ในการต่อสู้ จี้ซิงเหยามองไปตรงเชิงเขาวูบหนึ่งอย่างค่อนข้างกังวล
ที่นั่นมีผู้แข็งแกร่งแดนนรกมากมายรวมตัวอยู่ หลินสวินที่อยู่ในนั้นสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
และด้วยการเหลือบมองนี้ทำให้นางได้เห็นภาพนองเลือดหาใดเปรียบฉากหนึ่ง
อวี่เหลียงอินยอดหญิงงามที่มีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งผู้นี้ ตอนนี้ร่างกายนางกลับถูกผ่าเป็นสองซีกตั้งแต่กลางตัวลงมา
วิธีการตายเช่นนี้เกิดขึ้นกับหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่ง เห็นได้ว่านองเลือดผิดธรรมดาโดยไม่ต้องสงสัย!
นัยน์ตากระจ่างของจี้ซิงเหยาหดรัดวูบหนึ่ง เกือบร้องเสียงหลงออกมา
อวี่เหลียงอินไม่ใช่แค่หญิงงามทรงเสน่ห์คนหนึ่ง ยังเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ฝีมือเหี้ยมโหดยิ่งคนหนึ่งด้วย
แต่กลับถูกผ่าแหวกทั้งเป็นเช่นนี้
‘เจ้าหมอนี่นับวันยิ่งวิปริตขึ้นเรื่อยๆ แล้ว’
จี้ซิงเหยาพึมพำในใจ
ณ เชิงเขา สถานการณ์ต่อสู้อนาถยิ่ง ทุกหนแห่งอบอวลกลิ่นคาวเลือด
มีคนลนลานหลบหนี แต่ไปได้ครึ่งทางไม่ถูกดาบหักสังหารก็ถูกเสี่ยวอิ๋นตามฆ่า นี่ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังโดยไม่ต้องสงสัย
นอกจากอวี่เหลียงอินและถัวเถิงแล้ว ในหมู่ผู้แข็งแกร่งแดนนรกนี้ยังมีบุคคลระดับขุนพลอีกคน
นั่นคือผู้ฝึกกระบี่ร่างผอมบาง มือถือกระบี่โลหิตคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมานั้นถึงขั้นเหนือกว่าพวกอวี่เหลียงอินด้วยซ้ำ
แต่ที่ทำให้หลินสวินเกินคาดหมายคือ ทันทีที่การต่อสู้จวนเริ่มต้น ชายหนุ่มนามว่าจันยวนคนนี้ก็หลบหนีไปโดยไม่ลังเล
ทั้งยังใช้สมบัติลับ ความเร็วน่าอัศจรรย์หาใดเปรียบ
แม้แต่หลินสวินและเสี่ยวอิ๋นยังคว้าตัวไม่ทัน
ทว่าการหนีไปของจันยวนกลับเร่งความเร็วให้กับการพ่ายแพ้ของผู้แข็งแกร่งแดนนรกพวกนี้ไปอีกขั้น
หลังอวี่เหลียงอินถูกฆ่าไม่นาน ในที่นั้นก็เต็มไปด้วยซากศพขาดวิ่นก่ายกอง นอกจากจันยวนแล้วทั้งหมดล้วนถูกสังหาร!
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นเต็มอากาศ ฉุนจมูกหาใดเปรียบ
นี่คือภาพประหนึ่งขุมนรก หลินสวินที่ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ยืนอยู่ในนั้นแล้วดูไม่เข้ากันยิ่งนัก ทั้งทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้านอย่างหนึ่ง!
บนยอดเขาการต่อสู้สิ้นสุดลงเช่นกัน
เจิ้นอวิ๋นเฟิงตัวคนเดียวถูกโม่เทียนเหอ จี้ซิงเหยาและผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉาล้อมโจมตี ไม่อาจยืนหยัดแต่แรก ไม่ทันไรก็ถูกจับคุกเข่า
เจิ้นอวิ๋นเฟิงก่อนหน้านี้ท่าทางมาดมั่น พูดจาระรื่นไม่สะทกสะท้าน ไม่เห็นใครในสายตาโดยสิ้นเชิง
แต่ตอนนี้เขากลับคุกเข่าลงกับพื้น เสื้อผ้าขาดวิ่นเปื้อนเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง บาดเจ็บสาหัสไปทั้งตัว แม้แต่หายใจยังลำบาก
เมื่อสังเกตเห็นหลินสวินย่างก้าวมา ผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉาที่อยู่ใกล้เคียงไม่มีใครไม่สำรวมสีหน้า เผยความเคารพนับถือเปิดทางให้
หลินสวินเมื่อสี่ปีก่อนก็เป็นบุคคลทรงอิทธิพล ถูกยกย่องเป็นเทพมารหลิน ทำเอาผู้คนหน้าเปลี่ยนสีเมื่อกล่าวถึง
และตอนนี้เขายังฟื้นคืนจากความตายราวเกิดใหม่ ยิ่งสง่างามกว่าแต่ก่อน
“หึๆ ข้าพันคาดหมื่นคาด ก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าหลินสวินจะยังมีชีวิตอยู่ สวรรค์… แม่งตาบอดจริงๆ!”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ใบหน้าเปื้อนเลือดเหี้ยมเกรียมและบิดเบี้ยว ในน้ำเสียงเปี่ยมความไม่ยินยอมและคั่งแค้น
ใช่ เขาคิดว่าความพ่ายแพ้ในวันนี้เกิดจากหลินสวินทั้งสิ้น!
“มหามรรคดั่งสวรรค์ เจ้าระบายความแค้นเช่นนี้ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษรึ”
หลินสวินเหลือบมองเขาวูบหนึ่ง ในใจไม่สงสารแม้แต่น้อย
“หึ ปราณของพวกข้าเดิมก็ก้าวบนหนทางพลิกฟ้าอยู่แล้ว ใครหวาดกลัวสวรรค์เล่า หลินสวิน เจ้าอย่าได้ใจไป เจ้าอาจไม่รู้ว่าตอนนี้บุตรนรกได้ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสี่แล้ว ทั้งยังครองมหาศุภโชคมากมาย มีวาสนาติดตัว หากเขารู้ว่าเจ้ายังรอดชีวิต ความตายของเจ้าก็อยู่ไม่ไกลแล้ว!”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงกล่าวเสียงอาฆาต
โครม!
โม่เทียนเหอโกรธจัด เท้าข้างหนึ่งถีบเจิ้นอวิ๋นเฟิงกระเด็นคว่ำติดพื้นอย่างน่าอนาถ “ความตายมาเยือนกบาลแล้วยังไม่รู้สำนึก เจิ้นอวิ๋นเฟิง เจ้าช่างทำให้คนผิดหวังมากจริงๆ!”
“เหอะๆ ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจรก็เท่านั้น คราวนี้ไม่อาจเอาพวกเจ้าเรือนกระบี่เร้นปุจฉาลงได้ คราวหน้าก็ไม่แน่หรอก”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงยิ้มเหี้ยมเกรียม
ในตาโม่เทียนเหอปรากฏไอสังหารทันใด แต่กลับถูกหลินสวินห้ามไว้
เขาก้มมองเจิ้นอวิ๋นเฟิงแล้วกล่าว “เจ้าไร้เมตตา ข้าไม่อาจไร้คุณธรรม เจ้ายกย่องบุตรนรกมากไม่ใช่รึ ข้าก็อยากลองดูว่าหากเจ้าไม่มีพลังปราณแล้ว บุตรนรกจะปฏิบัติตัวต่อขี้ครอกผู้ซื่อสัตย์อย่างเจ้าเช่นไร”
“เจ้าจะทำอะไร” เจิ้นอวิ๋นเฟิงร้องเสียงแหลม
ตึง!
เท้าข้างหนึ่งของหลินสวินเหยียบลงบนตัวเขา บดเมล็ดพันธุ์แห่งมรรคของเขาจนละเอียด
ด้วยประการฉะนี้พลังปราณของเขาก็เท่ากับถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ต่อให้พลังจิตถอนตัวไปได้ มีโอกาสที่จะถอดจิต ก็ยากแสวงหาอมตะมรรคาอีก!
ชั่วขณะเดียวเจิ้นอวิ๋นเฟิงราวแก่ชราลงหลายปี มึนงงไปหมด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงแผดเสียงคำรามโหยหวนหาใดเปรียบ
“หลินสวิน ต่อให้ข้าตายเป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่! อย่าลืมว่านอกจากบุตรนรกแล้ว บนโลกนี้ยังมีกู่ฝอจื่ออีกคนที่มองเจ้าเป็นหนามยอกอก!”
น้ำเสียงแหบพร่า เดือดดาล อาฆาต
ปึง!
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง พัดเจิ้นอวิ๋นเฟิงลอยหายไปในขอบฟ้าที่ห่างออกไป
“เหตุใดไม่ฆ่าเขาเล่า”
จี้ซิงเหยาอดถามไม่ได้
“คนไร้ค่าคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าบุตรนรกจะยังต้อนรับเขาเหมือนแต่ก่อนอยู่ไหม ใช้เวลาไม่นานเจ้าหมอนี่คงได้ลิ้มรสชาติของการตายทั้งเป็นแล้ว”
หลินสวินกล่าวราบเรียบ
ประโยคเดียวทำเอาทุกคนในที่นั้นตัวสั่นงันงก
จริงดังว่า ในแดนเก้าบนนี้การสูญเสียพลังปราณทั้งหมดไป ต้องยากจะรับได้ยิ่งกว่าสังหารเขาเป็นสิบเท่าร้อยเท่าแน่!
…
ในคฤหาสน์กว้างขวางบนยอดเขาจำศีลหัวโล้น
“ครั้งนี้ขอบคุณพี่หลินที่ช่วยเหลือ โปรดรับการคารวะจากข้าน้อย!”
โม่เทียนเหอลุกขึ้นโค้งคำนับ
คนอื่นเห็นดังนี้ก็ต่างลุกขึ้นคำนับตาม
สถานการณ์คับขันอันตรายหนึ่งถูกคลี่คลายอย่างดุดันเรียบง่ายด้วยการมาของหลินสวิน นี่จะไม่ให้เหล่าผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉาซาบซึ้งใจได้อย่างไร
“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เชิญนั่งเถิด”
หลินสวินรีบร้อนกล่าว จนกระทั่งทุกคนนั่งที่เขาจึงพูดว่า “ข้ามาคราวนี้ด้วยอยากสืบข่าวบางอย่างกับทุกท่าน”
“เกี่ยวกับสหายยุทธ์จินตู๋อีใช่ไหม”
เนตรดาราของจี้ซิงเหยาใสกระจ่าง คำพูดเดียวก็เดาถูกแล้ว
หลินสวินยิ้มพยักหน้า
“ปีนั้นเมื่อเขาทราบข่าวการตายของเจ้าก็จากไปคนเดียวโดยไม่ลังเล จากที่ข้าเดาเขาน่าจะไปหาร่องรอยของกู่ฝอจื่อแล้ว”
จี้ซิงเหยากล่าวถึงตรงนี้ก็อดละอายอยู่บ้างไม่ได้ “ต้องโทษข้าและศิษย์พี่โม่ที่ประมาท ไม่อาจไปขวางสหายยุทธ์จินได้ทันเวลา”
หลินสวินโบกมือกล่าว “ไม่โทษพวกเจ้าหรอก นิสัยใจร้อนของเจ้าคางคกข้ารู้ดี หากเขาจะไปพวกเจ้าไม่ว่าใครก็ห้ามไม่อยู่ เพียงแต่… สี่ปีมานี้พวกเจ้าเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขาหรือไม่”
จี้ซิงเหยาส่ายหัว
โม่เทียนเหอพลันกล่าว “จากการวินิจฉัยของข้าสหายยุทธ์จินน่าจะปลอดภัย เพราะหลังจากที่พี่หลินหายไปเมื่อสี่ปีก่อน กู่ฝอจื่อนั่นก็ราวกับระเหยหายไปจากโลกมนุษย์ หายไปอย่างไร้ร่องรอย”
“สี่ปีมานี้มีคนไม่น้อยตามหาตัวกู่ฝอจื่อนี่ แต่ล้วนไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน”
หลินสวินชะงัก กู่ฝอจื่อก็หายตัวไปรึ
“เช่นนั้นพวกเจ้าเคยเจอนกทมิฬตัวใหญ่ตัวนั้นไหม”
หลินสวินถามอีก
“เจ้าหมายถึงนกตัวนั้นที่แย่ง ‘กาหลอมจิตจักรพรรดินรก’ ของบุตรนรกไปน่ะรึ”
“ใช่”
“ร่องรอยของนกตัวนี้เกินคาดเดา หลายปีนี้เคยปรากฏตัวสองสามครั้ง สถานที่ปรากฏตัวแต่ละครั้งล้วนเป็นแดนแห่งศุภโชคที่อันตรายหาใดเปรียบ”
จี้ซิงเหยากล่าวรวดเร็ว “แต่เท่าที่ข้ารู้บุตรนรกได้ชิงกาหลอมจิตจักรพรรดินรกกลับมาจากนกตัวนี้แล้ว”
หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น นกทมิฬก็ไม่อาจปกป้องกาหลอมจิตจักรพรรดินรกไว้ได้รึ
ในการสนทนาต่อมาหลินสวินก็ได้เข้าใจเรื่องบางส่วนที่เกิดขึ้นในแดนเก้าบนตลอดสี่ปีนี้
อย่างเรื่องที่ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนและมารกระบี่เยี่ยเฉินบุกล้างบางขุมอำนาจเผ่าอีกาทอง เผ่าวิญญาณสมุทรและเขาวิญญาณหมื่นอสูร
อวิ๋นชิ่งไป๋เคยปรากฏตัวที่แดนอัคคีทักษิณ…
เยวี่ยเจี้ยนหมิงหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ข้ามผ่านแดนเก้าบน เสาะหาร่องรอยเกี่ยวกับกู่ฝอจื่อ…
ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราเซียวชิงเหอออกปฏิบัติการตัวคนเดียว หมายแก้แค้นให้หลินสวิน…
เมื่อได้ยินเรื่องพวกนี้หลินสวินก็อดไหวหวั่นไม่ได้ ในใจรู้สึกอบอุ่น แต่ไม่ช้าก็อดเป็นห่วงพวกเขาไม่ได้
หลินสวินรู้ดีว่าพวกเขาทำเช่นนี้จะต้องแบกรับความเสี่ยงเช่นไร!
นอกจากนี้จี้ซิงเหยายังกล่าวถึงเรื่องสำคัญบางส่วนที่เกิดขึ้นในแดนเก้าบนด้วย
ตัวอย่างเช่นสามปีก่อนอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้า สถิตินี้ยังรักษาไว้ถึงปัจจุบันไม่เคยมีใครสั่นคลอน!
ถึงขั้นที่ว่ามีพวกชื่นชอบเรื่องสนุกยกย่องอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นอันดับหนึ่งของแดนมกุฎ!
แดนเก้าบนทุกวันนี้หลังผ่านการล้างไพ่หลายครั้ง ผู้แข็งแกร่งที่สามารถรอดมาได้ในหลายปีมานี้ต่างได้รับประโยชน์และวาสนาไม่น้อยจนพลังรุดหน้า
ช่วงไม่กี่ปีแรกผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในแดนเก้าบนต่างแข่งขันกันเพื่อกลายเป็นราชัน สามารถกลายเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันได้สามารถแผลงฤทธิ์ไปทั่วได้แล้ว
แต่ปัจจุบันแค่เพียงจำนวนของมกุฎราชันที่ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสามก็มีไม่น้อยกว่าพันคน!
และคนในระดับบุตรนรกก็ล้วนก้าวข้ามอมตะเคราะห์ครั้งที่สี่แล้ว
เมื่อรู้เรื่องพวกนี้หลินสวินก็ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ
เวลาแค่สี่ปีแต่กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงมากเช่นนี้ มกุฎราชันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าต่างรุดหน้าอย่างราบรื่นบนมรรคาของตน ไม่อาจหยุดยั้งได้
หากนี่เกิดขึ้นยังโลกภายนอกต้องเป็นเรื่องที่ยากจินตนาการแน่
แต่ในแดนเก้าบนที่วาสนามากมาย ศุภโชครายรอบนี้กลับเห็นบ่อยจนชินตา!
ตอนนี้ก็เกือบเข้าปีที่ห้าที่แดนมกุฎปรากฏตัวสู่โลกแล้ว มีเวลาอีกประมาณสี่ปีก่อนทุกอย่างจะปิดฉากลง
สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ในเวลาต่อจากนี้การแข่งขันคงมีแต่จะเหี้ยมโหดขึ้นเรื่อยๆ!
แม้ว่าปัจจุบันหลินสวินจะก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสามแล้ว แต่หลังจากรู้ข่าวพวกนี้ในใจกลับไม่กล้าเกียจคร้านอีก
การฝึกปราณเหมือนพายเรือทวนน้ำ ไม่ก้าวหน้าก็ถอยร่น
หลักการนี้เขาเข้าใจนานแล้ว
“พี่หลิน เจ้าจะไปหากู่ฝอจื่อเพื่อคิดบัญชีไหม”
โม่เทียนเหอถาม
“หรือจะไปหาบุตรนรกเพื่อคิดบัญชี”
จี้ซิงเหยาก็ใคร่รู้
หลินสวินส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็นต้องไปหา เมื่อพวกเขารู้ข่าวว่าข้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องมาหาข้าเองแน่”
ทุกคนใคร่ครวญเล็กน้อยก็เข้าใจขึ้นมา
จริงดังว่า ทุกวันนี้ในแดนเก้าบนยังไม่รู้ว่าหลินสวินมีชีวิตอยู่ แต่เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานข่าวเกี่ยวกับการรอดชีวิตของหลินสวินต้องแพร่สะพัดออกไปแน่
ถึงตอนนั้นผู้แข็งแกร่งที่เคยมีความแค้นกับหลินสวิน ไม่ว่าจะเป็นบุตรนรก กู่ฝอจื่อหรือคนอื่น ไหนเลยจะสามารถนั่งติด
“สำหรับตอนนี้ข้าคิดจะอยู่ที่นี่ชั่วคราว ไม่ทราบว่าทุกท่านยินดีหรือไม่”
หลินสวินกล่าวถาม
“ได้แน่นอน”
โม่เทียนเหอยิ้มแย้มกล่าว
จี้ซิงเหยากลับมองหลินสวินอย่างลุ่มลึกวูบหนึ่ง มุมปากระบายยิ้ม
นางรู้สาเหตุที่หลินสวินอยู่ต่อ เกรงว่าคงเป็นห่วงขุมอำนาจแดนนรกจะบุกมาโจมตีอีกครั้งจนทำให้พวกเขาเรือนกระบี่เร้นปุจฉาตกอยู่ในภาวะคับขันอีกครา
แต่หากมีเขาคอยดูแล ก็เท่ากับมีกำลังน่าหวั่นหวาดที่ไม่อาจมองข้ามได้ง่ายๆ!
นี่ก็คือหลินสวินที่นางรู้จัก ต่อให้ช่วยคนก็ไม่เป็นที่สังเกต เสียสละโดยไม่ป่าวประกาศ
…………..