ทั้งเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่รับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกของเฟิงหย่า เด็กน้อยทั้งสองจึงไม่กล่าวสิ่งใดและเพียงจับมือทั้งซ้ายขวาของนางไว้เพื่อปลอบประโลม
ฉินหลิงเซียวก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน ทว่าสีหน้าของเขานั้นแสดงออกถึงความตึงเครียดเป็นอย่างมากซึ่งแตกต่างไปจากสีหน้าอ่อนโยนและเมตตาของเขาในยามปกติ
สีหน้าของเฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านกลายเป็นเคร่งขรึมมากขึ้นเช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตร้ายแรงเกินกว่าที่พวกเขาจะสงบนิ่งอยู่ได้
แม้แต่เด็กน้อยอย่างเฟิงชิงหลิงผู้ซึ่งมักจะรับประทานขนมอย่างมีความสุขตลอดเวลาและแทบไม่เคยแสดงสีหน้าที่จริงจังก็ยังแสดงความโกรธเคืองออกมาอย่างชัดเจน
“มีเพียงลูกสาวของเราเท่านั้นที่ถูกดูดเข้าไปในรอยแยกห้วงมิตินั้น และเราไม่ทราบเลยว่านางเป็นตายร้ายดีอย่างไร ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าและลุงของเจ้าไม่เคยหยุดตามหานาง ทว่าก็ไม่เคยได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ใดกลับมา ในตอนนั้นนางมีอายุเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น การที่ถูกดูดเข้าไปในรอยแยกห้วงมิติที่ลึกลับเช่นนั้น โอกาสที่นางจะรอดชีวิต…”
เฟิงหย่าไม่อาจทำใจกล่าวต่อไปได้ แม้นางและฉินหลิงเซียวจะยังมีความหวังตลอดมา แต่ทั้งสองก็ตระหนักดีว่าความเป็นไปได้ที่บุตรสาวของพวกตนจะรอดชีวิตจากครานั้นก็มีไม่สูงนัก ถึงอย่างไร ในตอนนั้นนางก็ยังเยาว์วัยเกินกว่าจะมีพลังเพื่อปกป้องตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น รอยแยกห้วงมิติก็เต็มไปด้วยภยันตราย เด็กทารกอายุเพียงไม่กี่เดือนจะต้านทานพลังของมันได้อย่างไร…
“หรือว่าลูกพี่ลูกน้องของเราจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังดินแดนอื่นและได้พบคนเมตตาช่วยไว้ บางทีนางอาจจะมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้”
หลินหว่านหว่านกล่าวขึ้น นางไม่อยากปักใจเชื่อว่าเด็กทารกที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเฟิงหว่านหลี่จะตายไปจริง ๆ ท่านลุงและท่านป้าตรงหน้าก็เป็นคนจิตใจดีอย่างมาก หากว่าคนดีย่อมได้ดีและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองจริง นางก็หวังว่าจะไม่เกิดสิ่งเลวร้ายใดขึ้น
บางที เด็กทารกคนนั้นอาจข้ามผ่านห้วงมิติและถูกเคลื่อนย้ายไปยังดินแดนอื่น เนื่องจากไม่ทราบความเป็นไปเป็นมาของตนเอง นางจึงตามหาบิดามารดาที่แท้จริงของตนเองไม่ได้ และนั่นอาจเป็นสาเหตุเดียวกันกับที่ทำให้ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าตามหานางไม่พบ
“คราก่อนที่ข้าพบอ้ายฉือโดยบังเอิญก็เป็นเพราะข้าได้เบาะแสว่ามีคนในดินแดนระดับต่ำที่ดูคล้ายกับท่านป้าของเจ้ามาก น่าเสียดายที่นางมิใช่ลูกสาวของเรา ตอนแรกข้าก็คิดที่จะพาสตรีผู้นั้นกลับมา ทว่าจากลักษณะนิสัยของนาง การพากลับมาที่นี่ก็มีแต่จะนำพาหายนะมาสู่พวกเราเท่านั้น แม้ข้าไม่อยากเห็นท่านป้าของพวกเจ้าโศกเศร้าเสียใจ ข้าก็ไม่อยากโกหกหลอกหลวงนางเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องวุ่นวายที่ต้องตามแก้ไข ข้าจึงปัดความคิดนั้นทิ้งไปเสีย”
ฉินหลิงเซียวเอ่ยปากและกล่าวถึงสาเหตุที่เขาเดินทางไปที่ดินแดนระดับต่ำก่อนได้พบกับเสี่ยวอ้ายฉือโดยบังเอิญ
เขาได้รับข่าวว่ามีสตรีที่ใบหน้าคล้ายกับเฟิงหย่าอยู่ในดินแดนระดับต่ำ เขาจึงเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเองและแน่นอนว่าเฟิงหย่าไม่ทราบเรื่องนี้ เดิมทีเขาคิดว่าต่อให้สตรีผู้นั้นมิใช่บุตรสาวของตน การพานางกลับมาที่นี่และรับเลี้ยงเป็นบุตรสาวก็จะทำให้ภรรยามีความสุขอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากสืบข้อมูลเพิ่มเติม เขาก็ได้พบว่าสตรีผู้นั้นมิใช่คนดีนักและไม่มีศีลธรรมอยู่ในหัวใจแม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้น ฉินหลิงเซียวจึงล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างรวดเร็ว
คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวอ้ายฉือที่ปรากฏตัวในมิติพิเศษของเขาโดยบังเอิญจะเข้ากับเฟิงหย่าได้เป็นอย่างดีและทำให้นางมีความสุขขึ้นมาก กอปรกับเสี่ยวอ้ายโม่ที่ได้พบกันหลังจากนั้น อารมณ์และจิตใจของเฟิงหย่าก็ดีขึ้นหลายเท่าตัวและร่างกายที่อ่อนแอก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก
ฉินหลิงเซียวเองก็รักและเอ็นดูเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่มากเช่นกัน ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับเด็กทั้งสอง หากมิใช่เพราะพวกเขา เฟิงหย่าก็คงจะหมดอาลัยตายอยากเช่นเดิมและไร้ชีวิตชีวาต่อไป ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเช่นนี้…
“ท่านปู่ท่านย่าเป็นคนดี ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ ลูกสาวของท่านทั้งสองอาจจะยังไม่ตายไป และอาจจะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยในมุมใดมุมหนึ่งของโลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้ พวกท่านจะได้พบกันในอนาคตแน่ ๆ ขอรับ”
เสี่ยวอ้ายฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมเพื่อปลอบประโลมเฟิงหย่าและมิให้นางกังวลจนเกินไป
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านปู่ท่านย่า ทุกคนพูดกันบ่อย ๆ ว่าคนดีย่อมได้ดี บางทีวันที่โชคชะตากำหนดไว้อาจจะยังมาไม่ถึง ท่านทั้งสองจึงยังไม่ได้พบกับท่านป้า แต่ข้าเชื่อว่าท่านจะได้พบกันในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน อีกอย่าง…ข้าและอ้ายฉือจะอยู่กับท่านเองเจ้าค่ะ เมื่อท่านพ่อท่านแม่มาที่นี่ ข้าจะบอกให้พวกเขานับถือท่านทั้งสองเป็นพ่อแม่บุญธรรม ท่านแม่ของเราก็พลัดพรากจากท่านยายตั้งแต่เยาว์วัยและดูเหมือนว่าจะกำลังออกตามหาท่านยายอยู่เจ้าค่ะ”
เสี่ยวอ้ายโม่กล่าวขึ้นเช่นกันและไม่ต้องการเห็นทั้งสองต้องเศร้าใจอีกต่อไป
“เด็กดีทั้งสอง ย่ารักพวกเจ้ามากจริง ๆ”
เฟิงหย่ากอดร่างเล็กของทั้งสองและจุมพิตข้างแก้มพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อเสี่ยวอ้ายโม่กล่าวถึงฉินอวี้โม่ สีหน้าของเฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวก็ไม่เปลี่ยนแปลงนัก ทั้งสองเคยนึกสงสัยและสอบถามเรื่องนี้แล้ว ทว่าทั้งอายุและประสบการณ์ชีวิตของนางไม่ได้สอดคล้องกับบุตรสาวของพวกเขา…
“ภรรยาของข้า อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย ต่อให้ตามหาลูกของเราไม่พบ เราก็ต้องรักษาตัวให้ดีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเพื่อคนที่เป็นห่วงเรา แม้คนที่ทำร้ายเราในตอนนั้นจะถูกจัดการไปแล้ว มันก็ยังมีบางคนที่รอดพ้นไปได้ ครานี้ เราจะได้สะสางความแค้นที่ฝังใจมานานเสียที !”
ฉินหลิงเซียวเดินเข้าไปด้านหลังภรรยาและลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมให้คลายกังวล
“ใช่ เรื่องบางเรื่องก็ถึงเวลาต้องสะสางเสียที !”
จู่ ๆ สีหน้าของเฟิงหย่าก็เปลี่ยนเป็นความมุ่งร้าย ครานี้นางจะไม่ปล่อยคนพวกนั้นให้มีโอกาสรอดพ้นไปได้อีก !
….
ณ นิกายหมื่นกระบี่ ฉินอวี้โม่ยังคงอยู่บนภูเขามีดหมอกเพื่อศึกษาเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืน แม้ว่าการควบคุมกระบี่ด้วยปราณของนางจะทำได้อย่างง่ายดายและไร้อุปสรรค ทว่านางก็ยังควบคุมบุปผาหรือพืชพรรณใด ๆ ไม่ได้
เมื่อนางเอ่ยถามว่านอู๋เริ่น เขาเพียงหัวเราะเบา ๆ โดยไม่ตอบคำถามและกล่าวเพียงว่าฉินอวี้โม่ต้องรอโอกาสที่เหมาะสมและเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนแต่อย่างใด ในทุก ๆ เช้า นางจะประมือกับว่านอู๋เริ่น ว่านหลิวชางหรือว่านหลิวอวิ๋นก่อนเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อบ่มเพาะพลังในช่วงเย็น กิจวัตรประจำวันของนางดำเนินมาเช่นนี้ตลอดสิบวันที่ผ่านมา
ในวันนี้ ว่านหรูชูและว่านเฉินซีผู้ซึ่งพักอยู่ในเขตของหอชั้นในเพื่อจัดการกับความเรียบร้อยต่าง ๆ ได้เดินทางกลับมาที่ภูเขามีดหมอกอีกครั้ง
หลังจากเรียกทุกคนมารวมตัวกันในลานที่พักของว่านอู๋เริ่น ว่านเฉินซีก็กล่าวขึ้น “อวี้โม่ เซี่ยวเซี่ยว เมื่อสองสามวันก่อนเราได้รับสาส์นเชิญจากตระกูลเฟิงโดยกล่าวว่าเป็นงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของผู้นำตระกูลเฟิงคนก่อน เราไปที่นั่นเพื่อร่วมงานเลี้ยงกันเถอะ ถึงอย่างไรการหมกตัวอยู่ในนิกายหมื่นกระบี่ตลอดเวลาคงจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย เดินทางไปที่นั่นกับพวกเราจะดีกว่า บางทีอาจจะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์กลับมาก็เป็นได้”
พวกนางได้รับคำเชิญเมื่อสองวันก่อน อดีตผู้นำตระกูลเฟิงส่งสาส์นเชิญขุมกำลังทั้งระดับหนึ่งและระดับสองทั่วดินแดนเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของเขา แน่นอนว่านิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจได้รับคำเชิญเช่นกัน เพียงแต่ฉินอวี้โม่เก็บตัวอยู่บนภูเขามีดหมอกตลอดหลายวันที่ผ่านมาจึงยังไม่ได้รับข่าวจากนิกายพันปีศาจ
“ตกลงเจ้าค่ะ ตกลง ! ดูเหมือนว่าจวนตระกูลเฟิงจะอยู่ไกลจากเราพอสมควร ข้าไม่เคยออกไปที่ใดไกลเช่นนั้นมาก่อน ท่านแม่…เราไปได้กี่คนเจ้าคะ ? และมีใครบ้าง ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวพยักหน้าหงึกหงักอย่างไม่ลังเลและสีหน้าแสดงความตื่นเต้นอย่างชัดเจน
นับตั้งแต่จำความได้ ที่ที่ไกลที่สุดที่นางเคยเดินทางไปก็คือหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาที่ไปร่วมทำภารกิจเมื่อคราก่อน แน่นอนว่านางไม่เคยเดินทางไปยังที่ห่างไกลเช่นจวนตระกูลเฟิงที่ต้องใช้เวลาเดินทางร่วมสองเดือน ครานี้ว่านเฉินซีเอ่ยชวนเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่เด็กสาวผู้ร่าเริงจะดีใจและมีความสุขจนเก็บอาการไม่อยู่
“ข้าและพ่อของเจ้าจะพาเจ้าและอวี้โม่ไปที่นั่น รวมถึงพี่ชายทั้งสองของเจ้า แค่นี้ก็คงจะมากพอแล้ว การเดินทางด้วยคนหมู่มากคงจะไม่สะดวกนัก”
ว่านเฉินซีและว่านหรูชูได้หารือเรื่องนี้มาก่อนแล้วและคัดเลือกผู้ที่จะเดินทางไปที่จวนตระกูลเฟิงด้วยกันโดยที่ฉินอวี้โม่คือหนึ่งในนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะจ้าวนิกายพันปีศาจ ต่อให้ไม่เดินทางไปกับนิกายหมื่นกระบี่ ฉินอวี้โม่ก็มีคุณสมบัติที่จะเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง