พอคนนั้นได้ยิน ก็พูดว่า “พี่หมิง ผมด้วย เอาผมไปอีกคน!”
ป้าหลี่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาตลอด แต่พอได้ยินถึงจุดนี้ เธอก็พูดอย่างกังวลว่า “เจี่ยงหมิง ตอนนี้ข่าวเขาก็เสนอข่าวพวกแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยสูงอยู่นะ ดอกเบี้ยของมันนั้น สูงจนน่ากลัว ป้าว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยนะ”
เจี่ยงหมิงไม่คิดเลยว่า ว่าป้าหลี่จะมาทำเสียแผนตนเองแบบนี้ จากนั้นเขาก็รีบพูดว่า “ป้าหลี่ครับ พวกแพลตฟอร์มที่ป้าพูดถึงนั้น ดอกเบี้ยมันสูงจริงครับ แต่แพลตฟอร์มที่เพื่อนของผมดูแลอยู่นั้น เป็นไปอย่างถูกต้องครับ ดอกเบี้ยไม่ได้สูงขนาดนั้น เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินปันผลกองทุนแล้ว ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเงินกู้ มันน้อยนิดไปเลยครับ”
นิ่งไปครู่หนึ่ง เจี่ยงหมิงก็พูดอีกว่า “จริงๆ โดยปกติแล้ว ผมจะไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอกนะครับ เสียแรงเปล่าๆ ไม่มีความหมายอะไร แต่ว่าเห็นแก่พี่น้องที่เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาด้วยกัน ผมทนที่จะเห็นพวกคุณยากจนกันอีกไม่ได้แล้ว ดังนั้นมีอะไรช่วยได้ก็ช่วยกันครับ”
จ้าวโจ๋วเยว่ก็รีบพูดว่า “พี่หมิง พี่ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นครับ พี่รีบเอาชื่อแอปพลิเคชันที่ใช้กู้เงิน มาให้ผมเลยครับ ผมจะรีบไปกู้เงินเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็จะรวบรวมให้พี่เลย!”
เย่เฉินที่เงียบมาตลอด ในตอนนี้ก็มองเจี่ยงหมิง แล้วก็ถามอย่างสนใจว่า “เจี่ยงหมิง เมื่อครู่นายบอกว่าทำงานอยู่ในบริษัทในเครือของตระกูลหวังใช่ไหม แต่เท่าที่ผมรู้มา ตระกูลหวังไม่เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับเงินกองทุนอะไรนะ? ”
เจี่ยงหมิงก็สีหน้าเปลี่ยน แล้วพูดว่า “เย่เฉิน ไม่ใช่ผมดูถูกนายนะ กิจการตระกูลหวังมีมากมาย มีกิจการแทบทุกสาขา ไม่มีอะไรที่พวกเขาไม่ทำหรอก กระจอกอย่างนายจะไปรู้อะไร? ”
เย่เฉินก็ไม่โกรธ แล้วก็ยิ้มถามว่า “งั้นก็ลองบอกมาดูสิ ว่าบริษัทชื่ออะไร? ”
เจี่ยงหมิงก็บอกว่า “บริษัทผมชื่อว่า บริษัทกองทุนประกันการลงทุนหัวซิน”
พูดไป เจี่ยงหมิงก็รีบควักเอานามบัตรของตนเองมา ด้านบนประทับตราบริษัท และตำแหน่งของเจี่ยงหมิง ที่เป็นตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายการกองทุน
เย่เฉินก็รู้สึกว่า บริษัทกองทุนประกันการลงทุนหัวซิน ทำไมมันชื่อคุ้นๆ
พอคิดดูดีๆ เขาก็นึกออก นี่มันก็คือบริษัทที่เคยแม่ยายตนเองไปเมื่อคราวก่อนไม่ใช่หรือนี่? เจ้าของบริษัทมีชื่อว่า โจวหัวซิน คนหนุนหลังก็คือ ท่านหงห้า
โจวหัวซินจะหลอกเอาเงินที่มาลงทุนกับบริษัทตนเองโดยเฉพาะ ลงทุนไปก็ไม่ได้คืน ผู้ลงทุนที่ได้รับความเสียหายมาโวยวายหน้าบริษัทก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่ามีท่านหงห้าคอยช่วยอยู่ ก็เลยไม่มีใครกล้าทำอะไรโจวหัวซิน
ไม่คิดเลยว่า เจี่ยงหมิงคนนี้ จะทำงานให้กับบริษัทของโจวหัวซิน!
แต่ครั้งก่อนที่ไปช่วยแม่ยายทวงเงินมา ก็ไม่เห็นเขาอยู่ด้วย ถ้าตอนนั้นเขาเห็นตนเองล่ะก็ งั้นตอนนี้พอเห็นเขา ก็คงจะต้องนอบน้อมจนแทบคุกเข่าอย่างแน่นอน
พอคิดถึงจุดนี้ เขาก็มองเจี่ยงหมิงอย่างสนใจ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าของบริษัทของนายชื่อว่า โจวหัวซิน ใช่ไหม? แต่เขาเหมือนจะไม่ใช่คนตระกูลหวังนะ!นี่นายมั่วรึเปล่าเนี่ย? ”
เจี่ยงหมิงก็ไม่นึกเลยว่าเย่เฉินจะรู้จักบริษัทตนเอง แถมยังรู้จักชื่อเจ้านายของตนเองอีกด้วย ในใจเขาก็เริ่มกังวลขึ้นมา
ถ้าหากว่าเย่เฉินรู้จักบริษัทตนเองล่ะก็ งั้นเขาก็ต้องรู้แน่นอนว่าบริษัทตนเองทำงานเกี่ยวกับอะไร? และคงรู้ว่าที่ตนเองพูดกับจ้าวโจ๋วเยว่นั้น ล้วนเป็นการหลอกลวง
ตอนนี้ในใจเจี่ยงหมิงก็กังวลมาก ในตอนที่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรนั้น จ้าวโจ๋วเยสแกนที่อยู่ด้านข้างก็โมโกใส่เย่เฉิน ดุไปว่า “เย่เฉิน นายหมายความว่าไง? พี่หมิงเขาอุตส่าห์ใจดี จะพาพวกเราไปหาเงิน นายมาสงสัยอะไรที่นี่? หรือคิดว่าพี่หมิงไม่พานายไปหาเงิน ก็เลยไม่พอใจห้ะ? ”
เย่เฉินก็มองจ้าวโจ๋วอย่างแปลกใจ แล้วก็ยิ้มในใจ ไอ้โง่นี้ โง่จนฉุดไม่อยู่จริงๆ ตัวเองไม่มีความรู้เอง ไม่รู้จักคิดวิเคราะห์แยกแยะ กูก็ใจดีจะดึงมึงออกมาจากหลุมพราง แต่มึงกลับสะบัดมือกูทิ้ง แล้วจะกระโดดลงหลุมอีก
ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ตามใจเถอะ
ดังนั้นเขาก็รีบพูดกับเจี่ยงหมิงว่า “ผมอาจจะจำผิดไป โทษที”
———–