พลังอมตะอย่างเทพสงครามไร้เทียมทาน สามารถทำให้กำลังรบของตัวนักยุทธ์พุ่งพรวดขึ้นหลายเท่าตัว แต่พลังที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้นี้กลับต้องมีร่างเนื้อที่เกะกะระรานมารองรับถึงจะแบกรับมันไหว

เพื่อกระตุ้นให้พลานุภาพของพลังอมตะนี้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เทพสงครามเอกภพจึงฝึกเซ่นตีหลอมเกราะเทพเวหากาลขึ้นมา เช่นนี้ไม่เพียงทำให้พลานุภาพของพลังอมตะแข็งแกร่งขึ้น เกราะเทพเวหากาลก็สามารถทำให้ร่างเนื้อเขาแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน และสามารถต้านทานการแว้งทำร้ายจากพลังอมตะนี้ได้

และอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือตำหนักจื่อเซียวที่หงเทียนฝึกเซ่นขึ้นมา พลังอมตะที่เขาฝึกคือวังเซียนจื่อเซียว ใช้พลังอมตะดังกล่าวมาฝึกเซ่นตำหนักจื่อเซียวหนึ่งหลัง เช่นนี้ไม่เพียงพลานุภาพของอาวุธจะแข็งแกร่งขึ้น พลังอมตะก็จะแข็งแกร่งตามเช่นกัน มีพลานุภาพทรงพลังมากกว่าเดิม

เพราะฉะนั้นพอจะพูดได้เลยว่าเส้นทางแห่งการภัณฑ์กลั่นเป็นวิชาความรู้ที่ลึกซึ้งมากมายและครอบจักรวาล!

เวลาล่วงผ่านไปเงียบ ๆ อย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ศิษย์จำนวนมากในสำนักไท่เสวียนถูกหลัวซิวพามาที่นี่ สถานที่ที่ฝึกตนในปัจจุบันของพวกเขา เทียบเท่ากับสภาพแวดล้อมในการฝึกตนของศิษย์ใจกลางของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเทียนเหมิน

ครั้นเมื่อสำนักไท่เสวียนรับเปิดรับศิษย์ ล้วนคัดเลือกอัจฉริยะที่มีความสามารถเป็นเลิศ สติปัญญาที่มีมาตั้งแต่เกิดสูงส่ง ภายใต้สภาพแวดล้อมการฝึกตนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ศักยภาพและผลการฝึกตนของทุกคนจึงเพิ่มขึ้นสูงมาก มีคนจำนวนไม่น้อยต่างบรรลุถึงแดนมหายุทธ์แล้ว

สามารถจินตนาการได้เลยว่าสักวันหากคนเหล่านี้เติบใหญ่ขึ้นมา พวกเขาก็จะกลายเป็นกำลังที่เป็นแกนสำคัญของสำนักไท่เสวียน ทำให้สำนักไท่เสวียนมีกำลังที่มั่นคง มีแก่นแท้ที่สามารถยืนหยัดได้อย่างแท้จริง

เฟิ่งหวูซินให้ความสำคัญต่อหลัวซิวมาก ด้วยเหตุนี้พฤติกรรมของเขาที่มีต่อสำนักไท่เสวียนก็ดีมาก ๆ ด้วย ถึงกับเปิดให้ทำภารกิจบางอย่างของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ให้ศิษย์ในสำนักไท่เสวียนได้รับสวัสดิการต่าง ๆ เทียบเท่ากับศิษย์ในสำนักของสำนักศักดิ์สิทธิ์

ถึงแม้ศิษย์ในสำนักไท่เสวียนและสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินจะมีการปะทะกันบ้าง หรือแม้กระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาทกันบ้าง หลัวซิวและระดับสูงในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินก็ต่างเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ แท้จริงแล้วบรรยากาศการแข่งขันเช่นนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจและสามารถปลุกเร้าให้ศิษย์ในสำนักมุมานะบากบั่นในการเพ็ญตนเช่นกัน

ช่วงนี้หลัวซิวก็ไม่ได้ออกไปที่ใด ตั้งใจฝึกตนอยู่บนยอดเขาหลักไท่เสวียน และชี้แนะการเพ็ญตนให้แก่เสี่ยวเจียงหมิงบ้างบางเวลา

ครั้นเมื่ออยู่ในเมืองแก้วเทว เขาใช้แก้วเทวไปเจ็ดล้านกว่าชิ้นและซื้อยาเซียนมาได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งกลั่นยาเซียนทั้งหมดให้กลายเป็นเม็ดยาเซียนภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่า

แต่ทว่าเขาไม่ได้พึ่งพาฤทธิ์ยาของยาเซียนเพื่อมาบรรลุให้ถึงแดนเทพมาร แต่เป็นการร่ายวิชาร่างแยกดับเบิ้ลอีกครั้ง เผยให้เห็นร่างแยกสองระดับความเป็นตาย ผลการฝึกตนลดลงไปที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 ใหม่อีกครั้ง

“เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ เมื่อระดับแดนยิ่งสูงความยากลำบากก็จะยิ่งมาก และช่วงนี้ก็จะสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของรากฐานมากขึ้น”

หลัวซิวนึกคิดอยู่ในใจ“ข้าจะรีบยกระดับผลการฝึกตนไม่ได้ ถึงแม้การยกระดับผลการฝึกตนจะสามารถทำให้ศักยภาพของข้าพุ่งพรวดได้ก็ตาม แต่ถ้าหากส่งผลให้รากฐานไม่มั่นคง อนาคตเมื่อแดนผลการฝึกตนยิ่งสูง ข้อเสียที่ตามมาก็จะยิ่งมาก”

ถึงแม้ปัจจุบันร่างแยกดับเบิ้ลจะมีผลการฝึกตนอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูง แต่ในความเป็นจริงมีเพียงหลัวซิวผู้เดียวเท่านั้นที่ทราบว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูงของเขา ไม่ได้อยู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูงอย่างแท้จริง เนื่องจากเขาขาดการตระหนักรู้ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 ถึงขั้น 9!

มีเพียงผลการฝึกตน แต่ไม่มีแดน นี่จึงเป็นข้อบกพร่องใหญ่

หลัวซิวตั้งปณิธานแสวงหาแดนสูงสุดของเส้นทางการฝึกยุทธ์ จึงจะปล่อยให้เกิดปัญหาในเรื่องแบบนี้ไม่ได้อยู่แล้ว

“การกลั่นยาของข้าบรรลุถึงระดับเทพได้เพราะวิชายาชิงเสวียน และการตระหนักรู้ในรายละเอียดขั้นปฐมภูมิของการเป็นนักยาเซียน”

“ส่วนค่ายกลของข้าบรรลุถึงระดับเทพได้นั้น เป็นเพราะการตระหนักรู้ค่ายเทพต้องห้ามในแดนเทพสงคราม”

“ปัจจุบันข้าต้องยกระดับมาตรฐานภัณฑ์กลั่นของข้าให้บรรลุถึงระดับเทพ จึงต้องอ่านประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนประกอบด้วย”

เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวจึงเดินออกมาจากตำหนักวัฏสงสาร วางแผนจะไปดูที่หอไตรของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน

เพราะถึงอย่างไรปัจจุบันตัวตนของเขาไม่ใช่เพียงเจ้าสำนักไท่เสวียน แต่ยังเป็นศิษย์ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินด้วย

“พี่จื่อเยียน”