ตอนที่ 1251 เปิดฉากฝนโลหิตลมคาว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ทั่วลานเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง

การต่อสู้หนึ่งสิ้นสุดลงในชั่วพริบตา ตั้งแต่ต้นจนจบถัวเถิงถูกกำราบอย่างสมบูรณ์ ไร้แรงต้านสิ้นเชิง!

นี่สะท้านสะเทือนเกินไป ในหัวทุกคนว่างเปล่าไปชั่วขณะ

สี่ปีแล้ว พลังของผู้แข็งแกร่งทุกคนในที่นั้นต่างมีการเปลี่ยนแปลงรุดหน้า นี่ก็คือสาเหตุที่พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงกล้ายั่วยุหลินสวิน

เพียงแต่พวกเขากลับคิดไม่ถึง ว่าสี่ปีมานี้พลังต่อสู้ของหลินสวินก็จะเปลี่ยนไปจนต่างจากอดีตสิ้นเชิงแล้ว…

นี่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา!

ด้วยในความเข้าใจของทุกคน สี่ปีก่อนหลินสวินถูกกู่ฝอจื่อวางแผนจู่โจมจนตกลงไปใต้แม่น้ำนรก

สามารถรอดชีวิตมาได้ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงอ้าปากค้างยากจินตนาการแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าพลังต่อสู้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย

ในใจเจิ้นอวิ๋นเฟิงพลันเครียดขมึง เปิดปากกล่าว “พี่หลิน เจ้า…”

พรวด!

ไม่รอให้พูดจบ หลินสวินลงมือตัดหัวของถัวเถิง การกระทำหมดจดชัดเจน ก็เห็นโลหิตแดงสดร้อนฉ่ากลุ่มหนึ่งสาดกระจายออกมา

แม้แต่พลังจิตของถัวเถิงก็ไม่อาจหลบหนี ถูกกวาดล้างสังหารสิ้น!

บรรยากาศในที่นั้นเงียบสงัดทันที ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉาอย่างจี้ซิงเหยา หรือผู้แข็งแกร่งแดนนรกอย่างเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็ล้วนเบิกตากว้าง ในใจสั่นสะท้าน

ถัวเถิงนั่นเป็นถึงขุนพลคนหนึ่ง เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่มีปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านสาม! บอกว่าจะฆ่า… ก็ฆ่าเลยรึ

เพียงพริบตาทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี

“ที่แท้สี่ปีที่หายไปเจ้าก็ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสามแล้ว มิน่าถึงกล้ามั่นใจและไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้”

ในบรรยากาศที่เงียบสงัดเจิ้นอวิ๋นเฟิงสีหน้าอึมครึม แววตาไหววูบเอ่ยปากเย็นชา ในน้ำเสียงมีความกระจ่างแจ้ง ตกใจ และหวาดกลัว

อมตะเคราะห์ด่านสาม!

เวลานี้คนไม่น้อยถึงค่อยตอบสนอง สูดหายใจเย็นอย่างอดไม่อยู่ เทพมารหลินนี่ไม่เพียงแต่ตายแล้วฟื้น พลังต่อสู้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงราวถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูกด้วย!

เพียงพริบตายามทุกคนมองไปยังหลินสวินอีกครั้ง สายตาก็เปลี่ยนไปแล้ว

ผู้แข็งแกร่งแดนนรกต่างตระหนกระคนขุ่นเคือง

แต่พวกจี้ซิงเหยากลับเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความกังวลทั้งหมดในใจถูกความยินดียากบรรยายเข้ามาแทน

ในที่นั้นขุนพลอย่างถัวเถิงถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในขุมอำนาจแดนนรกแล้ว

แต่เมื่ออยู่ในมือหลินสวิน ถัวเถิงกลับประหนึ่งไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา สะกิดนิดเดียวก็ล้ม!

หากคาดการณ์เช่นนี้ ต่อให้หลินสวินตัวคนเดียว แต่ขอแค่มีเขาอยู่ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์คับขันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของพวกเขาได้!

พวกจี้ซิงเหยาเข้าใจในจุดนี้ แน่นอนว่าพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็ต้องเข้าใจ ในใจพวกเขาต่างไม่อาจสงบนิ่งอยู่บ้างแล้ว

“ยังมีหมาแมวตัวไหนอยากท้าทายข้าผู้แซ่หลินอีก”

นัยน์ตาดำของหลินสวินกวาดมองทั่วลาน เสื้อผ้าเขาโบกสะบัด ผมดำหนาทึบแผ่สยาย มีท่าทางภูมิฐานก้มมองเหล่าผู้กล้า

ก่อนหน้านี้หากหลินสวินกล้าพูดเช่นนี้คงถูกมองว่าบ้าระห่ำและไม่รู้ดีชั่วแน่

แต่ตอนนี้แน่นอนว่าต่างออกไปแล้ว

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ยามถูกหลินสวินมองเป็น ‘หมาแมว’ ก็ทำให้ใจของเหล่าผู้แข็งแกร่งแดนนรกเดือดดาลและอัดอั้นทันที

“หลินสวิน เจ้าอย่าได้เหิมเกริม เจ้าแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น ต่อให้พลังต่อสู้แข็งแกร่งแค่ไหนจะเอาอะไรมาต้านทานพวกเราแดนนรกได้”

ผู้คุมกฎแดนนรกคนหนึ่งตวาดลั่น

ตึง!

เพียงแต่น้ำเสียงเขาเพิ่งแผ่วลง ทั้งตัวก็ไร้กลิ่นอาย ร่างกายแข็งทื่อ จากนั้นล้มลงกับพื้นไม่ลุกขึ้นอีก

ในใจทุกคนสั่นสะท้าน ล้วนมองออกว่าแม้ร่างกายคนผู้นี้จะไร้บาดแผล แต่พลังจิตกลับถูกจู่โจมแล้ว!

ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่ได้ลงมือแม้แต่น้อย ถึงขั้นไม่เคยมองคนผู้นี้ด้วยซ้ำ

“พวกมากรังแกคนพวกน้อยรึ มีข้าอยู่ ไหนเลยจะให้พวกเจ้าสมปรารถนา”

จู่ๆ เสี่ยวอิ๋นก็ปรากฏตัว บนใบหน้าเล็กงดงามหาใดเปรียบเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงเย็นชา แม้แต่น้ำเสียงยังเย็นชาไร้น้ำใจ

นัยน์ตาทุกคนหดรัดทันที ตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของเสี่ยวอิ๋น เห็นได้ชัดว่าไม่เคยข้ามผ่านอมตะเคราะห์ แต่เมื่อครู่กลับสังหารมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านสองคนหนึ่งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง!

เทพมารหลินก็แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนใจสั่นแล้ว ตอนนี้ยังมีคนตัวเล็กชุดขาวที่กลิ่นอายแปลกประหลาด พลังต่อสู้วิปริตอย่างยิ่งปรากฏตัวอีก นี่น่าสยองขวัญยิ่งนัก!

ความจริงแล้วตอนนี้แม้แต่หลินสวินก็ผิดคาดอยู่บ้าง หนังตาพลันกระตุก

แม้จะรู้ว่าเสี่ยวอิ๋นก้าวสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชันแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวอิ๋นที่พัฒนาเป็นราชันหนอนกินเทพ จะสามารถปลิดชีพมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านสองได้!

ฝีมือเช่นนี้ทำให้หลินสวินตกตะลึงไปพักหนึ่ง

ผู้แข็งแกร่งแดนนรกในที่นั้นต่างเปลี่ยนเป็นหนักใจ ไม่อาจเรียกคืนความเชื่อมั่นและเย่อหยิ่งเหมือนแต่ก่อน

ตั้งแต่หลินสวินปรากฏตัวถึงตอนนี้ เริ่มจากขยำสังหารผู้คุมกฎเสวี่ยเฟิงอย่างง่ายดาย จากนั้นก็พิฆาตขุนพลถัวเถิงอย่างรวดเร็วรุนแรง

และตอนนี้แม้แต่คนตัวเล็กชุดขาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขา ก็ยังฆ่าผู้คุมกฎคนหนึ่งของฝั่งพวกเขาไปโดยไม่ทันตั้งตัว

นี่ช่างเหมือนค้อนที่ตีกระหน่ำต่อเนื่องลงบนใจพวกเขาอย่างหนักหน่วง ทำให้จิตต่อสู้ของพวกเขาเริ่มสั่นคลอนอย่างห้ามไม่อยู่ รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ต่างจากแต่ก่อนตามการมาของหลินสวินแล้ว

เมื่อมองดูจี้ซิงเหยาและเหล่าผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉา เวลานี้ต่างเผยสีหน้ายินดียากปกปิดอย่างอดไม่อยู่ พวกเขาย่อมมองออกเป็นธรรมดาว่าสถานการณ์พลิกผันแล้ว!

“พี่หลิน นี่เจ้าอยากเป็นศัตรูกับพวกเราแดนนรกรึ”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจลึก เอ่ยปากสีหน้าอึมครึม เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง!

ก่อนหน้านี้เห็นอยู่ว่ากำลังจะกดดันเรือนกระบี่เร้นปุจฉาให้ยอมจำนนได้ ใครจะคิดว่าการมาของหลินสวินกลับทำลายภารกิจของพวกเขาราวหายนะไม่คาดฝัน

นี่จะให้เขาพอใจได้อย่างไร

“เป็นศัตรูกับแดนนรกแล้วอย่างไร เจิ้นอวิ๋นเฟิง เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะถูกเจ้าข่มขู่ได้กระมัง”

หลินสวินนัยน์ตาเฉยชา

“ช่างเถอะ วันนี้ถือว่าเห็นแก่หน้าเจ้า พวกเราไป!”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงหน้าคล้ำเขียว เขาเด็ดขาดยิ่งนัก รู้ว่าสถานการณ์ไม่เข้าทีก็เลือกล่าถอยทันใด

“ไป? ข้ายอมแล้วรึ”

ประโยคเดียวของหลินสวินทำให้ใจเจิ้นอวิ๋นเฟิงสะดุดกึก หน้าเปลี่ยนสีทันที

เขากล่าวเสียงแข็ง “หลินสวิน เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตข้าไว้หน้าเจ้าพอแล้ว เจ้าอย่าไม่รู้จักดีชั่ว เจ้าควรรู้ว่าจุดจบของการล่วงเกินแดนนรกของข้าน่าอนาถแค่ไหน!?”

วาจานี้แม้เป็นการข่มขู่ แต่กลับเป็นเรื่องจริง

ในแดนเก้าบนตอนนี้ ขุมอำนาจแดนนรกก็เหมือนเจ้าเหนือหัวฝ่ายหนึ่ง อำนาจผงาดพาให้คนหันมามอง แทบไร้ผู้ขัดขวาง

สี่ปีมานี้ภายใต้การคุกคามด้วยคมดาบของแดนนรก มีขุมอำนาจไม่รู้เท่าไรหากไม่เลือกยอมจำนนสวามิภักดิ์ ก็ต้องถูกกลืนกินทำลายโดยตรง!

เรือนกระบี่เร้นปุจฉาแข็งแกร่งพอแล้วใช่ไหม แต่วันนี้ก็ยังถูกบีบจนตกอยู่ในภาวะคับขัน หากไม่ใช่ว่าหลินสวินมาทันเวลา ผลที่ตามมาคงไม่อาจคาดคิด

เมื่อได้ยินคำพูดนี้โม่เทียนเหอและจี้ซิงเหยาก็สงบสติลง หลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว ในใจก็ไม่อยากให้หลินสวินผูกความแค้นบัญชีเลือดที่ไม่อาจคลี่คลายกับขุมอำนาจใหญ่เช่นนี้จริงๆ

แต่ไม่รอให้พวกเขาพูดโน้มน้าว หลินสวินก็ยิ้มกล่าว “หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์บางส่วนในอดีต เจ้าคิดว่าข้าจะทนฟังเจ้าพูดเจื้อยแจ้วได้ถึงตอนนี้รึ ยังมีอีก แดนนรกล่วงเกินข้าแล้ว ไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องไปคิดบัญชีกับบุตรนรกด้วยตัวเองอยู่ดี!”

กล่าวถึงตอนท้าย ในน้ำเสียงเจือไอสังหารเยียบเย็นเสียดกระดูก

ทำไมจ้าวจิ่งเซวียนถึงเลือกผนึกจิตวิญญาณตัวเอง

ก็เพราะถูกบีบบังคับ!

วันนั้นหากไม่ใช่ว่าพวกหวังจื่ออิงนั่นบีบบังคับ มีหรือจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

และพวกหวังจื่ออิงก็เป็นสุนัขรับใช้ของบุตรนรกเช่นกัน!

ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ สูดหายใจหนาวเยือก

หลังจากหายไปสี่ปี ทันทีที่เทพมารหลินปรากฏตัว ก็หมายคิดบัญชีกับขุมอำนาจแดนนรกที่นำโดยบุตรนรกหรือ

หากแพร่ออกไปต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายในแดนเก้าบนแน่!

“เจ้า…”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงเสียการควบคุมอยู่บ้าง หรือพูดได้ว่าถูกไอสังหารที่เผยออกมาในคำพูดหลินสวินทำให้ตกใจ จนถึงขั้นทั้งตระหนกและขุ่นเคือง

“พอแล้ว!”

หลินสวินพลันพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ทั่วร่างส่องประกาย กลิ่นอายน่ากลัวไร้รูปสายหนึ่งแผ่ออกมามืดฟ้ามัวดิน

เพียงชั่วขณะวายุก่อเมฆาซัด ฟ้าดินเปลี่ยนสี!

“เปิดศึกเถอะ”

ในเสียงนิ่งสงบไร้อารมณ์ หลินสวินเคลื่อนไหวปานสายฟ้าแลบและรุ้งร่าย พร่าเลือนไร้ร่องรอย

ฟุ่บ!

ผู้แข็งแกร่งแดนนรกหลายคนที่อยู่ใกล้หลินสวินศีรษะถูกตัดขาดพร้อมกันชั่วพริบตา ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงทึบหนักดังระลอกหนึ่ง

จากนั้นศีรษะมากมายก็หล่นกลิ้ง เลือดสาดพรมเวิ้งฟ้า

ในเวลาเดียวกันนี้ทุกคนถึงได้เห็นชัดเจนว่านั่นคือดาบหักเล่มหนึ่ง แต่กลับเลือนรางดั่งภาพมายา เบาราวขนนก บริสุทธิ์ผุดผ่องยากจับต้อง

“ฆ่า!”

ดวงตาเจิ้นอวิ๋นเฟิงแดงไปหมดแล้ว รู้ว่าหากไม่สู้คงไม่ได้จากไปอย่างปลอดภัยแน่

เขาพุ่งทะยานขึ้นไป

เพียงแต่เวลานี้เขาอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้น ใกล้ๆ กันยังมีพวกโม่เทียนเหอและจี้ซิงเหยาอยู่ด้วย

พริบตาที่เขาเคลื่อนไหว โม่เทียนเหอและจี้ซิงเหยาก็ออกโจมตี

พวกเขาแค้นเจิ้นอวิ๋นเฟิงเข้ากระดูก!

“พูดไร้สาระกันตั้งมาก ในที่สุดก็เปิดศึกเสียที ข้าเผ่าหนอนกินเทพ ด้วยตัวข้าเป็นราชันแห่งมกุฎคนหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แน่นอนว่าจะไม่ทำให้ชื่อเสียงที่บรรพชนทิ้งไว้เสื่อมเสีย!”

ในเสียงพึมพำบางเบา เสี่ยวอิ๋นที่สีหน้าเย็นชาหาใดเปรียบจู่ๆ ก็หายไป

ฟุ่บ!

ในเวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งแดนนรกคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเสี่ยวอิ๋นหลายสิบจั้งตายคาที่อย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

จิตวิญญาณของเขาถูกเจตกระบี่เฉียบคมหาใดเปรียบบดขยี้!

ฟุ่บ!

ไม่นานก็มีผู้แข็งแกร่งระดับผู้คุมกฎอีกคนจิตวิญญาณถูกสังหารโดยไม่ทันตั้งตัว

นี่ก็คือความน่ากลัวของเผ่าหนอนกินเทพ

ยามพวกมันออกโจมตีจะประหนึ่งไร้รูปไร้แก่น พวกคนธรรมดายากสังเกตเห็นโดยสิ้นเชิง

และการจู่โจมของพวกมันก็ราวกับนักฆ่าที่ไร้ปรานีที่สุดในใต้หล้า ไม่ลงมือไม่เท่าไร แต่ทันทีที่ลงมือต้องหนึ่งโจมตีหนึ่งสิ้นชีพ!

สิบก้าวสังหารหนึ่ง พันลี้ไม่ทิ้งร่องรอย

ตู้ม!

ณ ที่นั้นหลินสวินเองก็เปิดฉากเข่นฆ่า เงาร่างเขาเปล่งประกายบุกตะลุยทั่วทิศ การจู่โจมที่ปล่อยออกมาระหว่างขยับมือไม้ล้วนมีอานุภาพเพียงพอให้เทพผีถอยร่น

มองจากไกลๆ ก็เห็นทุกหนแห่งที่เขาพาดผ่านมีร่างของผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าระเบิดออก ท่าทีเคลื่อนกวาดไร้เทียมทานไม่อาจเทียบ

ชั่วขณะเดียวทั้งที่นั้นก็นองเลือดดั่งฝนกระหน่ำ เสียงร้องโหยหวนสะเทือนใต้หล้า ปั่นป่วนอลหม่านเกินทน

ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งแดนนรกพวกนั้นไม่ได้เรื่อง หากแต่เป็นหลินสวินในตอนนี้ที่แข็งแกร่งถึงขั้นสามารถทำให้พวกเขาต้องแหงนมอง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การสังหารพวกเขาไม่ต่างอะไรกับการฉีกภาพวาด!

“ตายซะ!”

ทันใดนั้นเสียงตวาดเย็นชาหนึ่งดังขึ้น อวี่เหลียงอินหนึ่งในสิบสองขุนพลแดนนรกพุ่งเข้ามา

นางดูเหมือนมีเสน่ห์เย้ายวน แต่ในมือหยกขาวกระจ่างเรียวยาวกลับถือเหล็กหมาดดำมหึมาเล่มหนึ่ง ทันทีที่โบกสะบัดแสงทมิฬม้วนพัด ห้วงอากาศระเบิดออกเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

พลังสังหารดุดันชวนประหวั่นถึงขีดสุด

อาศัยความเร็วที่คาดไม่ถึงจู่โจมสังหารหลินสวินจากด้านหลัง!

วู้ม

ดาบหักปรากฏดั่งรุ้งอัศจรรย์ ถูกหลินสวินสำแดงกระบวนเฉือนเกิดดับออกมา เหล็กหมาดสีดำที่ฟูมฟักมานานหลายปีเล่มนั้นของนางถูกตัดขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดายก่อน

จากนั้นรอยเลือดก็ลากยาวตั้งแต่หว่างคิ้วนางลงไป ผ่านสันจมูก ริมฝีปากแดง คอ หน้าอกและช่วงท้อง…

………….