บทที่ 2022 มีโอกาสชนะไม่มาก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“สถานที่บ้านนอกแบบนี้ มองไปมองมาก็เท่านี้เอง มีอะไรน่าดู”

จู่ๆ จาหรูเยี่ยนก็พูดแบบนี้ เหมือนไม่สนใจจะเดินเล่นต่อแล้ว หันตัวเดินไปทางศาลาแล้ว

เฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างๆ ทำสีหน้าไม่ถูก โชคดีที่ทั้งสองมีพื้นเพมาจากสถานบันเทิง คำพูดแย่ๆ อะไรก็เคยฟังมาหมดแล้ว สีหน้ากลับมาเปป็นปกติอย่างรวดเร็ว แค่ทำเป็นไปไม่ได้ยินอะไร

ผังเสี้ยวเสี้ยวกลับอึดอัดทำตัวไม่ถูก ตระกูลใหญ่ให้ความสำคัญกับมารยาท นึกไม่ถึงว่ามารดาจะเสียมารยาทขนาดนี้

พอเข้ามานั่งลงในศาลา จาหรูเยี่ยนก็ชำเลืองมองสองสาว “ได้ยินว่าพวกเจ้าสองคนมีพื้นเพมาจากคนเต้นกินรำกินที่หอนางโลม ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้จริงหรือเปล่า?”

ในดวงตาเฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงฉายแววอับอาย นี่คือจุดอ่อนของทั้งสอง ปกติไม่เคยมีใครเอ่ยขึ้นต่อหน้า วันนี้นับว่าโดนคนสะกิดปมด้อยแล้ว

ผังเสี้ยวเสี้ยวก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน รีบยื่นมือไปดึงเสื้อมารดาเงียบๆ

จาหรูเยี่ยนย่อมเข้าใจว่าลูกสาวกำลังเตือน แต่กลับไม่สะทกสะท้าน เพียงจ้องผู้หญิงสองคนนี้ ขอเพียงผู้หญิงสองคนนี้กล้าไม่เคารพนาง นางก็เตรียมจะฉวยโอกาสอาละวาดแล้ว

เฟยหงย่อตัวเบาๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ามีชาติกำเนิดต้อยต่ำ ให้ฮูหยินเห็นเรื่องน่าขำแล้ว”

“มีอะไรน่าขำ ตอนนี้เป็นกลายเป็นหงส์บินขึ้นยอดไม้แล้ว พี่น้องพวกนั้นของพวกเจ้าอาจจะอิจฉามากก็ได้ ทุกคนคงจะเอาพวกเจ้าสองคนเป็นแบบอย่าง” จาหรูเยี่ยนพูดเหน็บแนม

ผังเสี้ยวเสี้ยวเห็นมารดายิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิด จึงดึงแขนเสื้อมารดาอีกครั้ง

จาหรูเยี่ยนพลันหันกลับมา ตะคอกคำนี้ว่า “คันมือเหรอ? ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ รู้จักที่ต่ำที่สูงหรือเปล่า?” ดูเหมือนด่าลูกสาว แต่ความหมายในคำพูดเหมือนตีวัวกระทบคราด

ผังเสี้ยวเสี้ยวอึดอัดมาก แต่ก็ไม่สะดวกจะเข้าข้างคนนอกอย่างเปิดเผย

กลับเป็นเฟยหงที่เอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม ชี้ไปยังศาลาหลังหนึ่งที่เดิมทีจะเชิญทั้งสองไป “ฮูหยิน ตรงนั้นมีห้องเก็บสมบัติห้องหนึ่ง ผู้ตรวจการใหญ่มักจะชอบสะสมของจิปาถะเอาไว้ในนั้น ฮูหยินจะไปดูหน่อยมั้ยคะ?”

นี่คือภารกิจที่เหมียวอี้มอบหมายให้ เหมียวอี้รู้ว่าจาหรูเยี่ยนแค้นตน จึงไม่อยากให้จาหรูเยี่ยนทำเสียเรื่องในเวลานี้ ดังนั้นจึงเตรียมห้องเก็บสมบัติเอาไว้ห้องหนึ่ง

พอได้ยินว่าเป็นห้องเก็บสมบัติของหนิวโหย่วเต๋อ จาหรูเยี่ยนก็หวั่นไหวเล็กน้อย อยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อซ่อนสมบัติอะไรไว้บ้าง แต่ภายนอกกลับพูดอย่างเย็นชา “ดินแดนที่สภาพแวดล้อมเลวร้าย ยังจะมีสมบัติอะไร” ก็แค่ไม่พูดเท่านั้นเอง พอได้อ้าปากพูดก็แดกดันทุกประโยค

“ฮูหยินความรู้กว้างขวาง พวกเรามีตาหามีแววไม่ จะถือโอกาสนี้ขอคำชี้แนะจากฮูหยินสักหน่อยค่ะ” เฟยหงกล่าว

ผังเสี้ยวเสี้ยวเองก็ไม่อยากให้มารดาพูดจาร้ายๆ ต่อไปแล้ว ตั้งใจเบี่ยงเบนสมาธิ จึงพูดออดอ้อนว่า “ลูกอยากเห็นว่าผู้ตรวจการใหญ่ซ่อนของดีอะไรไว้ค่ะ ท่านแม่ พวกเราไปดูกันหน่อยเถอะ”

เมื่อเห็นเป็นแบบนี้ จาหรูเยี่ยนก็ทำได้เพียงเข็นเรือไปตามน้ำ “ถ้าเป็นอย่างนี้ งั้นก็ไปดูสักหน่อยเถอะ”

พวกนางย้ายที่ เดินไปจนถึงนอกห้องเก็บสมบัติ เฟยหงผลักประตูเข้าไป เป็นห้องที่ตกแต่งไว้อย่างสง่างาม มองปราดเดียวก็เห็นหมด

เฟยหงเชิญสองแม่ลูกขึ้นไปที่ชั้นสอง ถึงได้เห็นว่ามีสมบัติสะสมไว้มากมาย เรียกได้ว่ามีแต่ของงดงามล้ำค่า

ใช่ว่าจาหรูเยี่ยนจะไม่เคยเห็นของพวกนี้ แต่ของดีๆ ส่วนใหญ่ล้วนเก็บไว้ในกำไลเก็บสมบัติ ไม่ได้ตั้งใจนำมาตั้งแสดงแบบนี้ จู่ๆ ตัวก็มาอยู่ในนี้แล้ว อิทธิพลที่มีต่อสายตาทำให้จาหรูเยี่ยนรู้สึกทึ่งจริงๆ ในใจพึมพำว่า หลายปีมานี้หนิวโหย่วเต๋อตักตวงของดีได้ไม่น้อยเลย

พอทอดสายตามองไป สิ่งที่ดึงดูดสายตานางที่สุดก็คือฉากกั้นแผ่นหนึ่งวางไว้ในห้องเก็บสมบัติ

ไม่ใช่ฉากกั้นะรรมดา ภาพวาดบนฉากกั้นเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นภาพทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำ บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นลำแสงสีรุ้ง บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นฉากป่าภูเขา บางทีก็เป็นภูเขาใต้แสงจันทร์ เป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ เป็นเรือลอยบนแม่น้ำ เป็นทะเลทรายกว้างใหญ่มีควัน มหัศจรรย์มาก

จาหรูเยี่ยนมองฉากกั้นจนตาเป็นประกาย พอลองเอามือลูบดู ก็พบว่าไม่ใช่ของวิเศษอะไร เป็นหินผลึกที่เปลี่ยนรูปโดยธรรมชาติเท่านั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าในหินผลึกมีอากาศธาตุหรือว่าอะไร ตอนที่ข้างในไหลเวียนก็จะสร้างภาพขึ้นมาเอง นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม “เป็นของที่หายาก”

เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเซ็งในใจ เดิมทีนี่คือของขวัญที่สวีถังหรานมอบให้นาง แต่โดนสวีถังหรานบังคับให้ส่งให้เฟยหง

“ภาพฉากกั้นเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ไม่หยุดหย่อนเลย ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวดูไม่หมด ถ้าฮูหยินสนใจ นำกลับไปค่อยๆ เชยชมที่จวนจอมพลก็ได้ค่ะ” เฟยหงพูดไปยิ้มไป

นี่จะมอบให้ตนเหรอ! จาหรูเยี่ยนรู้สึกคันใจทันที แต่ปากกลับพูดอย่างคลุมเครือว่า “แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง? ล้วนเป็นของที่ผู้ตรวจการใหญ่หนิวสะสมไว้ จะส่งให้คนอื่นง่ายๆ ได้ยังไง”

“ก่อนหน้านี้ผู้ตรวจการใหญ่บอกไว้แล้วค่ะ ว่าขอเพียงฮูหยินชอบของในนี้ ก็นำไปได้ตามสบายเลย ฮูหยินจะเอาไปหมดก็ไม่เป็นอะไร” เฟยหงตอบ

จาหรูเยี่ยนชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง ตอนนี้เข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต๋อกำลังตั้งใจประจบตน

ใจนางลังเลนิดหน่อยว่าจะรับไว้หรือไม่รับไว้ดี หลังจากเดินวนฉากกั้นสองรอบ ในใจก็ชอบมากจริงๆ นำกลับไปให้พวกผู้หญิงที่ไปมาหาสู่กันได้ดูสักหน่อย ของหายากแบบนี้ทำให้คนอิจฉาแน่นอน แต่ก็ไม่สะดวกจะเอาไปเฉยๆ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ของนี้หนิวโหย่วเต๋อก็ใช้อำนาจในมือขูดรีดมาเหมือนกัน ของของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าไม่เอาก็เสียดายเปล่าๆ มิหนำซ้ำก็อย่าหวังเลยว่าของขวัญเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้เรื่องในอดีตผ่านไปได้ ช้าเร็วก็ต้องสะสางบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋ออยู่ดี

พอคิดแบบนี้ ในใจนางก็เกิดความสมดุลแล้ว นางกล่างเสียงเรียบว่า “ในเมื่อพูดแบบนี้ จะปฏิเสธก็เกรงว่าจะเป็นการแสดงความไม่เคารพ” พูดจบก็ยื่นมือเก็บเข้ากำไลเก็บสมบัติ

ที่จริงต่อให้นางไปเอาไป เฟยหงก็จะคิดหาทางให้นางรับไว้อยู่ดี ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้ก็ไม่จำเป็นต้องนำห้องเก็บสมบัติออกมาแสดงแบบนี้

แม้ในใจจาหรูเยี่ยนจะคิดว่าในภายหลังจะจัดการหนิวโหย่วเต๋อ แต่ปากก็ยังพูดจาปรานีขึ้นไม่น้อย ไม่พูดเหน็บแนมเฟยหงและเสวี่ยหลิงหลงอีกแล้ว ตอนที่เชยชมสมบัติงดงามละลานตา บางครั้งก็จะพูดกับสองสาวด้วยรอยยิ้ม ถูกใช้ชิ้นไหนก็เก็บเข้ากระเป๋า

เฟยหงเองก็เชิญให้ผังเสี้ยวเสี้ยวดูว่าชอบหรือไม่ชอบอันไหนเช่นกัน เมื่อบอกซ้ำหลายครั้ง ผังเสี้ยวเสี้ยวยากจะปฏิเสธน้ำใจ เพียงแต่เก็บไว้ชิ้นหนึ่งพอเป็นพิธีเท่านั้น…

ตลาดปี ทะเลสาบใต้ดิน เหมียวอี้กับผังก้วนยืนเคียงกันอยู่บนหัวเรือ กำลังไปตึกศาลาสัตยพรต

ดินแดนที่มืดสลัว เรือที่แขวนโคมไฟหลากสีแล่นผ่านไปมา สะท้อนกับคลื่นจนเป็นประกาย บางครั้งก็มีเสียงดนตรีดังแว่วมา จู่ๆ ผังก้วนก็กล่าวชม “มีเสน่ห์ไปอีกแบบ”

เหมียวอี้ถามด้วยรอยยิ้ม “อย่าบอกนะว่าท่านบุรุษไม่เคยมาตลาดผี?” อยู่ที่นี่เขาเปลี่ยนคำเรียก

ผังก้วนมองเขาแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ไม่ได้มาบ่อยเหมือนเจ้าแน่นอน”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ

เมื่อมาถึงตึกศาลาสัตยพรต ก็เข้ามาในทางน้ำที่ว่าง จะได้ไม่มีคนเห็นเยอะ

พอเรือเทียบฝั่ง ก็เห็นชีเจวี๋ยมารอต้อนรับล่วงหน้าแล้ว จากนั้นก็นำทั้งสองเข้ามาในตึกศาลาสัตยพรตด้วยตัวเอง

เมื่อขึ้นมาถึงจุดสำคัญบนตึก หยางเจาชิงกับเฉินหวยจิ่วก็ถูกกันเอาไว้ ปล่อยให้เหมียวอี้กับผังก้วนเข้าไปในทางเดินที่มืดลึกลับ

เป็นครั้งแรกที่ผังก้วนมาที่จุดสำคัญของตึกศาลาสัตยพรต ก่อนหน้านี้ต่อให้เจ้าแสดงฐานะ แต่อีกฝ่ายก็อาจไม่ให้เจ้าเข้ามาก็ได้ ต่อให้เป็นคำสั่งของประมุขชิง คาดว่าเฉาหม่านก็คงไม่ให้เข้าพบอยู่ดี อำนาจภูมิหลังของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ ต่อให้เป็นประมุขชิงก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้

เมื่อมาถึงจุดหมายแล้ว ชีเจวี๋ยก็ผลักประตูเข้าไปโดยตรง พอเชิญทั้งสองเข้าไปแล้วก็ปิดประตูไว้

แสงไฟในห้องมืดสลัว มีคนอยู่ในนี้สองคนแล้ว คนหนึ่งยืนเอามือไขว้หลังหันหลังให้ กำลังมองไปนอกหน้าต่าง ทำให้มองไม่เห็นใบหน้า เขาคือเฉาหม่านนั่นเอง

ยังมีอีกคนที่ยืนเก็บมือพลางมองประเมินสองคนที่เดินเข้ามา เป็นเว่ยซูนั่นเอง

พอเห็นเว่ยซู ผังก้วนก็เกิดความคิดบางอย่าง สงสัยจะเป็นอย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก เว่ยซูมายืนอยู่ฝ่ายเฉาหม่านแล้ว

เหมียวอี้ถอดหน้ากากออก ผังก้วนก็ถอดตามเช่นกัน กล่าวกับเว่ยซูด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อบ้านเว่ย นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่”

เว่ยซูพยักหน้า “ทักทายจอมพลผัง”

สายตาของผังก้วนไปหยุดอยู่บนแผ่นหลังตรงริมหน้าต่าง

เฉาหม่านหันตัวมาช้าๆ เผยโฉมหน้าที่แท้จริง สายตาจ้องไปที่ผังก้วนโดยตรง

ผังก้วนก็จ้องเขาเช่นกัน มองปราดเดียวก็จำได้แล้วว่าเป็นเฉาหม่าน ถึงแม้จะไม่เคยเห็นตัวจริง แต่ส่วนใหญ่ก็คล้ายกับในภาพวาด เขากุมหมัดคารวะ “ท่านนี้คงจะเป็นเฉาหม่าน เจ้าของตึกศาลาสัตยพรตสินะ?”

เฉาหม่านกลับเคยเห็นผังก้วน กุมหมัดคารวะทักทายกลับ “จอมพลผังให้เกียรติมาเยือนด้วยตัวเอง เฉาขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ!” พูดตามมารยาทเท่านั้นเอง จากนั้นก็ยื่นมือเชิญให้นั่ง

ทั้งสามนั่งลง เว่ยซูวางน้ำชาแล้วไปยืนข้างหลังเฉาหม่าน เห็นได้ชัดว่าย้ายฐานะจากเซี่ยโห้วลิ่งมาอยู่ฝั่งนี้แล้ว

ผังก้วนชำเลืองเว่ยซู จากนั้นก็พูดกับเฉาหม่านว่า “ครั้งนี้มาเที่ยวเล่นจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล  จู่ๆ จากปากผู้ตรวจการใหญ่หนิว ว่าท่านปู่สวรรค์ประสบเหตุร้าย เลยตั้งใจจะมาเยี่ยม หวังว่าจะระงับความเศร้าโศก!” พออ้าปากพูดก็หยั่งเชิงทันทีว่าเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้วจริงๆ หรือเปล่า

บนใบหน้าเฉาหม่านดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ตอบตามตรงว่า “ข้ารู้เจตนาที่จอมพลผังมาที่นี่ พวกเราไม่ต้องเสแสร้งอ้อมค้อมกันอีกแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถช่วยจอมพลผังแทนที่ฮ่าวเต๋อฟางได้ เพียงแต่ตระกูลเซี่ยโห้วมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”

ถ้าเขาเกรงใจเกินไป ผังก้วนก็จะสงสัยว่ามีอุบาย ถ้าพูดตรงไปตรงมาแบบนี้ กลับจะทำให้เขารู้สึกว่าหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วมีความมั่นใจ จึงถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไร?”

“ย่อมต้องกำจัดพระปีศาจเพื่อล้างแค้นให้พี่ชายข้าอยู่แล้ว! หลังจากจอมพลผังทำสำเร็จและได้อำนาจของทัพใต้ ก็ต้องให้ความร่วมมือกับตระกูลเซี่ยโห้วเต็มที่เพื่อกำจัดพระปีศาจ แบบนี้ไม่น่าจะถือว่าบังคับใช่ไหม?” เฉาหม่านถาม

ผังก้วนพยักหน้า “นี่คือหลักการที่ควรจะมี พระปีศาจเป็นศัตรูของใต้หล้า ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วไม่เอ่ยปาก แต่ถ้าจะปล่อยให้พระปีศาจก่อหายนะได้ยังไง เรื่องนี้เป้นภารกิจอันพึงปฎิบัติ เถ้าแก่วางใจได้!”

เฉาหม่านแอบเหยียดหยามในใจ พระปีศาจซ่อนตัวไม่ยอมออกมา เจ้าบอกว่าจะกำจัดก็แปลว่ากำจัดได้แล้วเหรอ จะเอาอะไรมาล่อพระปีศาจให้ออกมาล่ะ? ทว่าวันนี้ต้องให้ความร่วมมือแสดงละครกับหนิวโหย่วเต๋อ เขาทำได้เพียงทำตามแผน “หวังว่าจอมพลผังจะพูดคำไหนคำนั้น ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนเจ้าได้ ก็โค่นล้มเจ้าได้เหมือนกัน!”

“ข้าเองก็มีคำถามเช่นกัน ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อเคลื่อนพลช่วยข้าคุมกำลังพลหนึ่งสายเอาไว้ รวมกำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางอยู่ในนั้นด้วย แต่ก็ยังมีกำลังพลสองสายที่ข้าต้องรับมือ กอปรกับอ๋องสวรรค์ท่านอื่นก็อาจจะช่วยฮ่าวเต๋อฟาง ข้ามีโอกาสชนะไม่มาก!” ผังก้วนให้เหตุผลที่ขัดแย้งกัน

เฉาหม่านกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ขอเพียงฮ่าวเต๋อฟางตายไป ขวัญกำลังใจทหารก็จะสั่นคลอนแน่นอน! ข้าเองก็ไม่มีกำลังพลมากพอที่จะกำจัดฮ่าวเต๋อฟางทิ้ง ส่วนเรื่องว่าจะกำจัดฮ่าวเต๋อฟางยังไง จอมพลผังควรจะคิดหาทางเอาเอง ถ้าจอมพลผังทำไม่ได้แม้แต่สิ่งนี้ เช่นนั้นข้าเองก็ไม่หวังว่าในอนาคตจอมพลผังจะมีความสามารถมาช่วยข้าได้ แต่จะบอกจอมพลผังเอาไว้ให้ชัดเจนก่อน ขอเพียงจอมพลผังตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลงมือ เมื่อตระกูลเซี่ยโห้วสอดมือเข้าไปยุ่งเมื่อไร ก็เกรงว่าทัพใหญ่ของฮ่าวเต๋อฟางก็คงไม่ฟังคำบัญชาการง่ายๆ อีกแล้ว ข้าเองก็สามารถทำให้ข้างกายฮ่าวเต๋อฟางเกิดความวุ่ยวายภายในได้เช่นกัน ส่วนจะหาโอกาสได้หรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของจอมพลผังแล้ว ส่วนกำลังพลของอ๋องสวรรค์ที่เหลือ จอมพลผังก็ไม่ต้องกังวล ข้าทำให้พวกเขาเอาตัวเองไม่รอด ไม่มีกะใจมาแทรกแซงงานใหญ่ของจอมพลผังได้อยู่แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วยังมีความสามารถอย่างนี้อยู่บ้าง”

……………