ทั่วลานเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
การต่อสู้หนึ่งสิ้นสุดลงในชั่วพริบตา ตั้งแต่ต้นจนจบถัวเถิงถูกกำราบอย่างสมบูรณ์ ไร้แรงต้านสิ้นเชิง!
นี่สะท้านสะเทือนเกินไป ในหัวทุกคนว่างเปล่าไปชั่วขณะ
สี่ปีแล้ว พลังของผู้แข็งแกร่งทุกคนในที่นั้นต่างมีการเปลี่ยนแปลงรุดหน้า นี่ก็คือสาเหตุที่พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงกล้ายั่วยุหลินสวิน
เพียงแต่พวกเขากลับคิดไม่ถึง ว่าสี่ปีมานี้พลังต่อสู้ของหลินสวินก็จะเปลี่ยนไปจนต่างจากอดีตสิ้นเชิงแล้ว…
นี่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา!
ด้วยในความเข้าใจของทุกคน สี่ปีก่อนหลินสวินถูกกู่ฝอจื่อวางแผนจู่โจมจนตกลงไปใต้แม่น้ำนรก
สามารถรอดชีวิตมาได้ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงอ้าปากค้างยากจินตนาการแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าพลังต่อสู้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ในใจเจิ้นอวิ๋นเฟิงพลันเครียดขมึง เปิดปากกล่าว “พี่หลิน เจ้า…”
พรวด!
ไม่รอให้พูดจบ หลินสวินลงมือตัดหัวของถัวเถิง การกระทำหมดจดชัดเจน ก็เห็นโลหิตแดงสดร้อนฉ่ากลุ่มหนึ่งสาดกระจายออกมา
แม้แต่พลังจิตของถัวเถิงก็ไม่อาจหลบหนี ถูกกวาดล้างสังหารสิ้น!
บรรยากาศในที่นั้นเงียบสงัดทันที ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉาอย่างจี้ซิงเหยา หรือผู้แข็งแกร่งแดนนรกอย่างเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็ล้วนเบิกตากว้าง ในใจสั่นสะท้าน
ถัวเถิงนั่นเป็นถึงขุนพลคนหนึ่ง เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่มีปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านสาม! บอกว่าจะฆ่า… ก็ฆ่าเลยรึ
เพียงพริบตาทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี
“ที่แท้สี่ปีที่หายไปเจ้าก็ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสามแล้ว มิน่าถึงกล้ามั่นใจและไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้”
ในบรรยากาศที่เงียบสงัดเจิ้นอวิ๋นเฟิงสีหน้าอึมครึม แววตาไหววูบเอ่ยปากเย็นชา ในน้ำเสียงมีความกระจ่างแจ้ง ตกใจ และหวาดกลัว
อมตะเคราะห์ด่านสาม!
เวลานี้คนไม่น้อยถึงค่อยตอบสนอง สูดหายใจเย็นอย่างอดไม่อยู่ เทพมารหลินนี่ไม่เพียงแต่ตายแล้วฟื้น พลังต่อสู้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงราวถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูกด้วย!
เพียงพริบตายามทุกคนมองไปยังหลินสวินอีกครั้ง สายตาก็เปลี่ยนไปแล้ว
ผู้แข็งแกร่งแดนนรกต่างตระหนกระคนขุ่นเคือง
แต่พวกจี้ซิงเหยากลับเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความกังวลทั้งหมดในใจถูกความยินดียากบรรยายเข้ามาแทน
ในที่นั้นขุนพลอย่างถัวเถิงถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในขุมอำนาจแดนนรกแล้ว
แต่เมื่ออยู่ในมือหลินสวิน ถัวเถิงกลับประหนึ่งไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา สะกิดนิดเดียวก็ล้ม!
หากคาดการณ์เช่นนี้ ต่อให้หลินสวินตัวคนเดียว แต่ขอแค่มีเขาอยู่ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์คับขันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของพวกเขาได้!
พวกจี้ซิงเหยาเข้าใจในจุดนี้ แน่นอนว่าพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็ต้องเข้าใจ ในใจพวกเขาต่างไม่อาจสงบนิ่งอยู่บ้างแล้ว
“ยังมีหมาแมวตัวไหนอยากท้าทายข้าผู้แซ่หลินอีก”
นัยน์ตาดำของหลินสวินกวาดมองทั่วลาน เสื้อผ้าเขาโบกสะบัด ผมดำหนาทึบแผ่สยาย มีท่าทางภูมิฐานก้มมองเหล่าผู้กล้า
ก่อนหน้านี้หากหลินสวินกล้าพูดเช่นนี้คงถูกมองว่าบ้าระห่ำและไม่รู้ดีชั่วแน่
แต่ตอนนี้แน่นอนว่าต่างออกไปแล้ว
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ยามถูกหลินสวินมองเป็น ‘หมาแมว’ ก็ทำให้ใจของเหล่าผู้แข็งแกร่งแดนนรกเดือดดาลและอัดอั้นทันที
“หลินสวิน เจ้าอย่าได้เหิมเกริม เจ้าแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น ต่อให้พลังต่อสู้แข็งแกร่งแค่ไหนจะเอาอะไรมาต้านทานพวกเราแดนนรกได้”
ผู้คุมกฎแดนนรกคนหนึ่งตวาดลั่น
ตึง!
เพียงแต่น้ำเสียงเขาเพิ่งแผ่วลง ทั้งตัวก็ไร้กลิ่นอาย ร่างกายแข็งทื่อ จากนั้นล้มลงกับพื้นไม่ลุกขึ้นอีก
ในใจทุกคนสั่นสะท้าน ล้วนมองออกว่าแม้ร่างกายคนผู้นี้จะไร้บาดแผล แต่พลังจิตกลับถูกจู่โจมแล้ว!
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่ได้ลงมือแม้แต่น้อย ถึงขั้นไม่เคยมองคนผู้นี้ด้วยซ้ำ
“พวกมากรังแกคนพวกน้อยรึ มีข้าอยู่ ไหนเลยจะให้พวกเจ้าสมปรารถนา”
จู่ๆ เสี่ยวอิ๋นก็ปรากฏตัว บนใบหน้าเล็กงดงามหาใดเปรียบเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงเย็นชา แม้แต่น้ำเสียงยังเย็นชาไร้น้ำใจ
นัยน์ตาทุกคนหดรัดทันที ตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของเสี่ยวอิ๋น เห็นได้ชัดว่าไม่เคยข้ามผ่านอมตะเคราะห์ แต่เมื่อครู่กลับสังหารมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านสองคนหนึ่งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง!
เทพมารหลินก็แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนใจสั่นแล้ว ตอนนี้ยังมีคนตัวเล็กชุดขาวที่กลิ่นอายแปลกประหลาด พลังต่อสู้วิปริตอย่างยิ่งปรากฏตัวอีก นี่น่าสยองขวัญยิ่งนัก!
ความจริงแล้วตอนนี้แม้แต่หลินสวินก็ผิดคาดอยู่บ้าง หนังตาพลันกระตุก
แม้จะรู้ว่าเสี่ยวอิ๋นก้าวสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชันแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวอิ๋นที่พัฒนาเป็นราชันหนอนกินเทพ จะสามารถปลิดชีพมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านสองได้!
ฝีมือเช่นนี้ทำให้หลินสวินตกตะลึงไปพักหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งแดนนรกในที่นั้นต่างเปลี่ยนเป็นหนักใจ ไม่อาจเรียกคืนความเชื่อมั่นและเย่อหยิ่งเหมือนแต่ก่อน
ตั้งแต่หลินสวินปรากฏตัวถึงตอนนี้ เริ่มจากขยำสังหารผู้คุมกฎเสวี่ยเฟิงอย่างง่ายดาย จากนั้นก็พิฆาตขุนพลถัวเถิงอย่างรวดเร็วรุนแรง
และตอนนี้แม้แต่คนตัวเล็กชุดขาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขา ก็ยังฆ่าผู้คุมกฎคนหนึ่งของฝั่งพวกเขาไปโดยไม่ทันตั้งตัว
นี่ช่างเหมือนค้อนที่ตีกระหน่ำต่อเนื่องลงบนใจพวกเขาอย่างหนักหน่วง ทำให้จิตต่อสู้ของพวกเขาเริ่มสั่นคลอนอย่างห้ามไม่อยู่ รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ต่างจากแต่ก่อนตามการมาของหลินสวินแล้ว
เมื่อมองดูจี้ซิงเหยาและเหล่าผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉา เวลานี้ต่างเผยสีหน้ายินดียากปกปิดอย่างอดไม่อยู่ พวกเขาย่อมมองออกเป็นธรรมดาว่าสถานการณ์พลิกผันแล้ว!
“พี่หลิน นี่เจ้าอยากเป็นศัตรูกับพวกเราแดนนรกรึ”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจลึก เอ่ยปากสีหน้าอึมครึม เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง!
ก่อนหน้านี้เห็นอยู่ว่ากำลังจะกดดันเรือนกระบี่เร้นปุจฉาให้ยอมจำนนได้ ใครจะคิดว่าการมาของหลินสวินกลับทำลายภารกิจของพวกเขาราวหายนะไม่คาดฝัน
นี่จะให้เขาพอใจได้อย่างไร
“เป็นศัตรูกับแดนนรกแล้วอย่างไร เจิ้นอวิ๋นเฟิง เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะถูกเจ้าข่มขู่ได้กระมัง”
หลินสวินนัยน์ตาเฉยชา
“ช่างเถอะ วันนี้ถือว่าเห็นแก่หน้าเจ้า พวกเราไป!”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงหน้าคล้ำเขียว เขาเด็ดขาดยิ่งนัก รู้ว่าสถานการณ์ไม่เข้าทีก็เลือกล่าถอยทันใด
“ไป? ข้ายอมแล้วรึ”
ประโยคเดียวของหลินสวินทำให้ใจเจิ้นอวิ๋นเฟิงสะดุดกึก หน้าเปลี่ยนสีทันที
เขากล่าวเสียงแข็ง “หลินสวิน เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตข้าไว้หน้าเจ้าพอแล้ว เจ้าอย่าไม่รู้จักดีชั่ว เจ้าควรรู้ว่าจุดจบของการล่วงเกินแดนนรกของข้าน่าอนาถแค่ไหน!?”
วาจานี้แม้เป็นการข่มขู่ แต่กลับเป็นเรื่องจริง
ในแดนเก้าบนตอนนี้ ขุมอำนาจแดนนรกก็เหมือนเจ้าเหนือหัวฝ่ายหนึ่ง อำนาจผงาดพาให้คนหันมามอง แทบไร้ผู้ขัดขวาง
สี่ปีมานี้ภายใต้การคุกคามด้วยคมดาบของแดนนรก มีขุมอำนาจไม่รู้เท่าไรหากไม่เลือกยอมจำนนสวามิภักดิ์ ก็ต้องถูกกลืนกินทำลายโดยตรง!
เรือนกระบี่เร้นปุจฉาแข็งแกร่งพอแล้วใช่ไหม แต่วันนี้ก็ยังถูกบีบจนตกอยู่ในภาวะคับขัน หากไม่ใช่ว่าหลินสวินมาทันเวลา ผลที่ตามมาคงไม่อาจคาดคิด
เมื่อได้ยินคำพูดนี้โม่เทียนเหอและจี้ซิงเหยาก็สงบสติลง หลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว ในใจก็ไม่อยากให้หลินสวินผูกความแค้นบัญชีเลือดที่ไม่อาจคลี่คลายกับขุมอำนาจใหญ่เช่นนี้จริงๆ
แต่ไม่รอให้พวกเขาพูดโน้มน้าว หลินสวินก็ยิ้มกล่าว “หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์บางส่วนในอดีต เจ้าคิดว่าข้าจะทนฟังเจ้าพูดเจื้อยแจ้วได้ถึงตอนนี้รึ ยังมีอีก แดนนรกล่วงเกินข้าแล้ว ไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องไปคิดบัญชีกับบุตรนรกด้วยตัวเองอยู่ดี!”
กล่าวถึงตอนท้าย ในน้ำเสียงเจือไอสังหารเยียบเย็นเสียดกระดูก
ทำไมจ้าวจิ่งเซวียนถึงเลือกผนึกจิตวิญญาณตัวเอง
ก็เพราะถูกบีบบังคับ!
วันนั้นหากไม่ใช่ว่าพวกหวังจื่ออิงนั่นบีบบังคับ มีหรือจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
และพวกหวังจื่ออิงก็เป็นสุนัขรับใช้ของบุตรนรกเช่นกัน!
ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ สูดหายใจหนาวเยือก
หลังจากหายไปสี่ปี ทันทีที่เทพมารหลินปรากฏตัว ก็หมายคิดบัญชีกับขุมอำนาจแดนนรกที่นำโดยบุตรนรกหรือ
หากแพร่ออกไปต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายในแดนเก้าบนแน่!
“เจ้า…”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงเสียการควบคุมอยู่บ้าง หรือพูดได้ว่าถูกไอสังหารที่เผยออกมาในคำพูดหลินสวินทำให้ตกใจ จนถึงขั้นทั้งตระหนกและขุ่นเคือง
“พอแล้ว!”
หลินสวินพลันพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ทั่วร่างส่องประกาย กลิ่นอายน่ากลัวไร้รูปสายหนึ่งแผ่ออกมามืดฟ้ามัวดิน
เพียงชั่วขณะวายุก่อเมฆาซัด ฟ้าดินเปลี่ยนสี!
“เปิดศึกเถอะ”
ในเสียงนิ่งสงบไร้อารมณ์ หลินสวินเคลื่อนไหวปานสายฟ้าแลบและรุ้งร่าย พร่าเลือนไร้ร่องรอย
ฟุ่บ!
ผู้แข็งแกร่งแดนนรกหลายคนที่อยู่ใกล้หลินสวินศีรษะถูกตัดขาดพร้อมกันชั่วพริบตา ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงทึบหนักดังระลอกหนึ่ง
จากนั้นศีรษะมากมายก็หล่นกลิ้ง เลือดสาดพรมเวิ้งฟ้า
ในเวลาเดียวกันนี้ทุกคนถึงได้เห็นชัดเจนว่านั่นคือดาบหักเล่มหนึ่ง แต่กลับเลือนรางดั่งภาพมายา เบาราวขนนก บริสุทธิ์ผุดผ่องยากจับต้อง
“ฆ่า!”
ดวงตาเจิ้นอวิ๋นเฟิงแดงไปหมดแล้ว รู้ว่าหากไม่สู้คงไม่ได้จากไปอย่างปลอดภัยแน่
เขาพุ่งทะยานขึ้นไป
เพียงแต่เวลานี้เขาอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้น ใกล้ๆ กันยังมีพวกโม่เทียนเหอและจี้ซิงเหยาอยู่ด้วย
พริบตาที่เขาเคลื่อนไหว โม่เทียนเหอและจี้ซิงเหยาก็ออกโจมตี
พวกเขาแค้นเจิ้นอวิ๋นเฟิงเข้ากระดูก!
“พูดไร้สาระกันตั้งมาก ในที่สุดก็เปิดศึกเสียที ข้าเผ่าหนอนกินเทพ ด้วยตัวข้าเป็นราชันแห่งมกุฎคนหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แน่นอนว่าจะไม่ทำให้ชื่อเสียงที่บรรพชนทิ้งไว้เสื่อมเสีย!”
ในเสียงพึมพำบางเบา เสี่ยวอิ๋นที่สีหน้าเย็นชาหาใดเปรียบจู่ๆ ก็หายไป
ฟุ่บ!
ในเวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งแดนนรกคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเสี่ยวอิ๋นหลายสิบจั้งตายคาที่อย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
จิตวิญญาณของเขาถูกเจตกระบี่เฉียบคมหาใดเปรียบบดขยี้!
ฟุ่บ!
ไม่นานก็มีผู้แข็งแกร่งระดับผู้คุมกฎอีกคนจิตวิญญาณถูกสังหารโดยไม่ทันตั้งตัว
นี่ก็คือความน่ากลัวของเผ่าหนอนกินเทพ
ยามพวกมันออกโจมตีจะประหนึ่งไร้รูปไร้แก่น พวกคนธรรมดายากสังเกตเห็นโดยสิ้นเชิง
และการจู่โจมของพวกมันก็ราวกับนักฆ่าที่ไร้ปรานีที่สุดในใต้หล้า ไม่ลงมือไม่เท่าไร แต่ทันทีที่ลงมือต้องหนึ่งโจมตีหนึ่งสิ้นชีพ!
สิบก้าวสังหารหนึ่ง พันลี้ไม่ทิ้งร่องรอย
ตู้ม!
ณ ที่นั้นหลินสวินเองก็เปิดฉากเข่นฆ่า เงาร่างเขาเปล่งประกายบุกตะลุยทั่วทิศ การจู่โจมที่ปล่อยออกมาระหว่างขยับมือไม้ล้วนมีอานุภาพเพียงพอให้เทพผีถอยร่น
มองจากไกลๆ ก็เห็นทุกหนแห่งที่เขาพาดผ่านมีร่างของผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าระเบิดออก ท่าทีเคลื่อนกวาดไร้เทียมทานไม่อาจเทียบ
ชั่วขณะเดียวทั้งที่นั้นก็นองเลือดดั่งฝนกระหน่ำ เสียงร้องโหยหวนสะเทือนใต้หล้า ปั่นป่วนอลหม่านเกินทน
ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งแดนนรกพวกนั้นไม่ได้เรื่อง หากแต่เป็นหลินสวินในตอนนี้ที่แข็งแกร่งถึงขั้นสามารถทำให้พวกเขาต้องแหงนมอง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การสังหารพวกเขาไม่ต่างอะไรกับการฉีกภาพวาด!
“ตายซะ!”
ทันใดนั้นเสียงตวาดเย็นชาหนึ่งดังขึ้น อวี่เหลียงอินหนึ่งในสิบสองขุนพลแดนนรกพุ่งเข้ามา
นางดูเหมือนมีเสน่ห์เย้ายวน แต่ในมือหยกขาวกระจ่างเรียวยาวกลับถือเหล็กหมาดดำมหึมาเล่มหนึ่ง ทันทีที่โบกสะบัดแสงทมิฬม้วนพัด ห้วงอากาศระเบิดออกเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
พลังสังหารดุดันชวนประหวั่นถึงขีดสุด
อาศัยความเร็วที่คาดไม่ถึงจู่โจมสังหารหลินสวินจากด้านหลัง!
วู้ม
ดาบหักปรากฏดั่งรุ้งอัศจรรย์ ถูกหลินสวินสำแดงกระบวนเฉือนเกิดดับออกมา เหล็กหมาดสีดำที่ฟูมฟักมานานหลายปีเล่มนั้นของนางถูกตัดขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดายก่อน
จากนั้นรอยเลือดก็ลากยาวตั้งแต่หว่างคิ้วนางลงไป ผ่านสันจมูก ริมฝีปากแดง คอ หน้าอกและช่วงท้อง…
………….