ตอนที่ 1867 เฉิงเฟิงหยุนผู้แสนรันทด

Alchemy Emperor of the Divine Dao

เพลิงกับวารีคือคู่ขนานที่ไม่อาจอยู่ร่วมกัน

ถึงแม้ในธาตุทั้งห้า ธาตุวารีจะเป็นธาตุที่กำราบธาตุเพลิงได้ แต่ในทางกลับกัน ธาตุเพลิงก็สามารถกำราบธาตุวารีได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าต้นกำเนิดพลังของธาตุไหนแข็งแกร่งกว่า

อี้เทียนเหอทรงพลังมากเป็นอย่างมาก ถึงแม้เขาจะไม่มีแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่เขาก็มีพลังสายเลือดที่ด้อยกว่าแก่นกำเนิดพลังเพียงเล็กน้อย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงแข็งแกร่งกว่าถังเฟิง

แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หลิงฮันคือผู้ครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์ แถมเขาก็ยังมีเพลิงเก้าสวรรค์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าแก่นกำเนิดนิรันดร์เสียอีก!

แก่นกำเนิดนิรันดร์คือสิ่งที่ช่วยให้สามารถใช้ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระดับราชานิรันดร์ได้บางส่วน แต่เพลิงเก้าสวรรค์นั้นมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระดับราชานิรันดร์ที่สมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง

เพียงแต่เปลวเพลิงที่หลิงฮันปลดปล่อยออกมานั้น เป็นเพียงแค่เปลวเพลิงจากแก่นกำเนิดนิรันดร์ไม่ใช่เพลิงจากเพลิงเก้าสวรรค์ คลื่นเปลวเพลิงค่อยๆปรากฏตราประทับแห่งเต๋ามากมาย และทำการต่อต้านตราประทับแห่งเต๋าของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารี

ภายใต้อำนาจเผาผลาญของเปลวเพลิงอันร้อนระอุ คลื่นวารีถูกทำให้ระเหยกลายเป็นไอ และสลายไปอย่างรวดเร็ว

ร่างของกายของอี้เทียนเหอเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาของเขากลายเป็นซูบผอมจนเห็นกระดูก ราวกับน้ำในร่างถูกทำให้แห้งเหือดไปจนหมด

ที่ด้านบนที่นั่งผู้ชม ทุกคนตกตะลึงจนแน่นิ่งไร้คำพูด

ใครจะไปคาดคิดว่าแค่การประลองเริ่มได้ไม่นาน ผลแพ้ชนะก็จะออกมาเร็วขนาดนี้

เมื่อวานหลิงฮันเอาชนะถึงเฟิงได้ในหนึ่งกระบวนท่า วันนี้เขาก็สามารถเอาชนะอี้เทียนเหอได้ในหนึ่งกระบวนท่าเช่นกัน

เหลือเชื่อ… หลิงฮันผู้นี้คือใครกันแน่?

ใบหน้าของเฉิงเฟิงหยุนชักกระตุกไปมา ถึงแม้การประลองจะยังไม่สิ้นสุดอย่างเป็นทางการ แต่เขาก็รู้แน่ชัดแล้วว่าเขาแพ้การพนัน

บัดซบ!

เขาสบถด่าในใจ เหตุใดจอมยุทธที่แข็งแกร่งขนาดนี้ถึงได้มาปรากฏในอาณาเขตที่หนึ่งกัน? หากเจ้าเป็นผู้สืบทอดราชานิรันดร์ล่ะก็ เจ้าสามารถข้ามไปยังการประลองในอาณาเขตที่สี่ได้เลยแท้ๆ

เจ้าคงไม่ได้จงใจมาปรากฏตัวที่นี่ เพื่อสร้างความอัปยศให้ข้าหรอกนะ?

“ข้าขอยอมแพ้!” อี้เทียนเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ราวกับใจจริงยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้

หลิงฮันก้าวถอยหลังเล็กน้อยก่อยจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับการประลอง”

ร่างของอี้เทียนเหอสั่นสะท้าน พร้อมกับโคจรแก่นกำเนิดพลังภายในร่าง พริบตาต่อมาร่างกายที่ซูบผอมของเขาก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติ ตราบใดที่แก่นกำเนิดพลังไม่ได้รับความเสียหาย สำหรับจอมยุทธแล้วบาดแผลต่างๆก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

ใบหน้าของเขากลับมาอยู่ในสภาพหล่อเหลาเช่นเดิม และจ้องมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ชายหลิง ถ้าขออวยพรให้ท่านฝ่าฝันไปจนได้รับชัยชนะในการประลองครั้งสุดท้าย เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าการประลองครั้งนี้ จ้าวชิงเฟิงเองก็เข้าร่วมเช่นกัน จ้าวชิงเฟิงผู้นี้… ข้าเคยพบเจอเขามาแล้วครั้งหนึ่งที่ซากโบราณสภาน พลังของคนผู้นี้แข็งแกร่งเกินจะพรรณนา ซึ่งข้าถือว่าโชคดีมากที่รอดชีวิตกลับมาได้”

จ้าวชิงเฟิงอีกแล้วรึ!

หลิงฮันเคยได้ยินชื่อนี้จากเจ้าหน้าที่ทำการแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในตอนนั้นเป็นเพราะเจ้าหน้าที่คนนั้นยังไม่บรรลุแม้แต่ระดับโลกียนิพพาน เขาจึงคิดว่าการที่อีกฝ่ายบอกว่าจ้าวชิงเฟิงแข็งแกร่งนั้น หมายถึงความแข็งแกร่งในระดับราชาแห่งยุคเท่านั้น แต่ถ้าหากแม้แต่อี้เทียนเหอก็ยังบอกว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากล่ะ จ้าวชิงเฟิงผู้นั้นก็คงจะแข็งแกร่งจริงๆ

“ข้าจะระวังตัวไว้” เขากล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม

“พี่ชายหลิงอย่างประมาท!” อี้เทียนเหอกล่าวอย่างจริงจัง “พลังของจ้าวชิงเฟิงนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าระดับราชาในหมู่ราชาไปแล้ว ในความคิดของข้า ถึงแม้อีกฝ่ายจะยังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นระดับจักรพรรดิ แต่ก็อยู่ไม่ห่างจากระดับนั้นเท่าไหร่”

คราวนี้หลิงฮันรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง… จักรพรรดิ!

ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นขนาดไหน ถ้าหากยังไม่บรรลุระดับห้านิพพานก็ไม่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่าเป็นจักรพรรดิ อย่างเช่นหลิงฮันในตอนนี้ เขามีแค่ศักยภาพที่จะเป็นจักรพรรดิเท่านั้น ตราบใดที่เขายังไม่บรรลุห้านิพพาน เขาก็ยังเป็นเพียงราชาในหมู่ราชาแนวหน้า

เขาไม่เชื่อว่าจ้าวชิงเฟิงจะบรรลุระดับห้านิพพานแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นการประลองในรอบสุดท้ายก็ไม่จำเป็นต้องประลองกันให้เสียเวลา ความแตกต่างระหว่างนิรันดร์ห้านิพพานกับสี่นิพพาน ก็เปรียบเสมือนความต่างของระดับโลกียนิพพานกับระดับแบ่งแยกวิญญาณ

“ยิ่งกว่านั้นจ้าวชิงเฟิงก็ยังชื่นชอบที่จะสังหารอัจฉริยะอีกด้วย” อี้เทียนเหอยิ้มอย่างขมขื่น “ที่ตอนนั้นข้ารอดชีวิตมาได้ อาจไม่ใช่เพราะจ้าวชิงเฟิงเมตตา แต่คงเพราะเขาไม่แยแสที่จะสังการจอมยุทธทั่วไปอย่างข้า”

ในสายตาของจ้าวชิงเฟิง นิรันดร์ระดับราชาก็ไม่ต่างอะไรจากจอมยุทธทั่วไป!

หลิงฮันพยักหน้า “ขอบคุณมาก ข้าจะจำไว้”

อี้เทียนเหอเองก็พยักหน้าและหันหลังจากไป

ด้านบนแท่นที่นั่งผู้ชม ใบหน้าของเฉิงเฟิงหยุนมืดมนเป็นอย่างมาก ในตอนนี้เขารู้สึกอย่างจะพุ่งตัวไปทุบตีอี้เทียนเหอจริงๆ

เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นราชาอีกรึ?

บัดซบ หมูยังใจสู้ยิ่งกว่าเจ้าด้วยซ้ำ!

“ตบหน้าซะ” สตรีนกอมตะกล่าวอย่างไม่แยแส

แต่เมื่อพูดถึงการเดิมพันแล้ว เฉิงเฟิงหยุนก็นับว่าพูดจริงทำจริง เขากัดฟันและสะบัดมือตบหน้าตัวเอง

……

การประลองในครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของหลิงฮันโด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก ขุมอำนาจมากมายต่างยื่นข้อเสนอเชิญชวนให้หลิงฮันเข้าร่วม แต่ทุกอย่างก็เหมือนเมื่อวาน หลิงฮันคร้านจะสนใจและปฏิเสธไปทั้งหมด

ในวันที่สี่และห้า หลิงฮันพบเจอคู่ต่อสู้ที่เป็นราชาแห่งยุค ยิ่งจำนวนผู้เข้าประลองเหลือน้อยลง โอกาสที่จะพบเจอจอมยุทธทรงพลังก็ยิ่งมากขึ้น เพียงแต่สำหรับจอมยุทธเหล่านั้นแล้ว การได้พบเจอหลิงฮันก็เปรียบเสมือนฝันร้าย

หลิงฮันเอาชนะการประลองไปจนถึงสิบคนหกคนสุดท้ายได้อย่างง่ายดาย

ขอแค่เอาชนะอีกสองรอบ เขาก็จะได้ผ่านไปประลองที่อาณาเขตที่สี่

ในวันที่เก้า คู่ต่อสู้ของหลิงฮันคือ… ธิดาโร๋ว!

“ในการประลองครั้งนี้ หลิงฮันจะต้องแพ้อย่างแน่นอน!” เฉิงเฟิงหยุนที่นิ่งเงียบมาหลายวันเปิดปากแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง เนื่องจากคู่ต่อสู้ของหลิงฮันในวันนี้คือธิดาโร๋ว

“ธิดาโร๋วคือศิษย์ของนิกายซู่หนู่ เหล่าจอมยุทธในนิกายแห่งนั้น ทุกคนล้วนแต่เป็นสตรีที่งดงามราวกับเทพธิดา แถมยังฝึกฝนทักษะยั่วยวนอันเป็นเอกลักษณ์ของนิกาย อย่าว่าแต่บุรุษเพศเลย ต่อให้เป็นสตรีด้วยกันก็ไม่อาจต้านทานรอยยิ้มของนางได้!”

ความมั่นใจของเฉิงเฟิงหยุนฟื้นคืนกลับมา

ผู้ชมรอบข้างเขานั่งฟังอยู่เงียบๆ ก่อนที่ใครบางคนจะเอ่ยขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น ท่านคิดจะเดิมพันไหม?”

ครั้งนี้เฉิงเฟิงหยุนมั่นใจเป็นอย่างมาก และเป็นฝ่ายกล่าวออกมาเอง “หากหลิงฮันยังคว้าชัยชนะได้อีกครั้ง ข้าจะเต้นระบำโชว์ที่นี่เลย!”

จากคำพูดที่กล่าวออกมา แสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจขนาดไหน

“โอ้ นายน้อยเฉิงช่างใจกล้านัก!” ใครหลายคนเอ่ยตอบ โดยที่ไม่รู้ว่าต้องการชมเฉิงเฟิงหยุนจริงหรือไม่

……

ณ ลานประลอง

ธิดาโร๋วกำลังก้าวขึ้นลานประลองด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ใบหน้าอันงดงามราวกับเทพธิดาของนาง ทรงเสน่ห์จนสามารถทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ ยิ่งกว่านั้นเอวเรียวบางและบั้นท้ายอวบอิ่มที่ส่ายไปมาของนาง ก็ยังแทบทำให้หัวใจของผู้คนหยุดเต้น

เพียงแต่คิ้วของนางกลับขมวดเข้าหากัน นางถอนหายใจและพึมพำ “ทำไมข้าต้องมาเจอสัตว์ประหลาดนั่นด้วย! อย่างน้อยเอาไว้หลังจากการประลองอีกสองรอบก็ได้แท้ๆ!”

นางรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องไปAnchorตำหนักมัจฉาวายุภักษ์อะไรนั่นรึไง? เหตุใดถึงมาโผล่หัวในการประลองชิงเม็ดยาเสริมรากฐานกัน?

“ข้าขอยอมแพ้!” นางสละสิทธิ์ทันทีโดยไม่คิดแม้แต่จะสู้

พรวด!

เฉิงเฟิงหยุนสำลักออกมา ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความตกตะลึงจนถึงขีดสุด