บทที่ 624.2 หลอมกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เมื่อครู่นี้นางมองหลิวเสี้ยนหยางราวกับว่าหลิวเสี้ยนหยางไม่ได้สวมเสื้อผ้าอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีความอายเลยแม้แต่น้อย

นางชื่อว่าซือถูหลงชิว คือบุตรสาวจากอนุภรรยาของตระกูลซือถูบนถนนไท่เซี่ยง ผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตชมมหาสมุทร เป็นเพื่อนสนิทของต่งปู้เต๋อ ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอบเขตของนางไม่สูงไม่ต่ำ แต่นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา มีกลิ่นอายของยุทธภพอย่างมาก เรื่องน่าสนใจของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากผ่านการแต่งแต้มสีสันจากนางมักจะเปลี่ยนมาเป็นน่าสนใจยิ่งกว่าเดิมเสมอ ต้นกำเนิดของข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ มากมายก็ล้วนมาจากการเสกสรรปั้นแต่งจากนางกับต่งปู้เต๋อ เรื่องจริงหลายๆ เรื่องมักจะทำให้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องเท็จกลับดันดูเป็นจริงเสียยิ่งกว่าเรื่องจริง

ตอนนั้นต่งปู้เต๋อมาที่จวนหนิง บอกให้เฉินผิงอันช่วยแกะสลักตราประทับให้สามชิ้น หนึ่งในนั้นก็คือของซือถูหลงชิว

เถ้าแก่รองเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่รังแกเด็กสตรีและคนชรา ข้าซือถูหลงชิวสาบานว่าเป็นเรื่องจริง กู้เจี้ยนหลงให้ข้าผู้อาวุโสพูดจาเป็นธรรมสักคำ ต่งฮว่าฝูจ่ายเงินราวสายน้ำไหล ก่อนหวังซินสุ่ยจะต่อสู้ข้าทำได้ ต่อสู้ไปแล้วก็ช่างมันเถิด

นี่ก็คือสุดยอดห้าเรื่องใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้

ส่วนสุดยอดห้าเรื่องเก่าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือนิสัยการเล่นพนันของอาเหลียงแข็งทื่อเกินไป น้ำลายฝอยเต็มหน้า ใต้เท้าอิ่นกวานนิสัยดีที่สุด ไม่เคยต่อยตีใคร ผู้เฒ่าตาบอดคือคนก็ต้องพูดภาษาคน ลู่จืองดงามล่มบ้านล่มเมือง นับแต่โบราณมาความรักลึกล้ำก็รั้งตัวหมี่อวี้ไว้ไม่ได้

อันที่จริงล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเวทกระบี่และขอบเขตเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้เฉินผิงอันกับซือถูหลงชิวก็น่าจะถือว่าเป็นการพบกันของยอดฝีมือแล้ว

ซือถูหลงชิวพลันยิ้มถามว่า “ภูเขาเยี่ยนต้างมีชื่อเสียงในใต้หล้าไพศาลมากหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็นเพียงแค่ภูเขาธรรมดาแห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ฮวงจุ้ยดีมาก เพียงแต่ว่ายังไม่มีชื่อเสียงนัก แต่ข้ามีสหายคนหนึ่งชอบท่องเที่ยวไปตามยุทธภพและป่าเขา เวลาผ่านที่ใดก็ชอบเขียนบันทึกขุนเขาสายน้ำ เขาเคยพูดถึงสถานที่แห่งนี้ให้ข้าฟัง บอกว่าทัศนียภาพงดงามอย่างถึงที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือต้าหลงชิว ดังนั้นข้าจึงจำได้ค่อนข้างแม่น”

ซือถูหลงชิวกล่าวอย่างเสียดายว่า “ข้าก็นึกว่าเป็นหนึ่งในห้าขุนเขาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าเสียอีก”

แล้วนางก็พลันคลี่ยิ้ม “แต่ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ดีมากเหมือนกัน”

เพราะบนตราประทับชิ้นที่ต่งปู้เต๋อมอบให้นาง ตรงริมขอบสลักเนื้อหาที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ‘หยุดพักที่ต้าหลงชิวภูเขาเยี่ยนต้าง ความฝันในยามสาม ประกายแสงดาวเต็มฟ้า ดีใจจนนอนไม่หลับ เปลือยเท้ากระโดดเข้าพงหญ้า’

พอนางได้รับตราประทับมาก็ถามสหายหลายคนที่ในบ้านเก็บสะสมตำราเอาไว้มาก ทว่ากลับไม่มีใครรู้จักต้าหลงชิวภูเขาเยี่ยนต้างเลย

เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงยิ้มเอ่ยว่า “แต่ก็มีข่าวดีอยู่อย่างหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าภูเขาเยี่ยนต้างจะกลายเป็นภูเขาที่ได้อยู่ในรายชื่อสำรองให้เป็นขุนเขาบูรพาแห่งใหม่ของแจกันสมบัติทวีป ได้เลื่อนขั้นให้เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของห้าขุนเขาใหญ่ วันหน้าก็น่าจะมีชื่อเสียงมากกว่าเดิม”

ซือถูหลงชิวอึ้งตะลึงไปครู่ “ผู้สืบทอดของภูเขา? คืออะไรไม่เห็นจะเข้าใจ”

แต่จากนั้นนางก็ยิ้มกว้าง “แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี”

ซือถูหลงชิวหมุนตัวเดินกลับไปหาฉีโซ่ว แล้วขี่กระบี่ย้อนกลับไปยังนครทางทิศเหนือด้วยกัน

กวอจู๋จิ่ววิ่งตะบึงมาถึง นางมานั่งอยู่ข้างกายอาจารย์พักใหญ่ พูดเสียงเบาว่า “อาจารย์ วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางเอาไปฟ้องอาจารย์แม่หรอก อาจารย์แม่ใหญ่ก็จริง แต่ข้าเข้าข้างอาจารย์มากกว่า”

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าก็ดี พี่หญิงซือถูก็ช่าง หากอยู่ที่บ้านเกิดของอาจารย์ก็ล้วนถือเป็นเทพธิดาทั้งสิ้น”

กวอจู๋จิ่วถามอย่างใคร่รู้ “เทพธิดาตดหรือไม่? ตดเหม็นหรือไม่? จะแอบเก็บตดไว้ในกระโปรงหรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่เทพธิดาแล้วกระมัง? หากเปลี่ยนข้าไปเป็นบุรุษที่ชื่นชมเทพธิดาคงรับไม่ได้หรอก ดังนั้นหากเปลี่ยนข้าไปเป็นเทพธิดา ข้าก็จะแอบตดในผ้าห่มเท่านั้น แล้วจะเลิกชายผ้าห่มขึ้น เอามือปัดออก น่าจะไม่ทำให้ตัวเองเหม็น”

เฉินผิงอันเคยชินกับจินตนาการอันบรรเจิดของกวอจู๋จิ่วนานแล้ว เขาดื่มเหล้าโอสถน้ำในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกหนึ่งคำ จวนน้ำที่น่าสงสารเพราะปราณวิญญาณแทบจะแห้งขอดจึงพอจะดีขึ้นได้บ้าง เขาตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ ลุกขึ้นยืน “ไป ไปหาอาจารย์แม่ของเจ้ากัน”

อาจารย์และศิษย์สองคนพากันเดินไปหาหนิงเหยา

กวอจู๋จิ่วกระโดดโลดเต้นไปตลอดทาง น่าเสียดายที่ไม่ได้สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาด้วย นางถามชวนคุยว่า “คราวนี้อาจารย์ฆ่าปีศาจใหญ่ไปได้กี่ตน?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อาจารย์สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว”

กวอจู๋จิ่วเปลี่ยนเรื่องคุยได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่มีสะดุดติดขัดแม้แต่น้อย นางพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “อาจารย์มีเมตตาถึงได้ยอมเก็บหัวสุนัขของพวกมันเอาไว้ชั่วคราว”

เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของบิดาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

กวอจู๋จิ่วยิ้มกว้าง “เจอกันกลางทาง อนุญาตให้ข้ามาหาอาจารย์ก่อน และจะกลับบ้านช้าหน่อยก็ได้”

ประโยคนี้เรียบง่ายนัก คำว่า ‘เจอกันกลางทาง’ ที่สามารถกลั่นกรองทบทวนได้หลากหลายกลับสามารถทำให้อารมณ์กลัดกลุ้มในใจของเฉินผิงอันที่เผชิญกับสงครามขนาดใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิตเกิดความอบอุ่นใจได้หลายส่วน รู้สึกเหมือนก้อนเมฆเคลื่อนตัวออกเผยให้เห็นแสงจันทร์

ตำแหน่งสนามรบที่เฉินผิงอันรับผิดชอบค่อนไปทางตรงกลาง ไม่ถือว่าอยู่ใกล้กับพวกหนิงเหยาเท่าใดนัก

กวอจู๋จิ่วไม่กลัวระยะทางที่ยาวไกล บุกเหนือล่องใต้อยู่ข้างกายอาจารย์ เดินมากก้าวหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าเดินไปเดินมา ศิษย์น้องหญิงเล็กก็อาจจะเหนือกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ตัวไม่สูงนั่นก็ได้

เดินมุ่งไปฝั่งซ้ายมือตลอดทาง ระหว่างนี้เดินผ่านอู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบ เขายังคงไม่ออกกระบี่อยู่เหมือนเดิม แต่ใช้สนามรบเป็นหินลับกระบี่ ใช้สิ่งนี้มาหลอมกระบี่ของตัวเอง

กำแพงเมืองปราณกระบี่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มหัศจรรย์อยู่นับร้อยนับพัน บ้างก็สามารถกลายร่างเป็นร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาล บ้างก็สามารถสร้างค่ายกลกระบี่ บ้างก็มีห้าอสนีล้อมวนรอบกระบี่บิน พอออกกระบี่ก็เท่ากับว่าร่ายคาถาห้าอสนี และยังมีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสองคนที่เป็นคู่รักเทพเซียน กระบี่บินของคนหนึ่งสามารถจำแลงร่างเป็นเจียวหลง ส่วนอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘แต้มนัยน์ตา’ กระบี่สองเล่มร่วมมือกัน พลานุภาพก็ยิ่งเพิ่มพูน ไม่เป็นรองการออกกระบี่ของเซียนกระบี่เลยแม้แต่น้อย ไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่ง ความอัศจรรย์มีมากมายไร้ที่สิ้นสุด

มิน่าเล่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้ไม่ต้องการผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นเลย

ผังหยวนจี้ไม่ได้ออกมาจากหัวกำแพง ข้างกายมีแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ชื่นชมเลื่อมใสเขา น้องสาวแท้ๆ ของเกาเหย่โหวอย่างเกาโย่วชิง

เห็นเฉินผิงอันกับกวอจู๋จิ่ว ผังหยวนจี้ก็ยิ้มพลางพยักหน้าให้

เฉินผิงอันเป็นคนเรียนรู้เร็ว พอเรียนรู้แล้วก็เอาความรู้มาใช้ทันที เขายิ้มตาหยีถามว่า “พี่ผัง สังหารปีศาจใหญ่ไปได้กี่ตนเล่า?”

ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “เหมือนเจ้านั่นแหละ”

เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ใหญ่เซียนดินคนหนึ่ง มาคิดเล็กคิดน้อยกับผู้ฝึกตนขอบเขตสองทำไม ช่างลดสถานะของตัวเองจริงๆ”

กวอจู๋จิ่ววิ่งมาอยู่ข้างกายเกาโย่วชิง นางเขย่งปลายเท้าลูบหัวของเกาโย่วชิงแล้วพยักหน้าพูดสั่งสอนด้วยสีหน้ามีเมตตาว่า “โย่วชิงอ่า สตรีที่ออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งงานนะ ต้องยับยั้งชั่งใจ ต้องยับยั้งชั่งใจบ้างนะ”

เกาโย่วชิงปัดมือของกวอจู๋จิ่วทิ้ง ถลึงตาเอ่ยว่า “ลวี่ตวน อย่าพูดจาเหลวไหล”

ทว่าหางตาของเด็กสาวกลับชำเลืองมองไปยังผังหยวนจี้ที่สวมชุดขาวพลิ้วไสว

เฉินผิงอันกับกวอจู๋จิ่วเดินไปด้านหน้าต่ออีกครั้ง เฉินผิงอันเห็นคนหนุ่มบางคนที่กำลังฝอยน้ำลายแตกฟองก็บอกเป็นนัยกับกวอจู๋จิ่วว่าอย่าส่งเสียง

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันเดินออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าว กู้เจี้ยนหลงผู้นั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ และเพียงไม่นานก็สังเกตเห็นเถ้าแก่รองที่คลี่ยิ้มอย่างมีเมตตา กู้เจี้ยนหลงไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บอกลาสหายสองสามคำ ก่อนจะรีบขี่กระบี่กลับไปยังนคร

ทางฝั่งของหนิงเหยามีคนแปลกหน้าเพิ่มมาสองคน

ลูกศิษย์สกุลเฉินผู้รอบรู้ นักปราชญ์เฉินซื่อ และวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาซานลู่แห่งทักษินาตยทวีป ฉินเจิ้งซิว

คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้สังหารปีศาจอย่างหลิวเสี้ยนหยาง เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจไม่สามารถเข้าใกล้นครได้ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ บวกกับที่การออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่พิถีพิถันในเรื่องของการร่วมมือที่เชื่อมโยงต่อเนื่อง รัดกุมจนแม้แต่น้ำสักหยดก็รั่วซึมไม่ได้ ต่อให้วิชาอภินิหารบางอย่างของเฉินซื่อกับฉินเจิ้งซิวจะมีพลานุภาพมหาศาลแค่ไหน แต่ก็ง่ายที่จะช่วยให้เสียเรื่องได้

ดังนั้นสหายสนิทสองคนนี้จึงเน้นการมาท่องเที่ยวมากกว่า เดินไปบนทางเดินม้าของหัวกำแพงเมืองครบรอบแล้วก็ย้อนกลับไปทางเดิม แล้วถึงได้ฉวยโอกาสเวลาที่ว่างจากศึกใหญ่มาทักทายกับพวกเฉินซานชิว

เพราะในอดีตวิญญูชนที่เอา ‘ฮ่าวหรันชี่’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไปก็เป็นสหายสนิทกับฉินเจิ้งซิว ขณะเดียวกันคนทั้งสองก็ได้เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชนพร้อมกันด้วย

วิญญูชนท่านนั้นหวังว่าฉินเจิ้งซิวจะช่วยนำความมาทักทายแทนตน

เวลานี้ฉินเจิ้งซิวกำลังพูดคุยกับเตี๋ยจ้าง

เตี๋ยจ้างเล่าเรื่องวงในของสงครามใหญ่บางอย่าง บอกว่าในอดีตเรื่องของศึกสงครามนี้ ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราไม่จำเป็นต้องแสวงหาพลังพิฆาตที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่แรกเริ่ม ถึงขั้นที่ว่าต่อจากนี้จะยังรวบเส้นแนวรบเข้ามาอย่างเหมาะสม ค่อยๆ บดขยี้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจไปช้าๆ แต่หากถึงช่วงเวลาคับขันจริงๆ เมื่อกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจขยับเข้าใกล้กำแพง ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากว่ามดตัวน้อยจะโจมตีกำแพงได้สำเร็จ แล้วก็จะมีเซียนกระบี่จำนวนมากออกไปจากหัวกำแพงเมืองเพื่อปกป้องเส้นแนวหน้าไว้อย่างมั่นคง แบ่งสนามรบออก จากนั้นก็ให้ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินนำทัพพากันลงจากกำแพงเมืองไปเข่นฆ่า ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่พลังการสู้รบไม่สูงก็จะทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเพียงอย่างเดียว

เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วนั่งอยู่ด้วยกัน กำลังมองเรื่องสนุกแล้วแอบหัวเราะไปด้วย พวกเขาเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบเถ้าแก่รองผู้นั้น ประหนึ่งชาวนาที่นั่งอยู่บนคันนาเพื่อคอยจับจ้องมองดูผลเก็บเกี่ยว

เตี๋ยจ้างที่พูดคุยกับคนอื่นเสียงเล็กเสียงน้อยแบบนี้ หาได้ยากมาก

หนิงเหยากำลังหลับตาทำสมาธิ

ก่อนหน้านี้หลังจากที่ฉินเจิ้งซิวบอกกล่าวชื่อแซ่ และเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับวิญญูชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นให้ฟัง หนิงเหยาก็เปิดปากเอ่ยสองสามประโยคอย่างที่หาได้ยาก แล้วถึงได้ปลีกตัวออกมาจากกลุ่มคน มาบำรุงให้ความอบอุ่นแก่ปณิธานกระบี่เพียงลำพัง

ต่งฮว่าฝูกับฟ่านต้าเช่อกำลังคุยกันว่ากลับไปถึงนครแล้วควรจะกินอะไร ดื่มอะไร ต่งฮว่าฝูบอกว่าครั้งนี้เจ้าฟ่านต้าเช่อแสดงออกได้ไม่เลวเลย ควรจะซื้อเหล้าภูเขาชิงเสินมาดื่มฉลองกันสักกา

เฉินซื่อพลันเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้น่าจะมีผู้ฝึกกระบี่ทรยศคนหนึ่งจ่ายค่าตอบแทนด้วยการทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองเพื่อส่งข่าวไปแจ้งแก่เผ่าปีศาจอย่างลับๆ”

เป็นคำพูดที่ชวนให้เสียบรรยากาศอย่างถึงที่สุด

นี่ก็น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พอเฉินซื่อออกมาจากตระกูลเมื่อไหร่ก็จะต้องเจอกับปัญหา อยู่ดีไม่ว่าดีก็ไปสร้างศัตรูอยู่หลายครา

เพียงแต่ว่าพวกหนิงเหยากลับไม่มีสีหน้าที่ผิดปกติใดๆ

“ฝนจะตก สตรีจะออกเรือน ร้านจะหาเงิน ใครจะขวางได้อยู่”

ต่งฮว่าฝูหันหน้ามาเอ่ย “เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป จะดีจะชั่วก็จ่ายค่าตอบแทนเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าวันหน้าบัณฑิตของทักษินาตยทวีปอย่างพวกเจ้าจะกล้าเอาชีวิตครึ่งหนึ่งมาจ่ายเป็นค่าตอบแทนเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าบัณฑิตทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกตน มีความรู้ไม่น้อย ก็แค่ทนรับกับความเจ็บปวดไม่ค่อยได้ มีประโยคหนึ่งเอ่ยว่าอะไรแล้วนะ ในบ้านไม่มีมีด หลังบ้านไม่มีบ่อน้ำ ผูกคอตายสภาพศพไม่น่ามอง เสาระเบียงก็แข็งเกินไป น้ำก็เย็นเกินไป?”

ฉินเจิ้งซิวขมวดคิ้ว

เฉินซื่อกลับคลี่ยิ้ม “มีคำกล่าวเช่นนี้อยู่จริง ช่วยไม่ได้ บัณฑิตในใต้หล้าไพศาลมีเยอะยิ่งนัก คนดีคนเลว ไม่ว่าคนแบบใดก็ล้วนมีหมด”

ต่งฮว่าฝูชำเลืองตามองบัณฑิตหนุ่มอีกสองสามที แล้วพยักหน้าให้ “ถือว่าเจ้าเป็นคนพูดง่ายอยู่เหมือนกัน คราวหน้าเลี้ยงเหล้าข้าด้วย”

เฉินซื่อรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงยิ้มถามว่า “ไม่ใช่เจ้าที่ควรต้องเลี้ยงเหล้าข้าหรอกหรือ?”

ต่งฮว่าฝูหัวเราะ “ต้าเช่ออ่า”

ฟ่านต้าเช่อรีบพูดอย่างจนใจทันที “แม้แต่เถ้าแก่รองก็ยังทำให้ต่งถ่านดำควักเงินไม่ได้”

ฉินเจิ้งซิวหันหน้าไปมอง มีคนเดินมาสองคน คนหนึ่งคือคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมของหอภูษา พกกระบี่ยาวของหอกระบี่ สีหน้าซีดขาว มองดูเหมือนพวกคนขี้โรคที่ไร้พลังการต่อสู้ แต่เพราะมีหลิวเสี้ยนหยางเป็นสาเหตุ ฉินเจิ้งซิวจึงรู้ว่าคนผู้นี้ก็คือเฉินผิงอันแห่งหลงเฉวียนต้าหลีแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้ยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่ง คือศิษย์น้องเล็กของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว ก่อนหน้านี้หลิวเสี้ยนหยางออกกระบี่อยู่ติดกับเฉินผิงอัน ทำให้ฉินเจิ้งซิวได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่ หลิวเสี้ยนหยางช่างอำพรางฝีมือได้ลึกล้ำยิ่งนัก ต่อให้เป็นเฉินซื่อที่สนิทกับหลิวเสี้ยนหยางมากก็เพิ่งจะรู้เป็นครั้งแรกว่าหลิวเสี้ยนหยางคือผู้ฝึกกระบี่

เฉินผิงอันยิ้มพลางประสานมือคารวะ “คารวะวิญญูชนและนักปราชญ์”

ฉินเจิ้งซิวและเฉินซื่อก็ประสานมือคารวะกลับคืน

ต่งฮว่าฝูพึมพำว่า “ลูกศิษย์สายหย่าเซิ่งมาเจอกับลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง ต่อให้ไม่ตีกันก็ควรจะเถียงกันสักหน่อยสิ”

หนิงเหยาลุกขึ้น เอ่ยว่า “กลับเถอะ”

เฉินผิงอันเรียกเรือยันต์ออกมาแล้วเดินขึ้นเรือ

ฉินเจิ้งซิวกับเฉินซื่อปฏิเสธคำเชิญของเฉินผิงอันอย่างละมุนละม่อม บอกว่าจะเดินเล่นอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกสักหน่อย

เรือยันต์มุ่งหน้าไปทางเหนือ

บนเรือนอกจากเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่

เฉินผิงอันกับกวอจู๋จิ่วที่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งออกแรงพายเรือเต็มที่

เฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วก็ช่วยออกแรงอยู่อีกฝั่งหนึ่งเหมือนกัน

ต่งฮว่าฝูส่ายหน้า “น่าอายจริงๆ”

ฟ่านต้าเช่อเห็นด้วยอย่างยิ่ง