บทที่ 624.3 หลอมกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง ฉินเจิ้งซิวมองมาเห็นภาพนี้

บนเรือลำนั้น นอกจากเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับไม่มีใครขี่กระบี่

เฉินซื่อยิ้มกล่าว “หลิวเสี้ยนหยางมักจะมาคุยโวให้ข้าฟังเป็นประจำ บอกว่าเฉินผิงอันของบ้านเกิดเขานั้นฉลาดแค่ไหน เรียนรู้อะไรเร็วแค่ไหน นอกจากเงียบขรึมเป็นน้ำเต้าตัน ไม่ค่อยชอบพูดไปสักหน่อยแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีข้อเสียอะไรเลย ช่วงแรกเริ่มสุดเขายังพูดจาน่าเชื่อถือ ตบอกรับรองกับข้า บอกว่าเฉินผิงอันจะต้องเป็นช่างเผาเครื่องปั้นที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดในใต้หล้า ภายหลังหลิวเสี้ยนหยางกลับไม่พูดถึงเรื่องการเผาเครื่องปั้นของเตามังกรอะไรนั่นแล้ว”

ฉินเจิ้งซิวเอ่ย “คงเป็นเพราะแม้แต่หลิวเสี้ยนหยางเองก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เฉินผิงอันจะกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านอาจารย์เหวินเซิ่ง”

เฉินซื่อมองไกลไปยังเรือยันต์ลำนั้น “คาดว่าเฉินผิงอันเองก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าหลิวเสี้ยนหยางจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่”

แล้วเฉินซื่อก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “พี่สาวของข้าเคยบอกว่า ถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปเป็นสถานที่ที่มากไปด้วยผู้คนมีพรสวรรค์ คือสถานที่ยอดเยี่ยมที่ฮวงจุ้ยดีงามแห่งหนึ่ง”

……

ในกระโจมเจี่ยเซิน

ผู้ฝึกกระบี่อวี่ซื่อเดินเข้ามาด้านใน นอกจากหลีเจินแล้ว เส้นสายตาของทุกคนล้วนพากันมารวมอยู่ที่เขา

เด็กหนุ่มมู่จีถาม “เป็นอย่างไร?”

อวี่ซื่อยิ้มกล่าว “เจ้าตัวดีนั่น ข้ากล้ายืนยันว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ดำรงตนอยู่ในความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมอันยิ่งใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าเวทกระบี่ของเขาช่างลี้ลับมหัศจรรย์นัก”

กล่าวมาถึงตรงนี้ อวี่ซื่อก็ยกมือขึ้น กลิ่นคาวเลือดจางๆ พลันลอยมา “เห็นหรือไม่ ชุดคลุมอาคมไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย”

แล้วอวี่ซื่อก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น ที่แท้บนข้อมือที่ห่อหุ้มไว้ด้วยหน้าหนังสือสีทองหลายแผ่นก็เปรอะโชกไปด้วยเลือด เขาพูดอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “โชคดีที่พอจะมีของป้องกันตัว ไม่อย่างนั้นต่อให้ไม่ตาย ก็คงต้องถูกปณิธานกระบี่ที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็นของคนผู้นี้ถลกหนังออกไปชั้นหนึ่งเป็นแน่”

มู่จีถาม “หลิวเสี้ยนหยางออกกระบี่อย่างไร?”

อวี่ซื่อส่ายหน้า “ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายออกกระบี่อย่างไร เงียบเชียบไร้เสียง อยู่ดีๆ ก็พุ่งมา…ราวกับความรู้สึกขนลุกขนชันยามที่ถูกพวกผู้อาวุโสปรายตามอง”

มู่จีขมวดคิ้ว “เป็นเพราะปราณกระบี่ของหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นเร็วเกินไป เร็วจนสามารถทะลุกระแสน้ำแห่งกาลเวลาโดยไม่เกิดริ้วคลื่นแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่นฉีโซ่วที่เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขต กระบี่บินเล่มที่มีชื่อว่าซินเสียนของเขา มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก็คือสามารถลดระดับการถ่วงรั้งให้หยุดชะงักตามธรรมชาติของแม่น้ำแห่งกาลเวลาให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ดังนั้นจึงมีความเร็วสูงมาก หรือจะบอกว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวเสี้ยนหยางประหลาดกว่านี้เสียอีก?”

หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยว่า “สำนักกระบี่ไท่ฮุยของหานไหวจื่อเซียนกระบี่ใหญ่แห่งอุตรกุรุทวีปมีเซียนกระบี่คนใหม่นามว่าหลิวจิ่งหลง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาลี้ลับและพิสดารอย่างถึงขีดสุด แม้จะไม่รู้ชื่อ แต่ก็ถูกขนานนามว่า ‘ใกล้ชิดมรรคา’”

อวี่ซื่อยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างแรง เขาสะบัดแขนข้างนั้น รู้สึกเสียดายยันต์สีทองหลายแผ่นที่ถูกทำลายไปไม่น้อย “ขอบเขตน่าจะไม่ได้สูงขนาดนั้น ต้องไม่ใช่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน เพียงแค่เวทกระบี่แปลกประหลาดเกินไป”

กระบี่บินเล่มหนึ่งส่งข่าวมาที่กระโจมเจี่ยเซิน

อ่านเนื้อหาของจดหมายลับจบ มู่จีก็คลี่ยิ้ม

ทุกคนในกระโจมเจี่ยเซินต่างก็ยิ้มตาม

มู่จีลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกมา ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน วาดวงกลมวงหนึ่ง

ในกระโจมใหญ่พลันปรากฏม้วนภาพยาวสูงประมาณจั้งกว่าลอยตัวอยู่กลางอากาศ

มู่จีเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ทางฝั่งของกระโจมกุ่ยเว่ยได้ส่งรายงานข่าวไปให้กับกระโจมทัพทุกแห่งแล้ว นี่คือภาพการกระจายตัวของกองกำลังทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งงานคร่าวๆ ของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทุกท่าน หรือตำแหน่งการยืนบางส่วนที่ค่อนข้างจะแน่นอน ในจดหมายล้วนมีบันทึกและระบุเอาไว้ นอกจากนี้พวกผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่พลังพิฆาตมิอาจดูแคลน สามารถเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่งได้เพียงลำพัง บวกกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทุกคนที่พลังพิฆาตค่อนข้างสูง ล้วนมีบันทึกไว้อย่างละเอียดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์อย่างพวกหนิงเหยา ขอบเขตประตูมังกร ขอบเขตชมมหาสมุทรบางส่วนก็มีการระบุตำแหน่งแยกออกมาต่างหาก”

มู่จีเริ่มรายงานชื่อของเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่ที่สำคัญ รวมไปถึงตำแหน่งการออกกระบี่ หน้าที่การพิทักษ์เมืองอย่างเป็นรูปธรรมของพวกเขา ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มพูดชื่อหนึ่ง สตรีคนนั้นก็จะเขียนชื่อตัวเล็กๆ ลงไปบนม้วนภาพ ยังดีที่คนในกระโจมเจี่ยเซินล้วนสายตาดีเยี่ยม ต่อให้ขอบเขตไม่สูง แต่ขอแค่เพ่งสายตามองม้วนภาพที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดนี้ ต่อให้ตัวอักษรจะเล็กแค่ไหนก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ชื่อบนม้วนภาพแบ่งออกเป็นสามสีได้แก่สีทอง สีชาด สีหมึก โดยแบ่งเป็นเขียนชื่อของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดและผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางซึ่งรวมโอสถทองเป็นหนึ่งในนั้น

มู่จีพูดเน้นย้ำว่า “สามารถมีชื่ออยู่บนนี้ได้ ต่อให้เป็นหมึกสีดำที่มองดูเหมือนไม่สะดุดตา แต่ยิ่งขอบเขตต่ำก็ยิ่งต้องให้พวกเราหาโอกาสสังหารให้ได้มากเท่านั้น”

หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะใช้น้ำหมึกสีทองวงชื่อพิเศษพวกนี้เอาไว้โดยเฉพาะดีไหม?”

มู่จีพยักหน้ารับ “ได้สิ ยกตัวอย่างเช่นกวอจู๋จิ่วบุตรสาวของเซียนกระบี่กวอเจี้ย เกาโย่วชิงน้องสาวของเกาเหย่โหว”

บนม้วนภาพ

มีสิบคนสูงสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่

นอกจากนี้ก็มีเซียนกระบี่ใหญ่แต่ละท่านซึ่งรวมถึงเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิง เหยาเหลียนอวิ๋นเจ้าประมุขสกุลเหยา หานไหวจื่อแห่งอุตรกุรุทวีป หลี่ถุ่ยมี่ผู้ถวายงานของตระกูลเยี่ยน

ในอดีตการโจมตีเมืองแต่ละครั้ง ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดคำนวณรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ เพียงแต่ว่าคำนวณแล้ว ทว่ากลับตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน

แต่ครั้งนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีกระโจมแม่ทัพหกสิบหลังซึ่งรวมถึงกระโจมเจี่ยเซินเป็นหนึ่งในนั้น ผู้ฝึกตนเกือบห้าพันคนมีทั้งคนที่รับผิดชอบดูแลสถานการณ์รบในพื้นที่ของตัวเองเฉกเช่นกระโจมเจี่ยเซิน แต่กระโจมที่มากกว่านั้นกลับยังต้องคอยดูแลเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งควบคู่ไปด้วย

นี่ก็เพราะว่ากระโจมเจี่ยเซินค่อนข้างจะพิเศษ เพราะมีตัวอ่อนเซียนกระบี่อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแบ่งสมาธิไปดูแลเรื่องอื่น หลีเจินแห่งภูเขาทัวเยว่ เป้ยเชี่ย ทุนทาน อวี่ซื่อ ผู้ฝึกกระบี่หญิงสาวหลิวป๋าย เมล็ดพันธ์ร้อยเซียนกระบี่ที่ควานหามาจากตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ในกระโจมเจี่ยเซินแห่งเดียวก็มีมากถึงห้าคน นี่ก็มากจนมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

กระโจมอื่นๆ จะต้องดูแลเรื่องอื่นด้วย ยกตัวอย่างเช่นกระโจมกุ่ยเว่ยที่จำเป็นต้องคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นกองกำลังของกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นพิเศษ รวมไปถึงคอยบันทึกการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ทุกท่านบนหัวกำแพงเมือง เหตุใดต้องออกกระบี่ ออกกระบี่ใส่ใคร แรงที่ใช้ในการออกกระบี่ พลังพิฆาตเป็นอย่างไร ฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหรือไม่ รวมไปถึงข้อที่เป็นกุญแจสำคัญและถูกเก็บพรางเอาไว้ นั่นก็คือต้องวิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายจงใจออมแรงหรือไม่ หากใช่ก็วงกลมเอาไว้ ดูว่าการแสดงออกในสนามรบครั้งหน้าจะยังคง ‘เกรงใจ’ แบบนี้อีกหรือไม่ หากคำตอบคือใช่ และแน่ใจในความจริงใจของอีกฝ่ายแล้ว ก็จะต้องปรับลดกองกำลังทหารของกระโจมทัพที่เกี่ยวข้องให้ลดน้อยลง การโจมตีต้องไม่รุนแรงมากเกินไป แต่ก็ห้ามเปิดเผยร่องรอยให้เห็นชัดเจนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหากทั้งสองฝ่ายที่คุมเชิงกันเกิดใจตรงกัน แล้วกำแพงเมืองปราณกระบี่เกิดมองออก ด้วยนิสัยของเฉินชิงตู จุดจบของเซียนกระบี่ท่านนั้นต้องไม่มีทางดีได้อย่างแน่นอน เมื่อถูกเชือดไก่ให้ลิงดูเช่นนี้ เซียนกระบี่ที่อยู่ที่นั่นจะยังกล้าแสดงความเป็นมิตรอย่างลับๆ อีกได้อย่างไร

และอย่างกระโจมซินเหม่าก็จะรับผิดชอบคอยโยกย้ายกองกำลังของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งหมดในกองทัพฝ่ายตัวเอง ดึงตัวไปให้สนามรบของกองทัพอื่น

กระโจมเกิงอิ๋นดูแลเรื่องเสบียงที่สำคัญสำหรับกองทัพ กระโจมอี่เว่ยดูแลเรื่องกองหนุน จำเป็นต้องชักนำให้พวกเขาไปยังตำแหน่งที่แน่นอนซึ่งอยู่ด้านหลังของสนามรบ ตั้งค่ายขึ้นมารอให้พร้อมสำหรับการลงสนามรบทุกเมื่อ อีกทั้งจัดหาเส้นทางในการบุกโจมตีอย่างเหมาะสม

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดนอกจากปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดของใต้หล้าไพศาลจำนวนเพียงหยิบมือแค่ไม่กี่ท่านแล้ว ดูเหมือนว่าคนอื่นจะยังมาไม่เข้าร่วมทัพ นี่ก็เพราะนอกจากที่สนามรบในเวลานี้ยังไม่ต้องการให้ยอดฝีมือเหล่านี้ลงมือ แท้จริงแล้วพวกเขาเองก็ยุ่งมากเหมือนกัน ดึงเอากองกำลังครึ่งหนึ่งของใต้หล้ามาโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เบื้องหลังสนามรบ กองกำลังที่แยกตัวเป็นอิสระซึ่งพยศไม่ขึ้นกับใครจำนวนมากนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยินดียอมเชื่อฟังคำสั่งอย่างง่ายดาย บ้างก็เป็นปีศาจใหญ่ที่เรือนกายแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ซึ่งแม้แต่การสังเกตการณ์เพื่อประเมินสถานการณ์ก็ยังไม่เข้าใจ นี่จึงจำเป็นต้องกำราบเอาไว้ก่อน และยังมีอีกจำนวนมากที่ภายนอกแสดงออกว่าเชื่อฟังคำสั่ง แต่กลับแอบซ่อนกำลังทรัพย์ส่วนตัวเอาไว้ และยังมีบางส่วนที่ยุ่งยากที่สุด นั่นคือพวกที่จุดไฟในเรือนหลัง สร้างปัญหาความขัดแย้งภายในแตกคอกันเอง และยิ่งมีเซียนกระบี่อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ทำตัวเป็นเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ยินดีจะออกกระบี่อย่างองอาจผึ่งพาย แต่กลับทำตัวเป็นนักฆ่าที่เสี่ยงอันตรายแทน คนเหล่านี้มักจะมาลอบฆ่าพวกผู้นำที่นำทัพและสกัดขวางกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่เดินทางขึ้นเหนือโดยเฉพาะ

หากเซียนกระบี่ท่านหนึ่งยืนกรานว่าจะฆ่าคนให้ได้ก่อนแล้วค่อยไป ก็คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า

เอาชนะผู้ฝึกตนคนหนึ่งกับสังหารผู้ฝึกตนคนหนึ่งนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว

เหตุใดทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเฉินผิงอันกำลังตกปลาล่อเหยื่อ กระโจมเจี่ยเซินก็ยังต้องการสังหารคนผู้นี้? นั่นก็เพราะการที่เฉินผิงอันฆ่าหลีเจินได้ ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เฉินผิงอันชนะเท่านั้น บุคคลที่หากปล่อยให้เติบโตอย่างแท้จริงจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ร้ายแรงเช่นนี้ มีค่าพอที่จะให้กระโจมเจี่ยเซินนำผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งไปเดิมพัน เพียงแต่ว่าการรายงานข่าวของตอนนั้นขาดหายไป ไม่สามารถแน่ใจในวิธีการออกกระบี่และพลังพิฆาตน้อยใหญ่ของเซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีปผู้นั้นได้ ดังนั้นกระโจมเจี่ยเซินจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล มู่จีรับเอาความบกพร่องต่อหน้าที่ส่วนนี้มาไว้ที่ตัวเองอย่างไม่ลังเล ต่อให้จะมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะต้องเสียโอกาสที่จะได้รับการมอบชื่อและการบันทึกลงในผังวงศ์สกุลเพราะเรื่องนี้ แต่มู่จีก็ยังไม่มีความเสียใจใดๆ

ทำสงคราม ต้องมีคนตาย คนตายไปเยอะมาก ไม่ใช่การเล่นพ่อแม่ลูก ขอแค่เอาชนะได้ ทุกอย่างล้วนพูดได้ง่าย สามารถหาโอกาสชดเชยได้อย่างง่ายดาย แต่หากสงครามครั้งนี้ต้องพ่ายแพ้ วันหน้าใครจะได้เป็นเจ้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็บอกได้ยากแล้ว

อาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คาดว่าน่าจะใหญ่กว่าใต้หล้าไพศาลไปอีกสองอุตรกุรุทวีป

เมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลที่ร่ำรวยอุดมสมบูรณ์แล้ว ในบางระดับใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เหมือนชั้นวางที่ว่างเปล่า ผืนแผ่นดินแร้นแค้น ทรัพยากรขาดแคลน

แม้จะบอกว่าไม่ขาดเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัว แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันแล้วก็ถือว่าด้อยกว่าเยอะมาก

แต่ความแตกต่างมหาศาลนี้ก็เป็นแค่การเอาใต้หล้าหนึ่งมาเปรียบเทียบกับอีกใต้หล้าหนึ่งเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่เผ่าปีศาจยังมีการขยายเผ่าพันธุ์ แตกกิ่งก้านสาขาไปได้อย่างรวดเร็ว

บวกกับที่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจก็แทบไม่มีพันธนาการด้านคุณธรรมจริยธรรม

แล้วก็มีราชวงศ์ที่ใหญ่มากบางส่วนยึดครองพื้นที่อิทธิพลที่กว้างขวาง รวมไปถึงมีผืนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์และพื้นที่วิเศษฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นซึ่งทำให้กองกำลังอื่นๆ น้ำลายสออยากครอบครอง ว่ากันว่าไม่แพ้ให้กับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของใต้หล้าไพศาลและใต้หล้ามืดสลัวเลย

อวี่ซื่อกรอกเหล้าชั้นเลวเข้าปากหนึ่งอึก ก่อนจะเช็ดปาก ยิ้มเอ่ยว่า “เฉินผิงอันผู้นั้น ตอนที่ข้าขึ้นไปบนสนามรบก็เหลือบมองอยู่หลายที ก็เหมือนอย่างที่ทุนทานบอก เขาเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก คิดจะจับคู่เข่นฆ่ากับเขา เจ้านั่นก็เป็นคนที่ตอแยได้ยากอย่างถึงที่สุดเลยล่ะ”

หลีเจินเอ่ย “อีกฝ่ายขอบเขตถดถอย บวกกับที่เดิมทีก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก่อนกำเนิด การลงมือในเวลานี้แน่นอนว่าย่อมเป็นการฝืนตัวเอง สามารถเฝ้าพิทักษ์อาณาเขตแถบนั้นของเขาได้ต้องยกคุณความชอบให้กับความช่วยเหลือจากฉีโซ่วและหลิวเสี้ยนหยาง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ การวางแผนคิดคำนวณพลังการสังหารของกระบี่บินตัวเอง คำนวณพลังการต่อสู้ของฝ่ายคู่ต่อสู้ ให้ความสำคัญกับรายละเอียด เผาผลาญพลังของศัตรู คือเรื่องที่เขาถนัดที่สุด”

สตรีผู้นั้นเอ่ยว่า “รับมือกับไอ้หมอนี่จะต้องสร้างสถานการณ์ของการบดขยี้ขึ้นมาให้จงได้”

มู่จีถาม “ถ้าอย่างนั้นก็ลองล้อมสังหารดูดีไหม? หลีเจินเจ้าเป็นฝ่ายโจมตีหลัก อวี่ซื่อช่วยคุมท้ายขบวน ทุนทานรับผิดชอบคอยเก็บส่วนที่ตกหล่น ส่วนจะทำได้หรือไม่ ก็ลองพยายามดูก่อนค่อยว่ากัน”

เป้ยเชี่ยพลันเอ่ยว่า “เปลี่ยนหลีเจินมาเป็นข้า”

หลีเจินสีหน้ามืดทะมึน

เป้ยเชี่ยเอ่ย “เป็นความต้องการของอาจารย์ข้า”

สีหน้าของหลีเจินถึงได้ดีขึ้นมาบ้าง

ในบรรดาปีศาจใหญ่ที่อยู่บนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ต่อให้จะเป็นพวกผู้เผด็จการที่ขึ้นชื่ออย่างป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่โครงกระดูกขาว และเจ้าของแม่น้ำเย่ลั่วก็ยังโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสีย

มีเพียงอาจารย์ของเป้ยเชี่ยเท่านั้นที่ถือว่าเป็นบุคคลใหญ่ที่พอจะพบเจอได้ง่าย เพราะมักจะออกเดินทางไปทั่วทิศอยู่ตลอดทั้งปี ไม่มีสำนัก ไม่มีที่พัก แต่กลับมีคำวิจารณ์เกี่ยวกับเขาน้อยมาก อย่างมากสุดก็แค่บอกว่าคนผู้นี้ขอบเขตสูงเสียเปล่า ดันไม่ยินดีที่จะออกแรงเพื่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

ต่างก็พูดกันว่าศึกสิบสามในปีนั้น หากเขายินดีออกรบ ก็คงไม่มีเรื่องยุ่งยากอย่างสงครามใหญ่โจมตีเมืองอีกสองครั้งที่ตามมาในภายหลังอีกแล้ว

แต่เขากลับปฏิเสธไปโดยตรง

มีปีศาจใหญ่สองตนที่ละเมิดคำสาบานจึงกายดับมรรคาสลาย ทว่าบรรดาลูกศิษย์ในสำนักของพวกเขาที่เสียสติกลับไปหาเขาเพื่อแก้แค้น

ผลคือเขาไม่แม้แต่จะออกกระบี่ เพียงปล่อยหมัดง่ายๆ ก็ต่อยให้เผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบที่เป็นผู้นำตาย ว่ากันว่าแค่หมัดเดียวเท่านั้นจริงๆ

ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ล้วนถูกเป้ยเชี่ยผู้ฝึกกระบี่ลูกผสมที่ตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กหนุ่มออกกระบี่ไล่ฆ่าไปทีละคน หลงเหลือแค่มดไม่กี่ตัวที่โชคดีมีชีวิตรอดหนีกลับสำนักใครสำนักมัน ช่วยนำความไปบอก จากนั้นก็ต้องรีบกลับไปขออภัย สุดท้ายผู้ติดตามซึ่งเป็นเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบสองตนที่ติดตามอยู่ข้างสองอาจารย์และศิษย์มานานหลายปีก็ช่วยป้อนกระบี่ให้กับเป้ยเชี่ย