บนสารานุกรมเต๋านั้นมีการบันทึกเรื่องราวของคนบรรพตปาต้าไว้ตลอด เหตุใดเฉินฉางเซิงถึงได้มั่นใจในการมีอยู่ของอีกฝ่ายวันนี้กัน เหตุใดสำหรับบรรดาเผ่ามนุษย์แล้ว คนบรรพตปาต้าถึงได้ใกล้เคียงกับเป็นคำเล่าขานในเทพนิยายเล่า ก็เนื่องจากคำนี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาหลายปีมากแล้วนั่นเอง
…ครั้งหนึ่งที่ยกทัพขึ้นเหนือ คนบรรพตปาต้ายังถือเป็นกำลังสำคัญในการรบของเผ่ามาร สงครามครั้งหนึ่งในเมืองเสวี่ยเหล่าได้ทำประโยชน์ไว้อย่างสำคัญนัก บรรพตฉีเหลียนและบรรพตเฮ่อหลานทยอยล้มตาย แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็หายไป ไม่มีผู้ใดทราบว่าพวกเขาไปอยู่ ณ ที่แห่งใด เวลาผันผ่าน แม้แต่การมีอยู่ของพวกเขาเองก็เริ่มถูกสงสัยแล้ว
ในที่สุดวันนี้ก็ได้ประจักษ์กับตาตนเองถึงการมีอยู่ในตำนานเหล่านั้น สิ่งที่บันทึกอยู่ในสารานุกรมเต๋าซึ่งเฉินฉางเซิงเคยอ่านเจอเหล่านั้นแน่นอนว่าพวกมันก็เป็นเรื่องจริง
การปรากฏตัวของคนจากบรรพตปาต้าและผู้ร่ำเรียนทงกู่ซือมีความเชื่อมโยงอย่างมาก มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเกี่ยวข้องกับใต้เท้าสังฆราชองค์นั้นในตอนนั้น ดังนั้นในชื่อของพวกมันจึงชื่อของบุคคลหนึ่ง แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งในอดีตของเผ่ามาร ที่มีการมีอยู่ใกล้เคียงกับรูปเคารพ จึงไม่อาจคาดหวังว่าพวกเขาจะละทิ้งความจงรักภักดีที่มีต่อเผามาร แล้วมายืนเคียงข้างเผ่ามนุษย์
เพียงแต่ว่าในปีนั้นเหตุใดพวกเขาต้องหายตัวไปอย่างกะทันหัน แล้วในคืนนี้เหตุใดจึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
ดวงจิตของเขาตกลงบนเงาสีดำที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ทางตอนเหนือนั้น
เขารับรู้ได้ถึงฉากกั้นไร้รูปร่างที่เหมือนกับสีของรัตติกาลอย่างแท้จริง…มิเสียแรงที่เป็นผู้แข็งแกร่งในอดีตของเผ่ามาร ลมปราณแข็งแกร่งน่ากลัวยิ่งกว่าขุนพลเผ่ามารอันดับสองไห่ตี๋บนสันเขาหิมะในปีนั้นเสียอีก มิน่าเล่าเซียวจางที่บรรลุระดับขั้นเข้าสู่อาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์สำเร็จแล้ว ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ถึงขั้นสลบไสลไม่ได้สติเลยทีเดียว
หากดูจากของระยะห่างการหายใจที่สั่นไหวของกระดาษสีขาวบนใบหน้าของเซียวจาง ก็รับรู้ได้ว่าการหายใจกลับมาเป็นปกติแล้ว ลมหายใจมั่นคง เพียงแต่เสียเลือดมาก ไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อใด
เฉินฉางเซิงถอนสายตากลับมา มองไปยังเงายักษ์สีดำนั้น ก่อนเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส ข้าควรเรียกขานท่านว่าอย่างไร”
เขาเพียงอยากจะยื้อเวลาการสนทนาเอาไว้สักเล็กน้อย แต่ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบคำถาม คิดไม่ถึงว่าเวลาต่อมาเสียงของอีกฝ่ายจะดังตอบขึ้นมาจริงๆ
เสียงนั้นยังคงเหมือนกับลมที่ลอดผ่านจากถ้ำที่อยู่ใต้บรรพตยักษ์ อื้ออึงไปหมด ในนั้นยังมีจังหวะแปรผันที่ซับซ้อนแอบซ่อนอยู่อีกด้วย
บรรพตเยียนจือ (胭脂) หรือ บนสารานุกรมพรตไม่ได้บันทึกรายนามของคนบรรพตปาต้าไว้ละเอียด เฉินฉางเซิงเพียงอาศัยการอ่านออกเสียงผ่านตัวอักษรเท่านั้น ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายนั้นที่จริงแล้วชื่อว่า บรรพตเยียนจือ (焉支) ต่างหาก ต่อมา ทุ่งหญ้าทางตอนใต้ก็เกิดเสียงดังขึ้นสองครั้ง เขาจึงได้ทราบว่าผู้แข็งแกร่งของเผ่ามารอีกสองท่านชื่อว่า บรรพตอีชุน และบรรพตจิ้งพัว
“คืนนี้เผ่ามารจะประกาศสงครามหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อบรรพตเยียนจือ ด้วยสีหน้าจริงจังหรือจะเรียกได้ว่าเคร่งขรึมเลย
ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ตอนนี้คือทุ่งหญ้าของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์
หลายพันปีที่ผ่านมา เผ่ามาร เผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจ เพื่อทุ่งหญ้าแห่งนี้และเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่เคยอาศัยอยู่บนทุ่งหญ้าแห่งนี้แล้ว ไม่รู้ว่าทำสงครามกันมาเท่าไรต่อเท่าไรแล้ว พื้นดินสีดำที่อยู่ภายใต้ต้นหญ้าสีเขียวถูกอาบไปด้วยโลหิตสดของสิ่งมีชีวิตไม่รู้กี่เผ่าพันธุ์ ความมั่งคั่งมีมาพร้อมกับความตายนี้ สำหรับทั้งสามเผ่าพันธุ์แล้วล้วนมีความหมายที่สำคัญมากนัก
ความสำคัญอย่างมีนัยสำคัญมักหมายถึงความอ่อนไหว ซึ่งหมายความว่าสงครามเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ดังนั้นทั้งสามตระกูลจึงระมัดระวังเกี่ยวกับทุ่งหญ้านี้มาก แม้ว่าในที่สุดทุ่งหญ้านี้จะตกเป็นของเผ่ามนุษย์ แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น ราชสำนักต้าโจวไม่เคยตั้งกองทหารที่นี่ด้วยซ้ำ ในคืนนี้คนบรรพตปาต้าที่เก็บซ่อนตัวมาหลายปีจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น ไล่ล่าสังหารเซียวจางมาที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้ และโอบล้อมเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าแผนการใหญ่นัก นี่มันจะต่างอะไรกับการประกาศสงครามเล่า
“สงครามระหว่าง สองเผ่าพันธุ์แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยหยุดมาก่อน เหตุใดจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเล่า”
คำกล่าวของบรรพตเยียนจือยาวนัก เสียงก็ฟังดูขุ่นมัว แต่การออกเสียงชัดเจนนัก เหมือนจะติดสำเนียงของท่านฝั่งจวนหลูหลิงเดิมด้วยซ้ำ
เฉินฉางเซิงนึกถึงบทบันทึกเหล่านั้นในสารานุกรมพรต เขายิ่งรู้สึกสงสัยในประวัติศาสตร์ที่สาบสูญไปยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งไม่เข้าใจในคำตอบเหล่านั้นเข้าไปอีก
ต่อให้เป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ความ ขอเพียงเคยได้ยินนักเล่านิทานเล่าขานในโรงเตี๊ยม ก็ล้วนทราบได้ว่าหลายปีนี้แผ่นดินใหญ่มีสถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
เผ่ามนุษย์ได้ต้อนรับยุคสมัยแห่งการเบ่งบานของดอกไม้ป่า เผ่ามารกลับเสื่อมถอยลงรวดเร็วอย่างยากจะคาดคิด ไม่ว่าจะเป็นภูมิอากาศอันหนาวเย็น ทุพภิกขภัยที่มาถึงอย่างกะทันหัน หรือว่าจะเป็นสงครามภายในของแต่ละตระกูลที่ทำให้จำนวนประชากรนั้นลดลงฮวบฮาบ ล้วนเป็นเหตุที่ทำให้เผ่าพันธุ์ที่เคยมีผู้แข็งแกร่งเกิดขึ้นทั่วทุกสารทิศนี้ลงเหวในที่สุด
ในเวลานี้ เผ่ามารน่าจะกำลังคิดว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร ไม่ใช่จะโจมตีเผ่ามนุษย์อย่างไร นี่คือลักษณะการปกครองในหลายปีมานี้ของราชามารหนุ่ม ต่อให้ถูกเหล่าชนชั้นสูงในเมืองเสวี่ยเหล่าดูแคลนว่าแสนจะอนุรักษนิยม หรือถากถางว่าขายหน้านัก ก็ไม่เปลี่ยนอะไร แล้วเหตุใดคืนนี้บรรพตเยียนจือกลับแข็งกร้าวถึงเพียงนี้
เฉินฉางเซิงเอ่ย “พวกท่านไม่มีความเป็นไปได้ที่จะชนะเลย”
บรรพตเยียนจือ “แต่คืนนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของเผ่าเทพก็ได้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “โอกาสอะไร”
บรรพตเยียนจือ “ใต้เท้าสังฆราชเป็นคนที่สี่ที่ท้าลิขิตพลิกโชคชะตาสำเร็จ พวกเราก็อยากลองดู”
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “พวกท่านอยากเปลี่ยนอะไร”
“ชะตาของเผ่าพันธุ์คืออำนาจ เผ่าเทพอ่อนอำนาจ หากไม่ฮึกเหิมขึ้นอีกครา เกรงว่าจะดับสูญแน่”
บรรพตเยียนจือเอ่ย “พวกข้าอยากจะลองพยายามดู อยากพลิกชะตาเปลี่ยนอำนาจ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ที่เมืองไป๋ตี้ในปีนั้น ข้าเคยสนทนากับผู้ปกครองของท่าน เรื่องเผ่าพันธุ์ล่มสลายประเภทนั้นจะไม่เกิดขึ้น”
บรรพตเยียนจือส่ายหน้า เศษหินร่วงหล่น บนพื้นผิวทุ่งหญ้าค่อยๆ เกิดกองหินขึ้น
“แสงอาทิตย์ต่อให้อบอุ่นเพียงใด ก็ไม่มีทางสาดส่องไปทั่วทุกมุมได้ ใต้เท้าสังฆราชต่อให้มีเมตตาเพียงใด ก็มิอาจประทานให้แก่ไพร่ฟ้าแห่งเผ่าเทพได้ ท่านและจักรพรรดิต้าโจวล้วนเป็นลูกศิษย์ของนักพรตจี้ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คือลูกศิษย์ของจักรพรรดินีเทียนไห่ เมืองเสวี่ยเหล่าไม่มีทางเชื่อในคำมั่นใดของพวกท่านแน่”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ สถานการณ์นั้นชัดเจนนัก…ในคืนนี้เผ่ามารไม่ได้อยากสังหารเพียงเซียวจาง แต่ยังมีเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
หลายปีมานี้เซียวจางอยู่ที่ทุ่งหิมะมาตลอด แต่ไม่ได้หายไปไหน เนื่องจากเขาจะต้องรบกับผู้แข็งแกร่งกับกองทัพเผ่ามารอยู่เป็นระยะ สงครามนองเลือดเกิดขึ้นต่อเนื่อง รวมไปถึงเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามารในบรรดาขุนพลมารหลายท่านที่พ่ายแพ้แก่เขา หรือกระทั่งถูกเขาสังหาร แต่เขาเองก็เคยพ่ายแพ้ เคยถูกไล่ล่าหลายครา อย่างไรก็ตามเมืองเสวี่ยเหล่าไม่เคยส่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถประชันกับผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์มาไล่ล่าสังหารเซียวจางเลย เหตุผลสำคัญก็คือกังวลว่าราชสำนักต้าโจวจักใช้ร่องรอยของเซียวจางในการวางแผนสร้างกับดัก
ก็เหมือนในปีนี้ที่ซางสิงโจวใช้เฉินฉางเซิงในการหลอกล่อให้ราชามารเฒ่าเสี่ยงอันตรายไปยังเทือกเขาหานซานหลังจากนั้นก็วางกับดักลวงสังหาร
จนถึงกระทั่งหลายสิบวันก่อนหน้า คนชุดดำเฝ้าสังเกตกลุ่มดาวไขว้ทักษิณ ทันใดนั้น ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ในบัดดล เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง และหลังจากอนุมานพิจารณาแล้วก็ได้ข้อสรุปที่ทำให้ผู้คนต่างสะพรึงกลัวได้ขึ้นมาอีก
เผ่ามนุษย์จะมีผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ในการต่อสู้ที่เมืองไป๋ตี้ในปีนั้น เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ต่อสู้จนตาย ราชามารเองก็ยังจ่ายด้วยราคาที่น่าเศร้าในการสูญเสียทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสองด้วย แต่หลายปีต่อมา เซี่ยงอ๋อง ประมุขพรรคกระบี่หลีซาน เหมาชิววี่ ต่างทยอยบรรลุสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา แม่ชีเต๋าไหวเหรินแห่งสถานศึกษาหนานซีได้พบเจอพายุฝนขณะท่องเที่ยวทะเลตงไห่ก็บรรลุระดับขั้น ไหนจะเฉาอวิ๋นผิงที่เพิ่งจะฟื้นคืนสติปัญญา หากมองเพียงจำนวนของผู้แข็งแกร่งอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ ก็ถือได้ว่าเผ่ามนุษย์นั้นได้ฟื้นคืนสู่ยุครุ่งโรจน์เฉกเช่นเดียวกับในปีนั้นแล้ว หากจะมีผุ้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เผ่ามารยังจะสามารถต่อกรได้อีกหรือ
ตามการคาดการณ์ของคนชุดดำ ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์คนใหม่ท่านนั้นอยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่าของเผ่ามาร ฐานะพร้อมที่จะป่าวประกาศได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น ราชามารหนุ่มจึงมาเยือนดินแดนหนาวเหน็บที่อยู่ตรงข้ามเหวลึกด้วยตัวเอง เพื่อขอร้องให้ผู้แข็งแกร่งในตำนานทั้งสามท่านซึ่งซ่อนตัวอยู่หลายปีออกหน้า และวางหมากตัวนี้ลงมา
สังหารเขาเสียก่อนที่เซียวจางจะบรรลุระดับขั้น หลังจากนั้นก็สังหารผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ที่ดาหน้าเข้ามาต่อกรกับพวกเขา
ในบทบันทึกของชุดดำรายนามของผู้มาทีหลังถูกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
นั่นก็คือเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง