มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1209

เขานำลูกแก้วแดนปริศนาออกมา ยกมือขึ้นมาแล้วโยนมันออกไป โคจรพลังแห่งกฎปริภูมิ ลูกแก้วแดนปริศนาขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา เผยให้เห็นสำนักเขาไท่เสวียน

ศิษย์จำนวนมากที่มาโลกเสวียนเทียนพร้อมกับเขาก็พากันปรากฏตัวออกมาเช่นกัน ทุกคนต่างกวาดตามองดูรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“พระเจ้า เป็นปราณทิพย์ฟ้าดินเข้มข้นมาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการฝึกตนอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ดีกว่าการฝึกตนในแดนตำหนักจื่อหลายเท่าตัวเลย ฉันถึงกับสัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของตัวเองใกล้จะบรรลุแล้ว”

สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมฟ้าดิน ศิษย์แต่ละคนในสำนักไท่เสวียนจึงรู้สึกทึ่งมาก

การมาโลกเสวียนเทียนในครั้งนี้ หลัวซิวก็พาญาติพี่น้องของพ่อแม่มาเช่นกัน สภาพแวดล้อมฟ้าดินของโลกเสวียนเทียนดีเลิศกว่าโลกแสงดาวหลายเท่าตัวมาก ๆ สภาพแวดล้อมส่งผลดีต่อนักยุทธ์อย่างไร มันก็ส่งผลดีต่อมนุษย์ธรรมดาทั่วไปอย่างนั้นด้วย

ยิ่งเป็นสภาพแวดล้อมฟ้าดินที่ดีเลิศ อายุไขของมนุษย์ธรรมดาก็จะยิ่งสูง บวกกับทรัพยากรสมบัติที่ดีเยี่ยมกว่าในโลกเสวียนเทียน เขาสามารถยืดอายุไขให้พ่อแม่ตนได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่ฝึกยุทธ์ ก็มีชีวิตยืนยาวอยู่บนโลกใบนี้ได้เช่นกัน

เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ก็ต่างปรากฏตัวออกมาพร้อมกับความสงสัยเช่นกัน ตอนนี้พวกนางถึงจะทราบว่า หลัวซิวมาถึงโลกเสวียนเทียนก่อนพวกเขาตั้งแต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้ว และเลือกที่ปักหลักปักฐานของสำนักไท่เสวียนไว้แล้ว

“ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักก่อน”

หลัวซิวทำการแนะนำ: “ท่านนี้คือพี่จื่อเยียน ส่วนคนนี้คือน้องชายของท่าน เจียงหมิง”

“เสี่ยวเจียงหมิง สองท่านนี้คือเพื่อนผู้ยุทธ์ของข้า ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์พี่ จึงควรจะเรียกพวกนางว่าอาจารย์แม่”

เมื่อได้ยินคำหยอกล้อของหลัวซิว เสี่ยวเจียงหมิงจึงแลบลิ้นให้เขาทีหนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นไปทักทายสตรีสองนางนั้นอย่างน่าเอ็นดู

เหยียนเยว่เอ๋อร์ยังดีหน่อย สุภาพเรียบร้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเหยียนซีโรว่กลับกระดากอายไปหน่อย

“น้องชายนี่โชคดีจริง ๆ เลยนะที่มีหญิงงามแห่งยุคสองคนคอยอยู่เคียงข้าง”ช่าจื่อเยียนก็ยิ้มพลางผงกหัวเช่นกัน

งานก่อสร้างสำนักเขาบนยอดเขาต้องเป็นหน้าที่ของศิษย์ส่วนมากของสำนักไท่เสวียนอยู่แล้ว

ตำหนักวัฏสงสารดั้งเดิมก็ถูกหลัวซิวย้ายมาเช่นกัน หลัวซิวตั้งมันไว้บนยอดเขาหลักสูงสุดที่ตั้งอยู่ตรงกลาง

ช่วงที่เริ่มก่อสร้างตำหนักวัฏสงสารนี้ มันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ค่อนข้างธรรมดาหลังหนึ่ง ครั้งนี้หลัวซิวใช้วัตถุดิบระดับเทพไปเป็นจำนวนมาก เพื่อฝึกเซ่นมันใหม่อีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ แต่ทว่าพลานุภาพของมันกลับเทียบทัดกับอัญมณีแห่งเทพมารได้

“เส้นทางการกลั่นยาและค่ายกลของข้าบรรลุถึงเทพระดับ 1 แล้ว แต่มาตรฐานภัณฑ์กลั่นของข้ากลับยังบรรลุไม่ถึงระดับที่สามารถกลั่นอัญมณีแห่งเทพมารได้”

หนึ่งคนแต่ฝึกสายเส้นทาง ถึงแม้จะมีการตระหนักรู้จากร่างแยกดับเบิ้ลและร่างกลวัฏสงสารพร้อมกัน หลัวซิวก็รู้สึกขาดศิลปะแห่งการแบ่งแยกตนเอง ยากที่จะทำสองสิ่งพร้อมกัน มีความปรารถนาและแผนการแต่กลับไม่มีพละกำลังที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นจริงได้

เส้นทางแห่งการภัณฑ์กลั่น ถึงแม้ไม่จำเป็นต้องเป็นนักศัสตราวุธถึงจะสามารถกลั่นอัญมณีแห่งเทพมารได้ แต่ถ้าหากให้ผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญการภัณฑ์กลั่นมาฝึกเซ่นอาวุธสมบัติที่อยู่ในระดับเดียวกัน พลานุภาพของอาวุธที่กลั่นออกมาได้ต้องทรงพลังกว่าอาวุธที่ถูกฝึกเซ่นออกมาโดยผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญอยู่แล้ว

ตั้งแต่สมัยโบราณมา การภัณฑ์กลั่นและค่ายกลเกี่ยวเนื่องกับผลการฝึกตนด้วย โดยเฉพาะอาวุธที่มีระดับตั้งแต่อัญมณีแห่งเทพมารเป็นต้นไป พลานุภาพของมันจะทรงพลังหรือไม่นั้น โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับสามปัจจัยหลัก

ปัจจัยแรกก็คือคุณภาพของวัตถุดิบ วัตถุดิบยิ่งดีศักยภาพและพลานุภาพของอาวุธก็จะยิ่งมาก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย

ส่วนปัจจัยที่สองคือค่ายกล ร่องรอยกฎที่สลักวาดอยู่บนอาวุธ ต้องมีพลังจากเส้นทางแห่งค่ายกลแฝงซ่อนอยู่ ยิ่งเป็นการจัดเรียงร่องรอยกฎที่ประณีตสวยวิจิตรมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเกี่ยวข้องกับระดับฝีมือที่มีต่อค่ายกลลึกซึ้งมากเท่านั้น

และปัจจัยที่สามก็คือพลังอมตะ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารเป็นต้นไปที่ตีหลอมฝึกเซ่นอาวุธนั้น ล้วนเป็นเพราะเพื่อทำให้แสดงพลานุภาพของพลังอมตะหนึ่งหรือกระบวนท่าหนึ่งออกมาได้ทรงพลังมากยิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นเกราะเทพเวหากาลที่ถูกฝึกเซ่นโดยเทพสงครามเอกภพ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพลังอมตะอย่างเทพสงครามไร้เทียมทานโดยเฉพาะ