ตอนที่ 1866 ตบหน้าสิบครั้ง

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ถึงแม้ขุมอำนาจต่างๆจะยื่นข้อเสนอที่ยั่วยวนมากมายหลิงฮันก็ไม่ตกลง

น่าขันนัก ขุมอำนาจเหล่านี้เป็นเพียงขุมอำนาจสองหรือสามดาวเท่านั้น ซึ่งพลังอำนาจของพวกเขายังถือว่าไม่มากพอ

มีเพียงการได้รับสืบทอดเป็นประมุขน้อยของเมืองวิถีโอสถเท่านั้น ชื่อเสียงของเขาถึงจะโด่งดัน จนสามารถทำให้ผู้กองก๋วนค้นหาเขาเจอได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่ว่าอย่างไรเมืองวิถีโอสถคือขุมอำนาจ ที่ส่งออกเม็ดยาไปทั่วดินแดนแห่งเซียนอย่างน้อยสี่ในสิบส่วน และในดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกแห่งนี้ เมืองวิถีโอสถคือขุมอำนาจที่ปกครองศาสตร์เม็ดยาเอาไว้อย่างสมบูรณ์

แน่นอนว่าหากเขาได้เป็นประมุขน้อยจริง ก็มีความเป็นไปได้ที่ข่าวจะแพร่งพรายไปถึงหูของตำหนักเมฆาอัสนี และตระกูลจื่อเหอเช่นกัน

ขุมอำนาจทั้งสองไม่มีทางปล่อยหลิงฮันไปแน่ ต่อให้พวกเขาจะหวาดกลัวAnchorตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ แต่พวกเขาก็สามารถลอบสังหารหลิงฮันอย่างลับๆได้ ในดินแดนแห่งเซียนอันกว้างใหญ่นี้ มีปรมาจารย์ที่ทรงพลังอยู่มากมาย ตราบใดที่ไม่มีหลักฐาน ใครจะกล่าวหาพวกเขาได้ว่าเป็นคนทำ?

หรือไม่ก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือขุมอำนาจราชานิรันดร์ทั้งสอง อาจจะไม่คิดว่าหลิงฮันคือหลิงฮันคนเดียวกัน เพราะหลิงฮันตัวจริงได้มุ่งหน้ากลับAnchorดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตกไปแล้ว และหลิงฮันที่ได้เป็นประมุขน้อยผู้นี้ก็แค่คนที่ชื่อเหมือนกัน

เพราะอย่างไรหลิงฮันคนหนึ่งก็คืออัจฉริยะในศาสตร์วรยุทธ ส่วนหลิงฮันที่เพิ่งเป็นข่าวคืออัจฉริยะในศาสตร์ปรุงยา พรสวรรค์ในศาสตร์ทั้งสองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะงั้นใครกันจะเชื่อว่าทั้งสองคนคือคนคนเดียวกัน?

หลิงฮันปฏิเสธคำเชิญชวนทั้งหมด ซึ่งก็มีทั้งขุมอำนาจที่ผิดหวัง ขุมอำนาจที่ขอให้หลิงฮันคิดทบทวนอีกครั้ง และขุมอำนาจที่ข่มขู่หลิงฮัน

หนึ่งค่ำคืนผ่านพ้นไป และการประลองในวันใหม่ก็เริ่มขึ้น

คู่ต่อสู้ของเขาในวันนี้คืออี้เทียนเหอ ผู้สืบทอดของขุมอำนาจสามดาวอย่างนิกายรุ้งโลหิต

“นายน้อยเฉิง… เอ่อ วันนี้ช่วยแสดงความคิดเห็นอีกได้รึไม่?”

ผู้ชมกลุ่มเดิมนั่งในที่นั่งที่แทบจะเหมือนกับเมื่อวาน สายตาของพวกเขาจดจ้องไปยังเฉิงเฟิงหยุนเพื่อหวังจะได้เห็นการแสดงสนุกๆ

เฉิงเฟิงหยุนผู้นี้ก็ถือว่าหน้าด้านไม่เบาเช่นกัน เมื่อวานเขาเพิ่งกินเก้าอี้เข้าไปและต้องเสียค่าชดใช้ไปเองแท้ๆ แต่วันนี้ก็ยังกล้าโผล่หน้ามาให้เห็นอีก

“อี้เทียนเหอคือผู้สืบทอดของนิกายรุ้งโลหิต แถมสายเลือดของเขาก็ยังทรงพลังมากอีกด้วย ถึงแม้พลังของสายเลือดจะไม่แข็งแกร่งเท่าแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่ความสามารถของเขาก็เหนือกว่าถังเฟิง” เฉิงเฟิงหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดขี่หลิงฮันให้ดูต่ำ

ผู้คนรอบข้างหัวเราะชอบใจ เมื่อวานเจ้าก็พูดแบบนี้ไม่ใช่รึ แล้วดูสิว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร?

“หรือก็คือนายน้อยเฉิงคิดว่าหลิงฮันจะเป็นฝ่ายแพ้สินะ?” ใครบางคนจงใจกล่าวเพื่อยืนยันคำพูดของเฉิงเฟิงหยุน

เฉิงเฟิงหยุนกัดฟัน “การประลองครั้งนี้… หลิงฮันต้องแพ้แน่นอน!”

“นายน้อยเฉิง ครั้งนี้ท่านจะเดิมพันอะไรรึเปล่า?” คนประเภทที่กลัวว่าโลกจะสงบสุขนั้นมีให้เห็นอยู่เสมอ

เฉิงเฟิงหยุนถลึงตามองไปยังเจ้าของเสียงที่กล่าวประโยคเมื่อครู่ เดิมพันน้องสาวเจ้าสิ ต่อให้ข้าเดิมพันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรอยู่แล้ว เมื่อวานแม้ข้าจะพลาดพลั้ง แต่วันนี้ประวัติศาสตร์ไม่มีวันซ้ำรอย

“ข้าเดิมพันว่าหลิงฮันจะต้องชนะ!” เสียงอันทรงเสน่ห์ของสตรีดังขึ้นมา “เจ้ากล้าเดิมพันรึเปล่า?” สตรีผู้นั้นมองมายังเฉิงเฟิงหยุน

สตรีผู้นี้นอกจากสตรีนกอมตะย่อมไม่ใช่ใครอื่น นางสังเกตมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า เฉิงเฟิงหยุนผู้นี้เอาแต่จิกกัดสามีของนาง จึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่พอใจ

เฉิงเฟิงหยุนหวั่นไหวเล็กน้อย เนื่องจากสตรีงดงามอย่างสตรีนกอมตะนั้น ในเมืองวิถีโอสถแห่งนี้มีให้พบเห็นไม่มาก

“แล้วเจ้าต้องการเดิมพันด้วยอะไร?” จิตใตของเฉิงเฟิงหยุนฮึกเหิมทันที

“หากข้าชนะเดิมพัน เจ้าจะต้องตบหน้าตัวเองสิบที” สตรีนกอมตะกล่าว

ใบหน้าของเฉิงเฟิงหยุนเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย สตรีผู้นี้เป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งเท่านั้น แต่กล้าที่จะท้าทายเขางั้นรึ? เขาเค้นเสียงกล่าวตอบ “หากข้าชนะเดิมพัน ข้าจะตบหน้าเจ้าสิบที!”

เขาจะทำให้นางรับรู้ถึงความเจ็บปวดก่อนเป็นอย่างแรก แล้วค่อยปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนภายหลัง และใช้โอกาสนั้นในการกุมหัวใจอีกฝ่าย

สตรีนกอมตะไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากนางรู้ว่าบุรุษผู้นี้คิดอะไรอยู่ เพียงแต่ว่าในเมื่อต่างฝ่ายก็ต่างเดิมพันด้วยการตบหน้าสิบครั้งทั้งคู่ หากมองจากมุมนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ถือว่าเอาเปรียบเอาไว้

ด้วยเหตุนี้นางจึงพยักหน้าและกล่าว “ตกลง!”

นางมั่นใจในตัวหลิงฮันเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่ราชาแห่งยุคเลย แม้ราชาในหมู่ราชาก็ยังถูกหลิงฮันสังหารมาแล้ว

….

ณ ลานประลอง อี้เทียนเหอก้าวเดินขึ้นสู่ลานประลองอย่างห้าวหาญ เขาคือชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์งดงาม และสวมชุดคลุมยาวสีขาวแกมเงิน

สายตาของเขาจดจ้องไปยังหลิงฮันอยู่ชั่วครู่ “ข้าเห็นการประลองของเจ้าเมื่อวานแล้ว”

“แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” หลิงฮันยิ้ม

“เจ้าแข็งแกร่งมาก!” อี้เทียนเหอพยักหน้า “เพียงแต่ว่าข้านั้นไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้โดยที่ยังไม่สู้ การได้สู้กับจอมยุทธที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า อาจจะช่วยขัดเกลาให้ข้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

หลิงฮันยิ้ม ถึงแม้เขาจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการประมือ กับจอมยุทธอ่อนแออย่างอี้เทียนเหอ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ล่วงเกินเขา เขาก็ไม่คิดจะเหยียบย่ำอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” อี้เทียนเหอกล่าว

เขาเริ่มโคจรรวบรวมพลัง ‘ครืนน’ วิถีทางช้างเผือกหมุนวนอยู่กลางอากาศโดยมีศีรษะของเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ก่อนจะพุ่งยะทานขึ้นสู่ท้องฟ้า ‘ครืนน’ เสียงการไหลของวารีดังสนั่นขึ้น ก่อนที่ตราประทับแห่งเต๋ามากมายจะปรากฏออกมาตามๆกัน

ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ทั่วร่างของอี้เทียนเหอก็ถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารี ที่เบื้องล่างใต้ฝ่าเท้าของเขามีสายธารค่อยๆแพร่ขยายเป็นวงกว้าง หยดวารีมากมายล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้อี้เทียนเหอดูราวกับเป็นร่างจุติของเทพวารี

หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เข้ามา!”

“รับมือ!” ภายในมือของอี้เทียนเหอปรากฎหอกสามง่าม ซึ่งเป็นอาวุธที่ถูกควบแน่นมาจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารี มือสองข้างของเขากวัดแกว่งหอกสามง่ามควบคุมวารีเบื้องล่างให้ลอยขึ้นมา และทิ่มแท่งเข้าใส่หลิงฮัน

‘ครืนนน’ คลื่นวารีนับหมื่นถาโถมเข้าใส่หลิงฮันด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว

หลิงฮันเอื้อมมือไปด้านหน้าเพื่อคว้าจับหอกสามง่าม

“โอหัง!” อี้เทียนเหอคำราม กล้าดูถูกข้างั้นรึ? ช่างอวดดีอะไรอย่างนี้

งั้นก็รับผลกรรมที่ดูถูกข้าไปซะ!

“จงแหลกสลาย!” อี้เทียนเหอตะโกนเสียงดัง พลังของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีปะทุออกพร้อมกับพุ่งเข้าใส่มือของหลิงฮัน

หลิงฮันยิ้ม ‘ตูม’ คลื่นเปลวเพลิงปะทุออกมาจากร่างของเขา และพรั่งพรูไปทั่วพื้นที่