอกว่าโลกใบเล็กที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาทางตอนอันเป็นสถานที่ต้องห้ามของเมืองเฉวี่ยโยวนั้น ได้ถูกสร้างไว้โดยราชาอมตะมันก็อดอึ้งไปไม่ได้!

 

สำหรับมัน

 

ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะเป็นดั่งตัวตนที่สูงส่งเกินเอื้อม ดำรงอยู่ก็แต่ในตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น…

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเมืองเฉวี่ยโยวที่เป็นเมืองในประเทศอมตะขนาดกลางเลย กระทั่งให้เป็นในประเทศอมตะที่เหนือกว่านี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีตัวตนระดับราชาอมตะดำรงอยู่!

 

“ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ…”

 

ผู้บัญชาการทัพเองก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้าลึกๆ

 

ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะนั้นไหนเลยจะมาปรากฏในประเทศอมตะระดับกลางได้ กระทั่งประเทศอมตะระดับสูงยังไม่มีให้เห็นด้วยซ้ำ!

 

เช่นนั้นแล้วประเทศที่มีนิกายอันเพาะสร้างตัวตนขอบเขตราชาอมตะออกมาได้ จะน่ากลัวถึงเพียงใด?

 

“ท่านผู้บัญชาการ…ท่าทางท่านเหมือนจะรู้จักนิกายสราญรมย์ เช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ว่านิกายใดที่มียอดสมบัติสวรรค์ประจำนิกายอย่างไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองจ้องผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำ เฉินเฉวียนป้า ด้วยสายตาเร่าร้อน คาดหวังว่าจะได้รับทราบข้อมูลนิกายที่มี ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา เป็นอาวุธคู่นิกาย

 

หากไม่ใช่เพราะเขาอยากรู้เรื่องนี้ เขาคงไม่บอกเฉินเฉวียนป้าแต่แรกว่าเขาได้ป้ายแม่ทัพมาจากด้านในโลกใบเล็ก

 

เพราะก่อนที่จะตัดสินใจบอกว่าได้ป้ายมาจากด้านในโลกใบเล็กนั้น เขารู้ดี…

 

ไม่พูดถึงเรื่องโลกใบเล็กก็แล้วไป ทุกเรื่องราวจะไม่มีอะไรวุ่นวาย!

 

แต่ถ้าพูดถึงขึ้นมา…ทุกอย่างก็กลายเป็นซับซ้อนขึ้นทันที!!

 

เพราะสุดท้ายแล้วโลกใบเล็กนั่นก็ดำรงอยู่มานับพันๆปี และเป็นถึงสถานที่ต้องห้ามของเมืองเฉวี่ยโยว ตลอดเนิ่นนานที่ผ่านมาไร้ซึ่งข่าวว่ามีผู้ใดเข้าไปแล้วสามารถกลับออกมาได้สักคน…!

 

แต่ตอนนี้เขากลับเปิดเผยว่าตัวเองกลับออกมาจากโลกใบเล็กทั้งยังมีชีวิต เช่นนั้นผู้ที่รู้ดีว่าโลกใบเล็กน่ากลัวเพียงไหน ไม่พ้นต้องตกใจครั้งใหญ่และซักถึงต้นตอ ถามจี้จนถึงที่สุดแน่นอน!

 

อย่างไรก็ตามแม้จะรู้ว่าหากเอ่ยถึงโลกใบเล็กแล้วเรื่องราวอาจกลายเป็นซับซ้อนยุ่งยาก แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงพูดถึงมัน

 

นั่นเพราะหากเขาอยากรู้ว่าไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกาเป็นยอดสมบัติสวรรค์ประจำนิกายใด เขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องนี้…ทั้งหมดเพื่อให้ได้รู้ถึงความเป็นมาของมู่หรงปิง!

 

นั่นคือจุดประสงค์ของเขา

 

“ข้าเพียงแต่เคยได้ยินเรื่องนิกายสราญรมย์มาเท่านั้น และรู้มาโดยบังเอิญว่านิกายสราญรมย์มาจากประเทศอมตะที่ทรงพลังเหนือกว่าประเทศอมตะระดับสูง…ส่วนเรื่องนิกายใดมียอดสมบัติสวรรค์ประจำนิกายที่เรียกว่า ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกานั่น ข้าไม่รู้เลย แถมข้าไม่เคยได้ยินชื่อมันมาก่อนด้วยซ้ำ”

 

เฉินเฉวียนป้ากล่าวพลางส่ายหัวไปมา

 

ได้ยินคำตอบของเฉินเฉวียนป้า ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวัง

 

เพราะสุดท้ายแล้วที่เขาพูดออกไปมากมาย ทั้งหมดเพื่อหาข้อมูลจากเฉินเฉวียนป้า ว่าไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกาเป็นยอดสมบัติสวรรค์ประจำนิกายใด จะได้รู้ความเป็นมาของมู่หรงปิง

 

แต่ไม่คิดเลยว่าเฉินเฉวียนป้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…

 

สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมใจต้วนหลิงเทียนได้ ก็คือ…ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลย!

 

เพราะอย่างน้อยๆเขาก็ได้รับทราบจากเฉินเฉวียนป้าว่า นิกายสราญรมย์นั่น…เป็นนิกายของประเทศอมตะที่อยู่เหนือระดับสูง!

 

‘ข้าได้รู้จากเสี่ยวเอ้อมาแล้ว…ว่าเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้ก็เป็นแค่เมืองของมณฑลจิ่วโยว ที่อยู่ในประเทศอมตะระดับกลางเท่านั้น…ยังมีประเทศระดับสูงที่ทรงพลังกว่านี้อีก’

 

‘แต่นิกายสราญรมย์กลับอยู่ในประเทศที่เหนือกว่าประเทศระดับสูงอีกที…’

 

‘เช่นนั้นหมายความว่า…นิกายของมู่หรงปิงเองก็สมควรอยู่ในประเทศที่เหนือกว่านั่นด้วย’

 

พอต้วนหลิงเทียนคิดถึงเรื่องนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาไปทำนองว่า นิกายของมู่หริงปิงสมควรอยู่ในประเทศที่เหนือกว่าประเทศระดับสูงด้วย…

 

เพราะก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนได้ทราบจากเสี่ยวเอ้อมาว่า

 

ประเทศที่เขาอยู่ตอนนี้มันแค่ประเทศอมตะระดับกลางเท่านั้น

 

และประเทศอมตะนั้นโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็นระดับล่าง ระดับกลางและระดับสูง ซึ่งแต่ละประเทศแยกตัวเป็นอิสระไม่ได้ข้องเกี่ยวกัน

 

เพียงแค่ระดับของประเทศอมตะสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะบ่งบอกถึงสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะ และความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ทรัพยากรมากขึ้นเท่านั้น

 

แน่นอนว่าในประเทศอมตะระดับที่สูงกว่า ก็ย่อมมีขุมพลังที่ทรงพลังเหนือกว่าประเทศอมตะที่อ่อนด้อยกว่า

 

“เจ้าได้เข้าไปยังโลกใบเล็กแห่งนั้น และบังเอิญพบพานยอดฝีมือดังกล่าวจนช่วยเหลือเจ้าออกมาได้…นับว่าเจ้าเป็นคนที่โชคดีอย่างยิ่ง”

 

ครู่ต่อมาเฉินเฉวียนป้าก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเป็นมัน

 

“อันที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจว่าใช่ยอดฝีมือผู้นั้นช่วยข้าออกมาจากโลกใบเล็กหรือไม่…ข้าพึ่งพลัดหลงเข้าไปในโลกใบเล็กจนเจอป้ายแม่ทัพข้างศพที่เหลือเพียงครึ่งล่างได้ไม่ทันไร รวมถึงได้ยินเสียงยอดฝีมือผู้นั้นสบถไม่กี่คำ ข้าก็สิ้นสติไปทันที…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้ก็มองไปยังป้ายแม่ทัพในมือเฉินเฉวียนป้า “พอข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็พบว่าตัวเองมาปรากฏตัวอยู่ด้านนอกแล้ว”

 

“นอกจากนั้นสถานที่ๆข้าปรากฏตัวก็คือหุบเขาที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความผันผวนเชิงพื้นที่และทางเข้าโลกใบเล็ก…อย่างไรก็ตามพอข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็พบว่าทางเข้าโลกใบเล็กได้หายไป แถมพื้นที่โดยรอบก็กลับมาสงบไม่ปั่นป่วนอีก”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ

 

ทางเข้าโลกใบเล็กหายไปแล้ว?

 

หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเล่ามา เฉินเฉวียนป้ายังเต็มไปด้วยความสงสัยในใจล่ะก็…

 

พอได้ฟังเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเล่าเมื่อครู่ มันก็เลิกสงสัยอีกต่อไป

 

เพราะสุดท้ายแล้วโลกใบเล็กนั่นก็ดำรอยู่มานับพันๆปี และทางเข้ารวมถึงความผันผวนเชิงพื้นที่รอบทางเข้าก็ปรากฏให้เห็นชัด หากอยู่ๆมันหายไป ย่อมหมายความว่าต้องเกิดเรื่องไม่ธรรมดาขึ้นแน่นอน…

 

และเห็นได้ชัดว่า เรื่องไม่ธรรมดานั่น…ไม่ใช่อะไรที่ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าจะมีปัญญากระทำได้เลย

 

ส่วนเรื่องที่ทางเข้าโลกใบเล็กและความแปรปรวนโดยรอบของมิตินั่นหายไปแล้วจริงไหม มันไม่กลัวว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าจะปั้นเรื่องหลอกมันแม้แต่น้อย

 

เพราะไม่ว่ามันจะไปเองหรือส่งคนไปตรวจสอบ ทุกอย่างก็สามารถยืนยันได้ในเวลาอันสั้น

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวว่าทางเข้าโลกใบเล็กหายไป ด้วยเห็นมากับตายังไม่จริงได้หรือ?!

 

“เช่นนั้น…ฟังจากทั้งหมดที่เจ้าพูดมา เจ้าได้รับป้ายแม่ทัพนั่นมาเพราะโชค?”

 

เฉินเฉวียนป้ากล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาขณะโยนป้ายในมือราวกับชั่งน้ำหนัก

 

“จะว่าแบบนั้นก็ได้”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับโดยไม่ปฏิเสธ

 

ฟุ่บ!

 

และแทบจะพอดีกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ ก็มีเสียงแหวกอากาศฉับไวดังจี้มาทางต้วนหลิงเทียน

 

เป็นเฉินเฉวียนป้าที่สะบัดมือส่งป้าประจำตัวป้ายใหม่มาให้ต้วนหลิงเทียนอย่างกะทันหันไม่ทันให้ต้วนหลิงเทียนตั้งตัว ผิวเผินคล้ายคิดมอบป้ายให้ต้วนหลิงเทียนเท่านั้น แต่ที่จริงกลับมีเจตนาอื่นแอบแฝง!

 

เจตนาแอบแฝงที่ว่ายังเผยให้เห็นกันโต้งๆ! เพราะตัวป้ายมันมีพลังงานฉาบคลุมส่องสว่างปานอุกกาบาต!!

 

เผชิญหน้ากับป้ายแม่ทัพที่ควบแน่นไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของฉินเฉวียนป้า พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดต้วนหลิงเทียนโคจรไหลผ่านชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายทันที และพลังอำนาจของชีพจรสวรรค์ก็เพิ่มพูนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดให้เขาถึง 2 ขีดขั้น!

 

ถึงจะไม่ได้ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน แต่อาศัยพลังของชีพจรก็เสริมพลังให้เขาเหมือนตอนที่ใช้ปฐมเวทญ์กลืนกิน!

 

และกว่าที่ชีพจรสวรรค์เขาจะทำเช่นนี้ได้ มันก็ต้องผ่านการขัดเกลาในสระกำเนิดเซียนอมตะนับร้อยนับพันครั้ง!

 

วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!

 

 

เมื่อพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดปะทุขึ้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียน ก็เผยกลิ่นอายบ่งบอกระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกทันทีว่าอยู่ในขอบเขต เซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง!

 

ทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน อันเป็นเวทย์พลังสนับสนุนของเขา หาไม่แล้วระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ปะทุออกคงเพิ่มพูนขึ้นอีก 2 ระดับ!

 

แต่สาเหตุที่เขาไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ก็เพราะมันไม่จำเป็น

 

ปงง!!

 

มือขวาที่ควบผนึกพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียน รับป้ายแม่ทัพที่ซัดมาเอาไว้แข็งขัน วินาทีที่สัมผัสต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลขุมหนึ่งที่กระแทกเข้ามือขวาเขาอย่างแรง จนทำให้มือเขาถึงกับชาไปอยู่บ้าง!

 

เท้ายังก้าวถอยหลังออกไปไม่กี่ก้าว เพื่อสลายแรงในป้าย

 

“เซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง!?”

 

เฉินเฉวียนป้าเลิกคิ้วขึ้น ด้วยการลงมือของต้วนหลิงเทียนขณะรับป้ายแม่ทัพที่มันซัดออกไป มันก็แลเห็นได้ทันทีว่าพลังที่ปะทุออกมาลุกโชนทั่วร่างต้วนหลิงเทียนนั้น แผ่กลิ่นอายพลังขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วงออกมา

 

ดังนั้นมันจึงสรุปได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนก็คือเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง!

 

เซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง?“

 

แม้เสียงของเฉินเฉวียนป้าจะไม่ได้ดังอะไร แต่เจี่ยนชิวผิงที่ยืนข้างๆก็ได้ยินชัดเจน

 

“ที่แท้…มันก็แค่เซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง!”

 

ทันใดนั้น เจี่ยนชิวผิงที่หันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาก็แปรเปลี่ยนเป็นความดูแคลนหยันหยามถึงขีดสุด

 

ขณะเดียวกันความกังวลที่สุมอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ก็มลายหายไปหมดสิ้นทันที

 

เพราะก่อนหน้านี้ในกองทัพมังกรดำ มีไป่ฟูฉางที่ทะลวงถึงจินเซียนตะวันแดงไล่เลี่ยกัน 3 คน! ตัวมันในฐานะแม่ทัพที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุด ย่อมตระหนักได้ถึงวิกฤตอันใหญ่หลวง!

 

ไป่ฟูฉาง 2 คนนั่นยังดี เพราะถึงแม้จะทะลวงถึงขอบเขตจินเซียนตะวันแดง แต่พลังฝีมือโดยรวมของทั้งคู่ก็ยังอ่อนด้อยกว่ามัน

 

มีเพียงไป่ฟูฉางที่อยู่ใต้บังคับบัญชามันเท่านั้น ที่ถึงแม้จะพึ่งทะลวงมายังขอบเขตจินเซียนตะวันแดงได้ไม่ทันไร แต่กลับมีพลังฝีมือทัดเทียมกับมัน ทำให้มันไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่…

 

และนี่คือเรื่องราวก่อนที่อีกฝ่ายจะปิดด่านเพื่อปรับพลัง!

 

หลังอีกฝ่ายออกจากการปิดด่าน พลังฝีมือต้องเหนือมันไปแล้วแน่นอน!

 

ด้วยความที่ในใจมันรู้ดีว่าทันทีที่ไป่ฟูฉางผู้นั้นออกจากการปิดด่าน ตำแหน่งแม่ทัพนี้ของมันก็ยากรักษา มันจึงกังวลไม่อาจปล่อยวาง แต่ละวันผ่านพ้นไปด้วยความกลัว…

 

จนพอมันได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนที่กำลังจะกลายเป็นแม่ทัพคนใหม่ของกองทัพมังกรดำ เป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง มันก็โล่งใจอย่างถึงขีดสุด

 

เพราะหากเป็นแบบนี้ ตำแหน่งแม่ทัพของมันก็ไม่สั่นคลอนแล้ว!

 

‘เซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วงแต่กล้าฝันสูงอยากนั่งตำแหน่งแม่ทัพของกองทัพมังกรดำข้า…เหลวไหลสิ้นดี!’

 

เจี่ยนชิวผิงหัวเราะในใจอย่างเริงร่า

 

“ข้าจักรักษาสัญญาที่ประกาศไว้”

 

ตอนนี้เองเฉินเฉวียนป้า มองไปทางต้วนหลิงเทียนกล่าวว่า “ข้าจะออกประกาศแต่งตั้งเจ้าให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพคนใหม่แห่งกองทัพมังกรดำอย่างเป็นทางการ…แต่หลังจากที่ข้ามอบตำแหน่งให้แล้ว เจ้าจะสามารถรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้หรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับพลังสามารถของตัวเจ้าเอง”

 

“แน่นอนว่าหากให้พูดกันตามตรง…อาศัยระดับพลังฝึกปรือของเจ้าตอนนี้ เกรงว่าคงยากจะนั่งเก้าอี้ไม่ทัพได้อย่างมั่นคง…”

 

“อย่างไรก็ตามแม้ตำแหน่งแม่ทัพของเจ้ายากจะนั่งให้มั่นคง ทว่าเจ้าสามารถอยู่ในตำแหน่งไป่ฟูฉางได้อย่างไม่ต้องกังวลไปพักใหญ่…และยามใดที่เจ้าบรรลุถึงขอบเขตจินเซียนตะวันแดง ค่อยคิดเรื่องนั่งในตำแหน่งแม่ทัพก็ไม่สาย”

 

เฉินเฉวียนป้ากล่าวออกรอบนี้ เพียงเพื่อกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนเอาไว้ให้เตรียมตัวเตรียมใจ

 

“ว่าแต่ เจ้าเรียกว่าอะไรหรือ?”

 

เฉินเฉวียนป้ามองถามต้วนหลิงเทียน

 

“ต้วนหลิงเทียน”

 

เผชิญหน้ากับความน่าเกรงขามในฐานะผู้บัญชาการของเฉินเฉวียนป้า แต่ต้นจนจบทีท่าต้วนหลิงเทียนยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน กล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงท่าทางไม่นอบน้อมไม่ถือดี…