บทที่ 1267 ภารกิจขั้นที่สอง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,267 ภารกิจขั้นที่สอง

‘การล่าแบบไร้ขีดจำกัดได้เริ่มขึ้นแล้ว’

‘กฎการแข่งขันแบบกลุ่มได้ถูกยุติลง…’

‘ผู้เข้าแข่งขันทุกคนสามารถเลือกทำภารกิจได้สามรูปแบบดังต่อไปนี้…’

‘ภารกิจรูปแบบที่ 1 : ขโมยรูปสลักเทวะมาจากผู้เข้าแข่งขันคนอื่น รูปสลักทุกตัวที่สามารถขโมยมาได้ จะมีมูลค่าเท่ากับสิบคะแนน’

‘ภารกิจรูปแบบที่ 2 : ทุกครั้งที่สามารถสังหารผู้เข้าแข่งขันคนอื่นได้สำเร็จ ผู้เข้าแข่งขันคนนั้นจะได้รับหนึ่งร้อยคะแนน’

‘ภารกิจรูปแบบที่ 3 : ทุกครั้งที่สามารถเอาชนะผู้เข้าแข่งขันคนอื่นได้สำเร็จ ผู้เข้าแข่งขันคนนั้นจะได้รับสิบคะแนน’

‘หลังจากครบสิบสองชั่วยามให้ถือเป็นสิ้นสุดการแข่งขัน ผู้ที่ทำคะแนนได้เพียงพอจะถือว่าผ่านการทดสอบและได้กลับออกไปจากทะเลทรายทองคำ ส่วนผู้ที่มีคะแนนไม่มากพอ ก็จะต้องเสียชีวิตและถูกจองจำวิญญาณอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล’

หลังจากอ่านข้อมูลของภารกิจที่สองจบลง หัวสมองของหลินเป่ยเฉินก็หมุนเร็วจี๋

นี่หรือคือภารกิจขั้นที่สอง?

ยุยงปลุกปั่นให้ผู้เข้าแข่งขันต่อสู้กันเองเนี่ยนะ

ไม่ว่าจะขโมยรูปสลักเทวะหรือเอาชนะอีกฝ่ายได้สำเร็จ ก็จะได้เพียงสิบคะแนนเท่านั้น

แต่หากสามารถสังหารอีกฝ่ายได้สำเร็จ ก็จะได้ถึงหนึ่งร้อยคะแนน

ช่องว่างระหว่างคะแนนมีมากเหลือเกิน

ชัดเจนแล้วว่าสภาเทพเจ้าต้องการให้บรรดาผู้เข้าแข่งขันฆ่าฟันกันเองอย่างอำมหิตยิ่งนัก

นอกจากนี้ ในข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ได้บอกอีกว่าต้องเก็บคะแนนเท่าไหร่จึงจะถือว่า ‘มีคะแนนเพียงพอ’ ให้รอดชีวิตกลับออกไปจากทะเลทรายทองคำ

นั่นหมายความว่าเหล่าผู้เข้าแข่งขันจำเป็นต้องรวบรวมคะแนนให้ได้เยอะมากที่สุดเท่าที่ตนเองจะทำได้ ก่อนที่เวลาในการทำภารกิจจะหมดลงในอีกสิบสองชั่วยามข้างหน้า

มิฉะนั้นแล้ว หากมีคะแนนไม่เพียงพอ พวกเขาก็ต้องตายกลายเป็นผีเฝ้าทะเลทรายตลอดไป

นับเป็นกฎกติกาที่โหดร้ายและเลือดเย็นเหลือเกิน

จะมีผู้เข้าแข่งขันสักกี่คนกันที่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้?

นี่หรือคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของการแข่งขัน?

การบังคับให้บรรดาผู้เข้าแข่งขันฆ่าฟันกันเองจะช่วยคัดเลือกให้ผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งและอำมหิตมีชีวิตอยู่รอดต่อไป

แต่ความสำเร็จที่มีเลือดเนื้อและกระดูกของผู้อื่นเป็นขั้นบันไดให้เหยียบย่ำ จะไม่ทำให้ผู้เข้าแข่งขันเหล่านั้นกลายเป็นเทพเจ้าผู้โหดร้ายในอนาคตหรอกหรือ?

ในเวลาเดียวกันนี้

เมื่อนักบวชสาวเซียงเหยียนอ่านข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันจบลง สีหน้าของนางก็ปรากฏความลำบากใจเล็กน้อย แต่แล้วนักบวชสาวก็กลับมาเยือกเย็นได้ดังเดิมในเวลาอันรวดเร็ว

อวิ๋นอู่เหินและพรรคพวกมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความตื่นกลัวปรากฏให้เห็นออกมาอย่างเด่นชัด

แต่กลับมีจิตสังหารแผ่ออกมาจากร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ภารกิจที่สองในการแข่งขันรอบนี้มีปัญหาใหญ่อยู่หนึ่งข้อ

จนกระทั่งถึงขณะนี้ รูปสลักเทวะที่พวกเขามีอยู่ทั้งหมดล้วนตกไปอยู่ในมือของเจี๋ยนเซียวเหยา พวกเขาเฝ้ามองเจี๋ยนเซียวเหยาเก็บรูปสลักเหล่านั้นไปถึงหกสิบสี่ตัว นั่นทำให้บรรดาพวกของอวิ๋นอู่เหินจึงยังไม่มีรูปสลักติดตัวเลยแม้แต่คนเดียว

อวิ๋นอู่เหินอาศัยจังหวะนี้พยายามปั่นป่วนสถานการณ์ขึ้นมาทันที

“หัวหน้ากลุ่มขอรับ ภารกิจใหม่ถูกประกาศออกมาแล้ว ข้าน้อยอยากให้พวกเราแบ่งปันรูปสลักเทวะกันอย่างเท่าเทียม”

อวิ๋นอู่เหินหยุดนิ่งใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “รูปสลักเทวะทั้งหกสิบสี่ตัวนั้น ควรเป็นของพวกเราทุกคน”

นักบวชสาวเซียงเหยียนจ้องมองชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยราวกับกำลังจ้องมองตัวโง่งมผู้หนึ่ง

อวิ๋นอู่เหินรับทราบทันทีว่าตนเองพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป แต่เขาก็กัดฟันกรอดและกล่าวต่อ “ท่านหัวหน้ากลุ่มไม่เอาก็ไม่เป็นไร แต่ข้าน้อยทั้งเจ็ดคนขอเรียกร้องให้พวกเราได้รับรูปสลักเทวะในส่วนที่ควรจะเป็นของพวกเราขอรับ ข้าน้อยไม่ได้ขออันใดมากเลย เพียงแบ่งปันรูปสลักเหล่านั้นมาให้พวกข้าน้อยคนละสี่ตัวก็พอแล้ว”

“ใช่ขอรับ พวกเราเองก็เดินทางมาทั้งวันเช่นกัน”

“ในเมื่อพวกเราเป็นผู้เข้าแข่งขันกลุ่มเดียวกัน รูปสลักทั้งหกสิบสี่ตัวนั้นต่างก็เป็นผลของความพยายามจากพวกเราทุกคน เจี๋ยนเซียวเหยาคิดจะเก็บครองเอาไว้เพียงผู้เดียว ถือว่าละโมบโลภมากเกินไปแล้ว”

ว่านหยวนและคนอื่น ๆ รีบส่งเสียงสนับสนุน

นักบวชสาวเซียงเหยียนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทุกคนช่วยกันค้นหาอย่างนั้นหรือ? หากไม่ใช่เพราะกติกาในภารกิจแรกบังคับเอาไว้ ข้าเกรงว่าเจี๋ยนเซียวเหยาคงทิ้งพวกเราไปตั้งแต่แรก พวกเจ้ากล้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าช่วยกันค้นหา อาศัยเพียงความสามารถของพวกเจ้าตามลำพัง ยังจะสามารถอยู่รอดมาจนถึงป่านนี้ได้หรือไม่? อาศัยเพียงความสามารถของพวกเจ้า พวกเจ้าจะมีปัญญาสังหารสัตว์อสูรและทำคะแนนได้หนึ่งหมื่นแต้มหรือไม่? ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพวกเจ้าไปเอาความละโมบโลภมากเช่นนี้มาจากที่ใด?”

อวิ๋นอู่เหินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันตาเห็น “ท่านหัวหน้ากลุ่มขอรับ เช่นนี้ไม่ยุติธรรมเลย ท่านลำเอียงเข้าข้างเจี๋ยนเซียวเหยามากเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้รับล้วนเป็นเจ้าอ้วนทำงานหนักแทบทั้งสิ้น เจ้าอ้วนเป็นคนขุดดิน เจ้าอ้วนเป็นคนฆ่าสัตว์อสูร เจี๋ยนเซียวเหยาเพียงยืนชี้นิ้วออกคำสั่ง… หากมีผู้ใดสมควรได้รับรูปสลักเทวะเหล่านั้นมากที่สุด ก็ต้องเป็นเจ้าอ้วนแล้ว”

นักบวชสาวเซียงเหยียนหันหน้ามองไปยังทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่

นางคร้านที่จะพูดคุยกับพวกของอวิ๋นอู่เหินอีกต่อไป

หลินเป่ยเฉินยืนยกมือกอดอก เหม่อมองทะเลทรายไร้การเคลื่อนไหว ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าเด็กหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่

อวิ๋นอู่เหินยิ้มแห้งและหันไปมองหน้าเจ้าอ้วน ก่อนกล่าวว่า “น้องชาย เจ้าเป็นคนจิตใจดี เจ้าควรได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม พวกเราสมควรแบ่งปันรูปสลักเทวะอย่างเท่าเทียมกัน ใช่หรือไม่?”

“จริงด้วย พวกเราเป็นพวกเดียวกันนี่นา”

“เจ้าอ้วน เจ้าไม่รู้สึกหรือว่านี่ไม่ยุติธรรมเลย”

“เจ้าจะทนให้เขากดขี่ข่มเหงเช่นนี้ต่อไปไม่ได้นะ”

ว่านหยวนและคนอื่น ๆ ต่างก็จ้องมองไปที่เจ้าอ้วน พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเป่าหูให้เจ้าอ้วนเปลี่ยนใจ

เจ้าอ้วนมีสีหน้าลำบากใจ

แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว “ขะ… ขะ… ข้า… จะ… ชะ… ชะ… เชื่อฟังนายท่าน”

รอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นอู่เหินพร้อมด้วยลูกสมุนพลันสลายหายไปอย่างช้า ๆ

สุดท้าย เจ้าหน้ากากขาวนั่นก็สามารถล้างสมองเจ้าอ้วนได้โดยสมบูรณ์

นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินเก็บโทรศัพท์มือถือและเพิ่งจะรู้ว่ารอบตัวเกิดอะไรขึ้น

“การแข่งขันแบบกลุ่มยุติลงแล้ว พวกเจ้าไสหัวไปซะ”

เขาถลึงตามองพวกของอวิ๋นอู่เหินไม่ต่างจากจ้องมองตัวโง่งมหกคน “เพื่อเห็นแก่ความที่พวกเราเป็นสหายกลุ่มเดียวกัน ข้าจะไม่สังหารพวกเจ้าเพื่อเอาคะแนน พวกเจ้าจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่าได้กลับมาหาเรื่องรังควานข้าอีกก็แล้วกัน”

“เจ้า…”

ใบหน้าของอวิ๋นอู่เหินกระตุกด้วยความโกรธแค้น “เจ้าจะทำเช่นนี้จริงหรือ?”

“เจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่อีกหรือไม่?”

“เจ้านับเป็นตัวอะไร ตลอดเวลาได้แต่พึ่งพาเจ้าอ้วน?”

“ตัวเจ้ามีความสามารถอันใดกัน? เก่งจริงมาต่อสู้กับข้าตัวต่อตัวกล้าหรือไม่?”

บรรดาพวกของว่านหยวนส่งเสียงประท้วงด้วยความร้อนรน

“เจ้าอ้วน”

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าลูกน้องคนสนิทของตนเอง

เจ้าอ้วนพยักหน้า ก่อนจะควงแขนราวกับกังหันลม

พลั่ก!

ว่านหยวนเป็นคนแรกที่ลอยกระเด็นออกไป

ตัวคนกลิ้งกระเด็นไปหลายตลบ กว่าจะหยุดนิ่งได้สภาพก็ดูไม่จืดแล้ว

“พะ… พวกท่าน… ระ… รีบไป… มิเช่นนั้น…”

เจ้าอ้วนพยายามพูดตะกุกตะกัก

ความจริง เขาอยากจะสื่อสารให้พวกอวิ๋นอู่เหินและลูกสมุนได้เข้าใจว่า เจี๋ยนเซียวเหยามีพลังแข็งแกร่งเกินกว่าที่ผู้ใดคาดคิด เพราะสองวันก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นเจี๋ยนเซียวเหยาไล่ล่าฆ่าสัตว์อสูรในหุบผาอเวจีแดน 6 อย่างบ้าคลั่ง ทุกครั้งที่เจี๋ยนเซียวเหยาลงมือ ไม่ว่าสัตว์อสูรตนนั้นจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มหน้ากากขาวผู้นี้ก็สามารถจัดการได้อย่างไม่มีปัญหา

เจ้าอ้วนอยากจะย้ำเตือนให้พวกของอวิ๋นอู่เหินได้สำนึกว่า หากคุณชายหน้ากากขาวผู้นี้เอาจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกเขาก็คงถูกฆ่าตายไม่เหลือแม้แต่กระดูก

แต่ในสายตาของอวิ๋นอู่เหินกับลูกสมุน พวกเขาเข้าใจว่าเจ้าอ้วนกำลังพยายามข่มขู่

อวิ๋นอู่เหินเกือบจะระเบิดโทสะออกมา

แต่เมื่อนึกถึงแผนการเดิมของตนเอง ชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยก็สูดหายใจลึกและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เจ้าอ้วน ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวเขา เขาบังคับให้เจ้ามาทำร้ายพวกเรา ความจริงข้าไม่โกรธเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าจงรู้ว่าไว้ เขากำลังหลอกใช้เจ้าเป็นเครื่องมือ ในอีกไม่ช้าก็เร็ว เมื่อเจี๋ยนเซียวเหยาได้คะแนนตามที่ตนเองต้องการ เขาก็จะทิ้งเจ้าไปอย่างไม่ไยดี…”

“เจ้าจงรับฟังคำพูดจากอวิ๋นอู่เหินผู้นี้ไว้เถอะ ข้าคือพี่ชายของเจ้า ใช่แล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าประสบพบปัญหา เจ้าก็สามารถมาหาพวกเราได้ทุกเมื่อ และพวกเราจะต้อนรับเจ้าอย่างอบอุ่นแน่นอน”

กล่าวจบ อวิ๋นอู่เหินก็หันหน้ามองไปที่ว่านหยวนและบรรดาลิ่วล้อที่เหลืออยู่ “พวกเราไปกันเถอะ อย่าอยู่กับผู้คนที่เชื่อใจไม่ได้และไม่ซื่อสัตย์อย่างนี้อีกต่อไปเลย”