อีกมุมหนึ่งของโลกแห่งเทพ ณ คฤหาสน์ลึกลับบนยอดเขา ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อไตร่ตรองและตัดสินใจ
ในวันนี้ หลายคนมารวมตัวกันในห้องโถง ในขณะที่ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าชี้แจงถึงการตัดสินใจของพวกตนให้เฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านได้ทราบ
“ท่านป้าไม่ต้องกังวลหรอกขอรับ ในอาณาเขตของตระกูลเฟิง เราไม่มีทางปล่อยให้คนตระกูลฉินทำอะไรตามต้องการแน่ แม้ว่าท่านปู่จะยังเก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่ ทว่าท่านพ่อก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้ว เขาไม่ยอมทนอยู่เฉยอย่างแน่นอน !”
เฟิงหว่านหลี่ไม่แปลกใจเมื่อได้ทราบถึงการตัดสินใจของทั้งสอง
ท่านป้าของเขาเป็นที่รักและที่โปรดปรานของท่านปู่เป็นอย่างมากและเดิมทีนางก็มีความสัมพันธ์อันดีกับบิดาของเขา ไม่ว่าจะเป็นเพราะการที่ท่านปู่ของเขาจะออกจากสภาวะจำศีลหลังจากเก็บตัวเป็นเวลานานหรือเป็นเพราะงานเลี้ยงเนื่องในวันเกิด นางก็ไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน
ต่อให้คนจากตระกูลฉินไปที่นั่นเพื่อก่อความวุ่นวาย พวกเขาก็ไม่เกรงกลัว ตระกูลเฟิงในปัจจุบันมิใช่ตระกูลเฟิงเช่นในอดีตอีกต่อไปและมีอิทธิพลที่ทรงพลังมากพอที่จะปกป้องเฟิงหย่าและคนที่นางรักได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่เพียงเป็นปมติดค้างในใจของฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าเท่านั้น ทว่ายังฝังลึกในใจของผู้นำตระกูลเฟิงคนก่อนและเฟิงฉง—ผู้นำตระกูลเฟิงคนปัจจุบันอย่างมิอาจลืมเลือนเช่นกัน
ตลอดหลายปีที่ล่วงเลยมา อดีตผู้นำตระกูลเฟิงไม่เคยปรากฏตัวในโลกภายนอกแม้แต่ครั้งเดียวและนั่นก็เป็นผลมาจากเรื่องนี้ เขาเกลียดชังตนเองที่ไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องคนที่ต้องการปกป้อง ส่งผลให้บุตรของเขาต้องทุกข์ทรมานกับความเศร้าเสียใจ
ครานี้สาเหตุที่เขาเลือกที่จะออกมาเผชิญกับโลกภายนอกก็เป็นเพราะพลังของเขาพัฒนาจนบรรลุถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวแล้วและมั่นใจว่าจะประจันหน้ากับคนเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
“ข้าเข้าใจดี ครานี้ถึงเวลาที่ต้องสะสางสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเสียที คนพวกนั้นทำร้ายลูกของข้า ข้าจะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ได้อย่างไร ? ครานี้ข้าจะทวงคืนความเป็นธรรมให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต !”
เฟิงหย่าพยักศีรษะเบา ๆ ทว่าเมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต ประกายความโศกเศร้าก็ฉายวาบในแววตาของนางซึ่งปะปนไปด้วยความโกรธเคืองอย่างที่สุดเช่นกัน
ฉินหลิงเซียวเพียงเขย่ามือภรรยาเบา ๆ และปลอบประโลมมิให้นางโกรธแค้นจนเกินไป
“ท่านปู่ ท่านย่า ในอดีตเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ ?”
เฟิงชิงหลิง เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ผู้ซึ่งกำลังเคี้ยวอาหารอย่างตะกละตะกลามในมุมหนึ่งต่างก็มองไปที่ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าด้วยความสงสัยใคร่รู้ เสี่ยวอ้ายโม่ก็สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของเฟิงหย่า นางจึงเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้เพื่อพยายามที่จะปลอบประโลม
“เด็กดี”
เฟิงหย่าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเสี่ยวอ้ายโม่และนางก็รู้สึกตื้นตันจนน้ำตารื้นในดวงตาเล็กน้อย
“เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เล่าไม่ได้ พวกเจ้าเองก็เป็นเด็กเฉลียวฉลาดและเข้าใจง่าย ถึงอย่างไรเราก็จะไปที่จวนตระกูลเฟิงด้วยกัน ถ้าเช่นนั้นข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังก่อน”
นางลูบศีรษะของเสี่ยวอ้ายฉือผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างและจับมือของเขาไว้เช่นกัน ถึงอย่างไรเฟิงหย่าก็ไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้ไปจากเด็กน้อยทั้งสามที่นางเอ็นดู
“เฟิงหว่านหลี่ เจ้าและหว่านหว่านไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้น วันนี้ก็บังเอิญมีเวลาว่างพอดิบพอดี ถ้าเช่นนั้นก็มานั่งฟังด้วยกันเถอะ”
นางหันไปพยักศีรษะให้กับเฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านเพื่อชวนให้ทั้งสองมาฟังเรื่องราวด้วยกัน
ฉินหลิงเซียวไม่คิดปรามภรรยาและรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังไปจากคนใกล้ตัวเหล่านี้
“อันที่จริง เรามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง”
เฟิงหย่าเริ่มเอ่ยขึ้นเบา ๆและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ
“ในตอนนั้น ข้าตกหลุมรักกับท่านลุงของพวกเจ้า พวกเจ้าคงจะทราบดีว่าเขามีพรสวรรค์มากและตระกูลฉินในตอนนั้นก็เป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ในโลกแห่งเทพ ในขณะที่ตระกูลเฟิงเป็นเพียงขุมกำลังระดับสอง เป็นธรรมดาที่ตระกูลฉินจะไม่ชอบพวกเรา ญาติคนหนึ่งของท่านลุงพวกเจ้าก็แอบหลงรักเขามานาน เมื่อข้าและท่านลุงของพวกเจ้าตกลงปลงใจกัน เป็นธรรมดาที่คนตระกูลฉินจะต่อต้านความรักของเรา”
ในอดีต ฉินหลิงเซียวเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยากของโลกแห่งเทพและพรสวรรค์ของเขาก็จัดเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของทั้งดินแดน ในทางตรงกันข้าม เฟิงหย่าเป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลที่เป็นขุมกำลังระดับสองซึ่งมีความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ที่ไม่โดดเด่นนัก
ทว่าหลังจากได้ประสบพบเจอเรื่องราวมากมายและฝ่าฟันอุปสรรคเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกัน ทั้งสองจึงตัดสินใจครองคู่กันในที่สุด
ฉินหลิงเซียวต้องการที่จะตบแต่งกับเฟิงหย่าและแน่นอนว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ตระกูลฉินคัดค้าน พวกเขาก็ต่างคิดในทำนองเดียวกันว่าผู้ที่เป็นเพียงสมาชิกของตระกูลระดับสองจะคู่ควรกับยอดอัจฉริยะของตระกูลฉินของพวกเขาได้อย่างไร
ผู้นำตระกูลฉินในตอนนั้นก็ใช้วิธีกระบองตียวนยางแยกคู่อย่างไม่ลังเลและไม่ยินยอมให้ทั้งสองเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกัน
* 棒打鸳鸯 กระบองตียวนยางแยกคู่ เปรียบเปรยถึงคนที่บังคับแยกคู่รักให้พรากจากกัน
อย่างไรก็ตาม ฉินหลิงเซียวตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไม่แต่งงานกับผู้ใดนอกเหนือจากเฟิงหย่า เพราะเหตุนั้น เขาจึงไม่ลังเลที่จะขัดคำสั่งของผู้นำตระกูลฉินและถึงขั้นยื่นคำขาดที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลฉิน ซึ่งเมื่อเข้าตาจน ผู้นำตระกูลฉินจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจำใจยินยอม
“อันที่จริง ลุงของเจ้าเป็นคนกตัญญูและมีศีลธรรมในหัวใจ ตอนที่เขายื่นคำขาดว่าจะตัดขาดกับตระกูลฉิน นั่นเป็นเพราะเขาทราบมาว่าข้าถูกคนตระกูลฉินก่อกวน ผู้นำตระกูลฉินก็ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดีทว่าไม่คิดที่จะขัดขวางมัน มันเป็นสิ่งที่ทำให้ลุงของเจ้าโกรธเคืองและมิอาจทนอยู่เฉย”
เฟิงหย่ากล่าวต่อว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากนาง เพราะเหตุนั้น ฉินหลิงเซียวจึงต้องยอมแลกมาด้วยต้นทุนที่มหาศาลมากมาย
“หลังจากนั้น เราทั้งสองก็ได้แต่งงานกันและให้กำเนิดลูกสาวตัวน้อยต่อจากนั้นเพียงไม่นาน แม้คนตระกูลฉินยังคงก่อกวนและสร้างความลำบากให้กับข้า หลิงเซียวก็ปกป้องข้าเป็นอย่างดี และถึงแม้ข้าจะอ่อนแอกว่าสักหน่อย ข้าก็ยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง เพราะเหตุนั้น ต่อให้พวกเขาจะพยายามกีดกันข้าเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้น”
ในระหว่างนั้น ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าครองรักกันอย่างมีความสุข ทั้งสองให้กำเนิดบุตรผู้เป็นที่รักและมักใช้เวลาอยู่ในบริเวณเรือนของตนเองเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาไม่คิดมีเรื่องขัดแย้งกับคนตระกูลฉินหรือสนใจสิ่งใดที่เป็นของคนเหล่านั้น แม้แต่ตำแหน่งผู้นำตระกูล ฉินหลิงเซียวก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย
“หลี่เอ๋อร์ เจ้าคงจะจดจำเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เกิดขึ้นกับท่านปู่ของเจ้าได้”
เฟิงหย่ากล่าวขึ้นขณะมองไปที่เฟิงหว่านหลี่ ในตอนนั้นเขามีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีและคงจะยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้
“ในตอนนั้น ท่านปู่ถูกโจมตีจนเจียนตาย ทว่าหลังจากนั้นเขาก็เอาตัวรอดได้ในที่สุด”
เฟิงหว่านหลี่พยักศีรษะตอบรับ แน่นอนว่าเขาจดจำเหตุการณ์นั้นได้ดี ไม่เพียงแต่อดีตผู้นำตระกูลเฟิงเท่านั้น ทว่าเฟิงฉงบิดาของเขาก็ถูกโจมตีเช่นกัน หากมิใช่เพราะมีความแข็งแกร่งที่มากพอและเอาตัวรอดได้ทัน พวกเขาก็อาจจะสิ้นชื่อไปแล้ว
“คนที่ซุ่มโจมตีปู่และพ่อของเจ้าก็คือผู้อาวุโสของตระกูลฉินและเป็นพ่อของสตรีที่ข้าบอกว่าแอบหลงรักลุงของเจ้า”
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครานั้น ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าก็สืบหาความจริงจนพบภายในเวลาเพียงไม่นาน ผู้อาวุโสคนดังกล่าวก็ได้ชดใช้ให้กับความผิดที่ก่อขึ้นและกลายเป็นซากกระดูกไปแล้ว
“เมื่อได้ยินข่าวว่าท่านพ่อและพี่ชายของข้าบาดเจ็บสาหัส ข้าก็รีบเดินทางกลับจวนตระกูลเฟิงทันที ไม่คิดเลยว่าจะถูกคนกลุ่มหนึ่งดักโจมตีระหว่างทาง ในครานั้น หลิงเซียวถูกตระกูลฉินเรียกตัวกลับไปพอดิบพอดี ข้าจึงอยู่เพียงลำพัง ข้าไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายและจะมีใครกล้าซุ่มโจมตี ข้าจึงไม่ทันตั้งตัว”
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นความวุ่นวายยุ่งเหยิง ในครานั้น ทันทีที่ทราบข่าวว่าชีวิตของบิดาและพี่ชายตกอยู่ในอันตราย เฟิงหย่าก็แทบจะเสียสติและทำอะไรไม่ถูก นางรีบเดินทางไปยังจวนตระกูลเฟิงโดยเร็วเนื่องจากต้องการพบหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะต้องการล่อลวงนางเข้าไปติดกับดักตั้งแต่แรก
“ข้าพยายามต้านทานอย่างสุดฝีมือ ทว่าคนพวกนั้นก็แข็งแกร่งเกินไปจนข้าทำอะไรไม่ได้ พวกเขาต้อนข้าเข้าไปในป่าลึกและวางแผนที่จะฆ่าข้าที่นั่น ทว่าจู่ ๆ ก็มีรอยแยกห้วงมิติปรากฏขึ้นมาข้างหลังข้าซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก”
เมื่อเฟิงหย่านึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นางก็มิอาจควบคุมความโกรธแค้นในหัวใจได้เลย กำปั้นของนางบีบแน่นโดยไม่รู้ตัวและสีหน้าแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน
ในฐานะมารดา ไม่มีสิ่งใดเจ็บปวดมากไปกว่าการปล่อยให้บุตรของตนต้องตกอยู่ในอันตราย