บทที่ 1041 ความตกใจกลัวของต่งจ้านกัง

The king of War

“ฆ่ามัน!”

ทันใดนั้นเฉียนเปียวก็เคลื่อนไหว

กริชในมือของเขาส่องประกายเย็นเยียบ วาดส่วนโค้งที่งดงามกลางอากาศอย่างฉับพลัน

“พลั่ก!”

ทันทีที่โจมตีก็ทำให้องครักษ์ตระกูลไป๋บาดเจ็บอย่างคาดไม่ถึง

“แกกำลังรนหาที่ตาย!”

แขนขององครักษ์ตระกูลไป๋ถูกกรีดเป็นบาดแผลลึก องครักษ์ตระกูลไป๋โกรธจัดและต่อยเข้าที่ศีรษะของเฉียนเปียวทันที

แววตาของเฉียนเปียวเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม การโจมตีเมื่อครู่เป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเขาเพื่อหมายเอาชีวิตขององครักษ์ตระกูลไป๋

การโจมตีครั้งนี้ไม่ได้เหลือทางล่าถอยไว้ให้กับตัวเองเลย เมื่อการสังหารล้มเหลว เขาจะถูกเปิดเผยตัวภายใต้การโจมตีของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์

ตัวเขาเป็นผู้แข็งแกร่งแดนราชาขั้นต้น ในขณะที่องครักษ์ตระกูลไป๋เป็นผู้แข็งแกร่งแดนราชาขั้นปลาย ความสามารถของทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างสุดกำลังจากผู้แข็งแกร่งแดนราชาขั้นปลาย เขามีแต่ตายกับตายเท่านั้น

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบหลีก

“ตายซะ!”

องครักษ์ตระกูลไป๋คำรามแล้วปล่อยหมัดออกมา

พนักงานหลายคนของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปที่รายล้อมอยู่ ที่เป็นผู้หญิงต่างหลับตาราวกับว่าไม่ต้องการเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“พี่เฉียน!”

ฉินซีตะโกนดังลั่นด้วยหัวใจแตกสลาย

เธอรู้ว่าหยางเฉินเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์มากแค่ไหน ถ้าเฉียนเปียวตายเพราะปกป้องเธอ แม้ว่าหยางเฉินจะกลับมาได้ก็เกรงว่าจะไม่ยกโทษให้เธอ

เธอต้องการขัดขวางการโจมตีเฉียนเปียว แต่ในฐานะผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เธอทำอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่เธอทำได้คือมองดูกำปั้นขององครักษ์ตระกูลไป๋ที่เข้าใกล้ศีรษะของเฉียนเปียวมากขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงเวลาที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายนี้ ชายวัยกลางคนสวมชุดนักรบปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเฉียนเปียวราวกับพายุหมุน พลันปล่อยหมัดออกมา

“ตูม!”

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเยี่ยนเฉินกรุ๊ป

ทุกคนตกตะลึงกับการปรากฏตัวของผู้แข็งแกร่งคนนี้ เห็นเพียงองครักษ์ตระกูลไป๋ที่เพิ่งโจมตีเฉียนเปียวอย่างโหดร้าย ในเวลานี้ได้โบกสะบัดท่อนแขนเตรียมพร้อมที่จะฆ่าเฉียนเปียว พลางหักนิ้วทีละนิ้ว

“อา…แขนของฉัน!”

ร่างขององครักษ์ตระกูลไป๋ถูกโจมตีกระเด็นออกไปและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันที

“แก แกเป็นใคร? กล้าดียังไงมายุ่งเรื่องตระกูลคิงไป๋ของฉัน!”

พอไป๋จวิ้นเหาเห็นชายสวมชุดนักรบคนนี้ก็ตกใจมากจนพูดจาตะกุกตะกัก

เฉียนเปียวมองไปยังร่างกำยำที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ

ฉินซีก็เช่นกัน อันที่จริงมันเป็นครั้งที่สองที่เธอได้เห็นต่งจ้านกัง ครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในสถานที่เกิดเหตุของหยางเฉิน ต่งจ้านกังได้พาคนของกองยุทธการมาด้วย

เพียงแต่ว่าฉินซีนั้นเสียใจมาก เธอไม่ได้สังเกตต่งจ้านกังเลย

“ต่งจ้านกัง ผู้บังคับบัญชาสูงสุดแห่งกองยุทธการเมืองเยี่ยนตู!”

ต่งจ้านกังยืนอยู่ข้างหน้าเฉียนเปียว กล่าวอย่างภาคภูมิใจ เขาปลดปล่อยพลังอาฆาตออกมาทั่วร่างกาย ทั้งเยี่ยนเฉินกรุ๊ปดูเหมือนจะปกคลุมไปด้วยความโกรธของเขา

เมื่อได้ยินคำพูดของต่งจ้านกัง เฉียนเปียวก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก เขาคิดมาตลอดว่าหยางเฉินถูกคนจากกองยุทธการพาตัวไป ตอนนี้ต่งจ้านกังออกหน้าช่วยพวกเขาด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นคำสั่งของหยางเฉิน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้หยางเฉินรอดพ้นจากอันตรายแล้วใช่ไหม?

ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะจัดให้ผู้บัญชาการสูงสุดของกองยุทธการเมืองเยี่ยนตูมาที่นี่ได้อย่างไร?

ตราบใดที่หยางเฉินยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างก็ยังมีความหวัง!

หลังจากได้ยินคำพูดของต่งจ้านกัง สีหน้าของไป๋จวิ้นเหาก็แย่ลง สองตาของเขาจับจ้องที่ต่งจ้านกังแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อแกเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของยุทธการเมืองเยี่ยนตู แกก็ควรรู้ว่าตระกูลคิงไป๋ของเราเป็นตัวแทนของอะไรในจิ่วโจว”

“ฉันชอบผู้หญิงคนนี้แล้ว แกอย่ายื่นมือเข้ามายุ่งดีกว่า!”

สี่แดนแห่งกองยุทธการจิ่วโจว สี่ราชวงศ์ และตระกูลเดอะคิงทั้งห้าล้วนมีชื่อเสียงเท่าเทียมกัน แม้ว่าตระกูลเดอะคิงจะอ่อนแอที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงพอๆ กับสี่แดนแห่งกองยุทธการ

แม้ว่าต่งจ้านกังจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองยุทธการเมืองเยี่ยนตู แต่กองยุทธการเมืองเยี่ยนตูก็อยู่ภายใต้กองยุทธการจิ่วโจว ในแง่ของสถานภาพยังเทียบตระกูลเดอะคิงไม่ได้

นั่นเป็นเหตุผลที่ไป๋จวิ้นเหากล้าวิจารณ์อย่างหนัก

ต่งจ้านกังยิ้มเยาะ “แกกำลังสอนฉันจัดการเรื่องราวต่างๆ งั้นเหรอ?”

“ฮึ!”

ไป๋จวิ้นเหาทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา “แกจะคิดอย่างนี้ก็ได้”

“ผัวะ!”

วินาทีถัดมา ต่งจ้านกังได้แว่บหายไปจากที่เดิมและตบไป๋จวิ้นเหากระเด็นออกไป

“แกร๊กๆ!”

จากนั้นปืนพกสีดำก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา เสียงบรรจุกระสุนดังขึ้น ปากกระบอกปืนเล็งไปที่ศีรษะของไป๋จวิ้นเหา “ต่อให้กษัตริย์ไป๋มา ก็ยังต้องให้เกียรติฉัน แล้วแกล่ะมาจากไหน? ถึงกล้าสอนฉันอย่างนั้นอย่างนี้?

“ถ้าแกยังกล้าอวดดีอีก เชื่อไหมว่าฉันจะระเบิดหัวกบาลแกได้ด้วยกระสุนนัดเดียว?”

ในเวลานี้ทุกคนต่างตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าต่งจ้านกังจะกล้าเล็งปืนไปที่ศีรษะของไป๋จวิ้นเหา

ถึงอย่างไรไป๋จวิ้นเหาก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของกษัตริย์ไป๋แห่งตระกูลคิงไป๋ หนึ่งในตระกูลเดอะคิงทั้งห้าแห่งจิ่วโจว

แม้ว่าต่งจ้านกังจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองยุทธการ แต่นั่นก็เป็นเพียงกองยุทธการย่อยในเมืองเยี่ยนตูเท่านั้น

เมื่อมองดูในจิ่วโจว มีผู้บัญชาการจำนวนมากในกองยุทธการย่อยหรือ?

ในเวลานี้ไป๋จวิ้นเหาก็ตกใจเช่นกัน แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความหวาดกลัวที่มาจากส่วนลึกในจิตวิญญาณของเขา

ในเวลานี้ต่งจ้านกังเต็มไปด้วยพลังอาฆาต ไป๋จวิ้นเหาไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่งจ้านกังกล้าที่จะยิงจริงๆ

“ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะสั่งสอนแกอย่างนั้นอย่างนี้”

ไป๋จวิ้นเหาทนรับแรงกดดันจากต่งจ้านกังไม่ไหว พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ไม่ว่าในใจเขาจะไม่ยินยอมเพียงใด แต่เขาไม่มีข้อได้เปรียบในสถานการณ์ปัจจุบันเลย

ยิ่งไปกว่านั้นต่งจ้านกังยังเป็นผู้แข็งแกร่งของแดนราชาสูงสุด แม้แต่กษัตริย์ไป๋ก็ไปไม่ถึงจุดนี้

“ตอนนี้แกยังต้องการพาประธานฉินออกไปอีกหรือเปล่า?”

ต่งจ้านกังถามขึ้นอีกครั้ง

เหตุผลที่เขาโกรธมากเพราะไป๋จวิ้นเหากล้าที่จะคิดไม่ซื่อกับฉินซี หากเป็นเรื่องอื่น แม้แต่เพื่อเห็นแก่กษัตริย์ไป๋ เขาก็จะไม่ทำเช่นนี้

“ไม่กล้า!”

ไป๋จวิ้นเหารีบส่ายหน้า “ในเมื่อประธานฉินอยู่ภายใต้การคุ้มครองของผู้บัญชาการต่ง แล้วฉันจะกล้าพาตัวเธอไปได้ยังไง?”

“ในเมื่อไม่กล้า งั้นก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!”

ต่งจ้านกังจ้องไปที่ไป๋จวิ้นเหาด้วยสีหน้าอาฆาตแค้นและกล่าวว่า “วันหลังถ้าฉันรู้ว่าแกกล้าที่จะมารบกวนประธานฉินอีก ฉันจะไม่มีวันปล่อยแกไปแน่ ไปซะ!”

หลังจากตวาดอย่างโกรธเคือง ต่งจ้านกังก็เก็บปืนลง

ด้วยความสามารถของเขา มันเป็นเรื่องง่ายดายที่จะฆ่าไป๋จวิ้นเหา แต่ท้ายที่สุด เขาก็เป็นคนของกองยุทธการ ถ้าเขาฆ่าไป๋จวิ้นเหาจริงๆ มันจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลคิงไป๋และกองยุทธการอย่างแน่นอน

ถึงแม้กองยุทธการจะไม่กลัวตระกูลเดอะคิง รวมถึงราชวงศ์ใดๆ แต่ราชวงศ์และตระกูลเดอะคิงต่างก็เป็นพลังอำนาจของจิ่วโจว หากกองกำลังใดอ่อนแอลง ก็จะเป็นความสูญเสียของจิ่วโจว

ไป๋จวิ้นเหารีบลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะจากไป ชายวัยกลางคนก็พาคนเข้ามา

“ผู้บัญชาการกองยุทธการย่อยกล้าแตะต้องหลานชายของตระกูลคิงไป๋ของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างเย็นชา เสียงของเขาดังลั่นขึ้นในห้องโถงราวกับฟ้าร้อง

ทันใดนั้น ทุกคนก็มองมาที่เขา