บทที่ 1265 ความแข็งแกร่งที่น่าเหลือเชื่อ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,265 ความแข็งแกร่งที่น่าเหลือเชื่อ

“เหตุไฉนจึงต้องไปทางนี้?”

หวังซือหูส่งเสียงคัดค้านโดยไม่รู้ตัว “พวกเราควรประชุมกันก่อนไม่ใช่หรือ?”

อวิ๋นอู่เหินมีสีหน้าไร้อารมณ์และนิ่งเงียบ

หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองไปทางนักบวชสาวเซียงเหยียนและถามว่า “มีกฎหรือไม่ว่าผู้คนห้ามสั่งสอนผู้เข้าแข่งขันที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง?”

นักบวชสาวเซียงเหยียนตอบว่า “ดูเหมือนจะไม่มีกฎเช่นนั้น”

“อ้อ เช่นนั้นก็ดีแล้ว”

หลินเป่ยเฉินก้าวเดินออกไปข้างหน้าพลางกล่าว “เจ้าอ้วน สั่งสอนมันซะ”

“ขะ…ขะ…ขอรับ”

เจ้าอ้วนผู้เดินตามหลังหลินเป่ยเฉินพลันหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากลุ่มของอวิ๋นอู่เหินที่ยืนตกตะลึง และหลังจากนั้น เจ้าอ้วนก็สะบัดฝ่ามือตบหน้าหวังซือหูฉาดใหญ่

เพียะ!

หวังซือหูไม่ทันได้ตั้งตัว ตัวคนก็หมุนคว้างกลางอากาศสามร้อยหกสิบองศา ก่อนกลิ้งกระเด็นไปราวกับเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่จมหายลงไปใต้พื้นทราย…

กระเด็นไปยังทิศทางที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะเดินไปพอดี

นี่คือการแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าอ้วนให้ผู้อื่นได้พบเห็น

การตบหน้าครั้งนี้เป็นเพียงการสั่งสอนเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายให้หวังซือหูเจ็บตัวจริง ๆ

ดังนั้น เมื่อหวังซือหูลุกขึ้นยืนอีกครั้ง นอกจากใบหน้าที่บวมปูดกับอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยแล้ว สภาพของเขาจึงยังไม่ได้ดูย่ำแย่เกินไป

ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นอันตราย

เพียงแต่ได้รับความอับอายถึงขีดสุด

“เจ้าตัวบัดซบ กล้าตบหน้าข้าหรือ?”

หวังซือหูตัวสั่นเทา รีบวิ่งเข้ามาด้วยความโกรธแค้น

เพียะ!

แล้วตัวคนก็ลอยกระเด็นกลับไปอีกครั้ง

ใช้เวลาทั้งหมดไม่ถึงสามลมหายใจ

เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป

เกิดขึ้นทั้งหมดสี่ครั้ง

หวังซือหูลอยกระเด็นออกไปเป็นระยะทางโดยรวมสองลี้

ไม่เพียงแต่หวังซือหูเท่านั้นที่จะได้เข้าใจ แม้แต่พวกของอวิ๋นอู่เหินกับลูกสมุนคนอื่น ๆ ก็ได้เข้าใจแล้วว่า เจ้าอ้วนปัญญาอ่อนผู้นี้มีความแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้

อย่างน้อยเรื่องของพละกำลังก็น่าจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าพวกตนเองแล้ว

อวิ๋นอู่เหินรู้สึกเศร้าใจกับการตัดสินใจของตนเอง

ทำไมก่อนหน้านี้ เขาจึงดูไม่ออกนะว่าเจ้าอ้วนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?

“ท่านหัวหน้ากลุ่มจะเอาอย่างไรดีขอรับ”

อวิ๋นอู่เหินหันกลับมามองหน้านักบวชสาวเซียงเหยียน

นางตอบโดยไม่ลังเลว่า “ทำตามที่เขาบอก”

“ขอรับ”

อวิ๋นอู่เหินประสานมือค้อมคำนับ “พวกเราจะเชื่อฟังคำสั่งของท่านหัวหน้ากลุ่ม”

น่าเสียดายที่หัวหน้ากลุ่มก็ยังต้องฟังคำสั่งของเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวนั่นอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม เพื่อความราบรื่นของการทำภารกิจ อวิ๋นอู่เหินจึงมีแต่ต้องสั่งให้ลูกสมุนของตนเองไหลตามน้ำไปก่อนเท่านั้น

ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินกลับยกมือเสยผมด้วยท่าทีเย้ยหยันและกล่าวว่า “น่าเวทนานัก เจ้าคงผิดหวังมากเลยล่ะสิ?”

อวิ๋นอู่เหินแทบจะตายอยู่ตรงนั้นแล้ว

เด็กหนุ่มผู้นี้อาศัยจังหวะทีเผลอใช้วาจากระแทกแดกดันเขา

แต่มันก็ดีใจได้อีกไม่นานหรอก

อวิ๋นอู่เหินกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น สายตาจ้องมองไปยังเจ้าอ้วนที่เดินสะพายกระเป๋าใบใหญ่ตามหลังหลินเป่ยเฉินไปติด ๆ พร้อมกับคิดหาวิธีที่จะดึงเจ้าอ้วนกลับมาเป็นพวกของตนเองอีกครั้ง

ใช่แล้ว

คนโง่ย่อมหลอกไม่ยาก

รอจนกระทั่งเจ้าอ้วนกลับมาอยู่ฝ่ายเขาเหมือนเดิมก่อนเถอะ อวิ๋นอู่เหินอยากรู้นักว่าเจี๋ยนเซียวเหยาจะทำสีหน้าเช่นไร

พวกเขาเดินตรงไปยังเนินทรายที่อยู่ด้านหน้า

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป

“ขุดตรงนี้”

หลินเป่ยเฉินชี้มือไปยังเนินทรายที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง

อวิ๋นอู่เหินกับลูกสมุนหันมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก

นักบวชสาวเซียงเหยียนก็ถึงกับตกใจไม่น้อย

ขุดอะไร?

ระหว่างที่ทุกคนกำลังสงสัย เจ้าอ้วนกลับเป็นคนเดียวที่เข้าใจความหมายของหลินเป่ยเฉิน เขากระโดดออกไปด้านหน้า ก้มตัวลงและใช้สองแขนหมุนวนไม่ต่างจากใบพัดกังหันลม ขุดทรายขึ้นมาฟุ้งกระจายเต็มไปหมด

เนินทรายถูกขุดเป็นหลุมลึก

ในอากาศเต็มไปด้วยเม็ดทราย

ท่าทางการขุดของเจ้าอ้วนไม่ต่างจากสุนัขกำลังขุดดิน

รวดเร็วและคล่องแคล่วอย่างยิ่ง

เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ตัวของเจ้าอ้วนก็จมหายลงไปในหลุมทรายบนพื้นดิน…

“เฮอะ นี่มันเหลวไหลสิ้นดี”

ว่านหยวนระเบิดเสียงหัวเราะ

แต่ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง

“จะ…เจอแล้ว… เจอแล้วขอรับ…”

เจ้าอ้วนพูดตะกุกตะกักและปีนกลับขึ้นมาจากหลุมทราย

ในมือของเขาถือรูปสลักมนุษย์สีแดงขนาดเท่าฝ่ามือมาด้วยตัวหนึ่ง

“รูปสลักเทวะ?”

อวิ๋นอู่เหินอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ

สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่รูปสลักในมือของเจ้าอ้วน

แน่นอนที่สุด

นี่คือรูปสลักเทวะที่พวกเขาต้องตามหาเพื่อความอยู่รอด

เหตุไฉน… จึงพบเจอได้อย่างง่ายดายนัก?

“เอามาให้ข้า”

หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกมาข้างหน้า

สายตาของทุกคนจับจ้องมองไปที่ใบหน้าของเจ้าอ้วนอีกครั้ง

เจ้าอ้วนจะปฏิเสธหรือไม่?

ย่อมปฏิเสธอยู่แล้ว

รูปสลักเทวะคือสิ่งที่จะช่วยการันตีถึงความอยู่รอดในการทำภารกิจครั้งนี้ แล้วเจ้าอ้วนจะส่งมอบให้กับผู้อื่นง่าย ๆ ได้อย่างไร?

ว่านหยวน หวังซือหูและคนอื่น ๆ ลอบแสยะยิ้มอยู่ในใจ

แต่ทันใดนั้น เจ้าอ้วนกลับเดินนำรูปสลักมาส่งมอบให้ผู้เป็นลูกพี่อย่างง่ายดาย

หลินเป่ยเฉินรับมาถือในมือ

รูปสลักตัวนี้มีน้ำหนักพอสมควร

หนักเกินกว่าที่จะเป็นรูปสลักธรรมดา

สีแดงเหมือนเลือดที่ทาอยู่บนตัวรูปสลักนั้นซีดจางแล้ว บ่งบอกถึงความเก่าแก่ได้เป็นอย่างดี แต่พื้นผิวของมันยังเรียบเนียน ไม่ได้ถูกเม็ดทรายกัดกร่อนแต่อย่างใด ลวดลายที่แกะสลักอยู่บนลำตัวของรูปสลักตัวนี้มีลายเส้นที่ธรรมดาอย่างยิ่ง บ่งบอกว่าคงทำขึ้นมาจากช่างฝีมือข้างถนนเป็นแน่แท้

มันเป็นรูปสลักมนุษย์สวมใส่ชุดเกราะผู้หนึ่ง ใบหน้ามองเห็นไม่ชัดเจน และรูปสลักตัวนี้ไม่มีอาวุธ

เมื่อโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ใส่ลงไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มีเพียงลายเส้นของรูปสลักที่ชัดเจนขึ้นเท่านั้น

“อย่างน้อยก็เอาไว้ใช้ทุบหัวคนได้ใช่ไหมนะ?”

หลินเป่ยเฉินลองคำนวณน้ำหนักรูปสลักเทวะในมือ จากนั้นจึงยื่นส่งไปให้นักบวชสาว “ท่านลองตรวจสอบดูหน่อยเป็นไร?”

มุมปากของนักบวชสาวเซียงเหยียนบิดตัวเป็นรอยยิ้มงดงาม

นางรับรูปสลักเทวะมาสังเกตดูครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งกลับไปให้หลินเป่ยเฉินพร้อมรอยยิ้มหวาน

“ขอข้าดูด้วยคนสิ”

อวิ๋นอู่เหินโพล่งออกมา

“เจ้าคู่ควรหรือ? กลับไปอยู่เฉย ๆ ซะ”

หลินเป่ยเฉินปฏิเสธโดยไม่ลังเลและส่งรูปสลักคืนกลับไปให้เจ้าอ้วนอีกครั้ง

เจ้าอ้วนรับรูปสลักกลับไปเก็บเข้าใส่กระเป๋าบนแผ่นหลังอย่างรู้งาน

“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกัน เอามาให้พวกเราดูจะเป็นอะไรไป?” หวังซือหูส่งเสียงดังอย่างไม่พอใจ “หรือว่าเจ้าใจแคบเกินไป? กลัวว่าจะถูกพวกเราแย่งชิง? อย่าได้คิดว่า…”

“สั่งสอนมัน”

หลินเป่ยเฉินคำราม

เจ้าอ้วนรับคำในลำคอ กระโดดออกมาด้านหน้าและเงื้อมือขึ้นสูง

เพียะ!

หวังซือหูถูกตบลอยกระเด็นออกไปอีกครั้ง คราวนี้ศีรษะของเขาปักลงไปใต้พื้นทราย เหลือแต่เพียงก้นโด่งชี้ท้องฟ้าเท่านั้น…

“ผิดทางแล้ว”

หลินเป่ยเฉินโบกมือไปอีกทางหนึ่งและกล่าวว่า “ต้องเป็นทางนั้น”

“ขะ…ขะ…ขอรับ”

เจ้าอ้วนเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวไม่ต่างไปจากกิ้งก่าทะเลทราย เขากระชากหวังซือหูกลับขึ้นมาจากใต้พื้นทราย ก่อนจะตบใบหน้าชายฉกรรจ์อีกครั้ง ส่งผลให้หวังซือหูลอยกระเด็นไปยังทิศทางที่หลินเป่ยเฉินต้องการ

ฟ้าว!

นั่นคือเสียงขณะที่ร่างของหวังซือหูลอยผ่านอากาศข้ามศีรษะของอวิ๋นอู่เหินและพรรคพวกไป

ไม่ว่าพวกเขาเคยคิดที่จะพูดสิ่งใด บัดนี้ ก็ได้แต่กล้ำกลืนกลับลงคอแล้ว

ทำไมเจ้าอ้วนถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?

อวิ๋นอู่เหินตัวสั่นเทาด้วยความตกตะลึง

ไม่สิ เขาต้องหาทางหลอกเจ้าอ้วนกลับมาเป็นพวกให้ได้

เมื่อถึงตอนนั้น อวิ๋นอู่เหินก็จะสามารถบอกให้เจ้าอ้วนทำตามคำสั่งของเขาได้ทุกอย่าง

อวิ๋นอู่เหินคิดด้วยความกระหยิ่มใจ

ทุกคนเดินตรงไปยังทิศทางที่หลินเป่ยเฉินกำหนด ผ่านไปได้หลายสิบลี้ พวกเขาก็มาถึงเนินทรายอีกแห่งหนึ่ง

“ขุด”

“ขะ…ขะ…ขอรับ”

ภาพเหตุการณ์ที่คุ้นเคยเกิดขึ้นอีกครั้ง

ไม่ถึงสิบลมหายใจ เจ้าอ้วนก็สามารถขุดรูปสลักเทวะขึ้นมาจากใต้พื้นทรายได้อีกตัวหนึ่ง

ไม่ต่างจากชาวนาขุดหัวมันขึ้นมาจากแปลงเกษตรกรรม

แต่สิ่งสำคัญก็คือไม่ว่าจะเป็นนักบวชสาวเซียงเหยียนหรือว่าพวกของอวิ๋นอู่เหินทุกคนต่างก็มองไม่เห็นความแตกต่างของเนินทรายเหล่านี้แม้แต่จุดเดียว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าอ้วนสามารถขุดรูปสลักเทวะขึ้นมาได้อย่างไร

แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงยังคงไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้

“ทางนี้…”

“ขุด”

“ไปกันเถอะ ตรงนั้น…”

“อยู่ตรงนี้ ขุด”

“เก็บไปซะ แล้วไปตรงนู้นต่อ… ประเสริฐ ตรงนี้แหละ”

“ขุด”

ในขณะที่หลินเป่ยเฉินระบุทิศทางครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ออกคำสั่งให้เจ้าอ้วนขุดรูปสลักเทวะขึ้นมาจากใต้เนินทรายและก้อนหินใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน นักบวชสาวเซียงเหยียน อวิ๋นอู่เหินและบรรดาลูกสมุนได้แต่ยืนดูด้วยความตกตะลึงอยู่ตรงนั้นเอง

นี่มันอะไรกัน?

เจี๋ยนเซียวเหยากับเจ้าอ้วนกำลังทำอะไรกันอยู่?

พวกเขาต้องทำภารกิจแบบกลุ่มไม่ใช่หรือ?

พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อขุดหัวไชเท้ากับหัวมันสักหน่อย

ผ่านไปได้ครึ่งวัน เจี๋ยนเซียวเหยากับเจ้าอ้วนก็ได้รูปสลักเทวะมาแล้วถึงเก้าตัว

บัดนี้ การแข่งขันรอบสองของพวกเขาแทบไม่ต่างไปจากการเดินเก็บผักข้างถนน ไม่มีอุปสรรคขัดขวางแม้แต่น้อย

นักบวชสาวเซียงเหยียนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยสายตาที่คล้ายกับกำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง

นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้จึงกลายเป็นผู้ที่ทำคะแนนได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันรอบที่แล้ว และเขาก็ทำคะแนนได้สูงส่งชนิดที่ไม่มีผู้คนสามารถเข้าใจได้

หากไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าสภาเทพเจ้าจัดการแข่งขันครั้งนี้อย่างเข้มงวดและรัดกุมที่สุด นักบวชสาวเซียงเหยียนก็คงต้องสงสัยว่ารูปสลักเทวะเหล่านี้ เป็นเจี๋ยนเซียวเหยาแอบนำมาฝังไว้ด้วยตนเองแล้ว!