บทที่ 1279 ความเปลี่ยนแปลงบนภูเขาเซียวฝู

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,279 ความเปลี่ยนแปลงบนภูเขาเซียวฝู

เจ้าอ้วนมองไปที่ประตู ดวงตาทอแววดุร้าย

“เข้ามาเถอะ”

หญิงชราผมสีเทากล่าวช้า ๆ

ประตูบ้านเปิดออก คนสี่คนในชุดเสื้อคลุมสีเทาเดินเข้ามาพร้อมกับมีหน้ากากปิดบังใบหน้า พวกเขาปกปิดตัวตนที่แท้จริงเพื่อไม่ให้ผู้อื่นจดจำได้ การดำรงอยู่ไม่ต่างจากภูตผีในความมืด

“คนไข้หมายเลขสาม อาการของท่านเป็นอย่างไร?”

ชายร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีเทากล่าวน้ำเสียงแหบแห้ง ฟังระคายหูยิ่งนัก

หญิงชราผมสีเทาตอบว่า “ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดอีกแล้ว แต่ตัวโรคยังไม่หายไป กลีบดอกไม้ยังคงกระจายตัวอยู่เรื่อย ๆ เจ้าค่ะ”

ชายร่างสูงพยักหน้า “เราจำเป็นต้องตรวจสอบ”

หญิงชราผมเทาผงกศีรษะ ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

สตรีในชุดเสื้อคลุมสีเทาก้าวเดินตามเข้าไป

ไม่นานหลังจากนั้น นางก็เดินกลับออกมาพยักหน้าให้แก่ชายร่างสูงผู้เป็นหัวหน้า

“อีกครึ่งวันเราจะกลับมาอีกครั้ง”

แล้วกลุ่มคนเสื้อคลุมสีเทาก็จากไป

บ้านหลังน้อยกลับมาอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง

หญิงชราเดินออกมาหาบุตรชาย

เจ้าอ้วนถามด้วยความตื่นตระหนก “ท่านแม่ ท่านรับประทานโอสถของพวกเขาหรือ?”

หญิงชรานั่งลงเคียงข้างบุตรชายอีกครั้งพร้อมตอบว่า “โอสถเป่ยเฉินก่อนหน้านี้ช่วยบรรเทาอาการของมารดาได้ดีเยี่ยม มารดาจึงยินดีรับประทานโอสถชนิดใหม่ของพวกเขาต่อไป”

“คราวนี้พวกเขาใช้โอสถชนิดใดหรือขอรับ…?”

เจ้าอ้วนถามด้วยความเป็นกังวล

“น้ำยาทิพย์เป่ยเฉิน ผงปาฏิหาริย์เป่ยเฉิน โอสถวิเศษเป่ยเฉิน และโอสถทะลวงฟ้าเป่ยเฉิน แต่มารดาเพิ่งดื่มสุราของเจ้าเข้าไป มารดาจึงยังรับประทานโอสถใหม่ไม่ได้ ต้องรออีกหกชั่วยามจึงจะสามารถรับประทานได้”

หญิงชราผมสีเทาค่อย ๆ กล่าวตอบ

“ขอลูกดูหน่อยสิขอรับ”

เจ้าอ้วนกล่าวด้วยความไม่ไว้ใจ “ลูกอยากจะรู้ว่าโอสถเหล่านี้มีหน้าตาเป็นเช่นไร”

เขาต้องการจะนำไปให้พี่ใหญ่ดู

หญิงชราสามารถเดาได้ว่าบุตรชายกำลังจะต้องการทำสิ่งใด “เจ้าฉลาดขึ้นนะ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาเก็บโอสถเหล่านั้นเป็นความลับ พวกเขาจะเก็บเอาไว้กับตนเองและจะนำออกมาให้มารดารับประทานเมื่อถึงเวลาเท่านั้น… หากมารดาเข้าใจไม่ผิด บรรดาเพื่อนบ้านของเราก็ช่วยจับตามองมารดาแทนพวกเขาอยู่เช่นกัน”

“ท่านแม่เชื่อใจพวกเขาหรือไม่?”

เจ้าอ้วนถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านแม่แน่ใจหรือว่าโอสถของพวกเขาไม่มีปัญหา?”

“ถึงอย่างไรมารดาก็ใกล้ตายแล้ว พวกเขาไม่มีเหตุผลให้มาหลอกลวงมารดา ไม่มีสิ่งใดที่มารดาจะต้องหวาดกลัวอีก”

หญิงชราผมสีเทากลับมามีสีหน้าเยือกเย็นดังเดิม ไม่ได้เหมือนกับหญิงชราผู้ใกล้ตายแม้แต่น้อย

นางกระซิบว่า “สิ่งสำคัญก็คือโอสถที่พวกเขาให้มารดารับประทานก่อนหน้านี้ใช้ได้ผล มารดาก็ได้แต่หวังว่าโอสถตัวใหม่ของพวกเขาจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย หญิงชราก็กล่าวต่อ “มารดาคงอยู่ได้อีกไม่นาน ที่บังคับให้เจ้าเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ เดิมทีเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะโชคดี ได้พานพบกับบุคคลที่มีฝีมือเทียมฟ้า แต่คนผู้นี้มีความแปลกประหลาดมากเกินไป มารดาไตร่ตรองตามคำบอกเล่าของเจ้าแล้ว เจ้าอาจจะผูกมิตรกับคนคนนี้ได้ แต่โปรดจำไว้ว่าอย่าฝากความหวังไว้ที่เขาทั้งหมด เข้าใจหรือไม่?”

เจ้าอ้วนโต้แย้งโดยไม่รู้ตัว “แต่ว่าพี่ใหญ่…”

“เงียบนะ” หญิงชราทำเสียงดุ “เจ้าต้องฟังมารดาพูดเท่านั้น”

“ลูกรับทราบแล้วขอรับ”

เจ้าอ้วนก้มหน้างุด สีหน้าหวาดกลัวลนลาน

“ครั้งนี้เจ้าต้องชนะการแข่งขันให้ได้”

หญิงชรามีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังมากกว่าเคยขณะกล่าวต่อ “มารดาสอนวิชาสิบกายสลายจักรพรรดิให้แก่เจ้าแล้ว เจ้ายังจะมัวรีรออันใดอีก? ตราบใดที่เจ้าสามารถบรรลุขอบเขตแรกได้สำเร็จ ในการแข่งขันครั้งนี้ ก็จะไม่มีผู้ใดสู้กับเจ้าได้อีกแล้ว”

“ท่านแม่ได้โปรดวางใจ ลูกจะรีบเลื่อนขั้นพลังให้เร็วที่สุด”

เจ้าอ้วนว่า

“ประเสริฐ อย่าทำให้มารดาผิดหวังก็แล้วกัน”

หลังจากนั้น หญิงชราก็สั่งให้บุตรชายแสดงกระบวนท่าที่ตนเองสอนออกมาให้ดู

“เกิดอะไรขึ้น?”

หลินเป่ยเฉินกับชิงเล่ยหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วคฤหาสน์ซึ่งเปิดกว้างอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

อันอันเป็นเด็กหญิงที่เชื่อฟังคำสั่งมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีเหตุผลที่นางจะเปิดประตูรั้วคฤหาสน์ทิ้งไว้เช่นนี้

ทันใดนั้น เมื่อหลินเป่ยเฉินเข้าไปสำรวจดูใกล้ ๆ เขาถึงได้พบว่าค่ายอาคมที่คอยคุ้มครองคฤหาสน์หลังงามได้ถูกสลายลงไปแล้ว

มีคนบุกทะลวงเข้าไป

“ระวังตัว”

หลินเป่ยเฉินกุมมือชิงเล่ยแนบแน่นและกล่าวว่า “ตามข้ามา”

ในเวลาเดียวกันนี้ เงาดำใต้เท้าของหลินเป่ยเฉินก็เคลื่อนไหวราวกับงูเลื้อยมุ่งหน้าตรงไปทางคฤหาสน์

“เกิดอะไรขึ้น… อันอัน…”

สีหน้าของชิงเล่ยแปรเปลี่ยนไปทันที หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

เมื่อพวกเขาก้าวผ่านประตูรั้วเข้าไป สิ่งแรกที่พบเห็นก็คือศพคนตายบนสนามหญ้า

“อันอัน…”

ชิงเล่ยตื่นตระหนกจนแทบเป็นลม นางร้องไห้กำลังจะวิ่งเข้าไปหาซากศพนั้น

หลินเป่ยเฉินจับแขนของนางไว้และกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง นั่นไม่ใช่อันอัน”

ชิงเล่ยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที

เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ นางจึงได้มั่นใจว่านี่ไม่ใช่ศพของอันอัน

แต่เป็นศพของสาวรับใช้ในคฤหาสน์

สาวรับใช้นางนี้มีนามว่าชิงเฉา ซึ่งเป็นของกำนัลจากฉู่ฮันหลานสหายคนใหม่ของชิงเล่ย นางไปประมูลสาวรับใช้นางนี้มาจากตลาดค้าทาสเพื่อให้มาเป็นพี่เลี้ยงของอันอันและคอยทำความสะอาดคฤหาสน์หลังนี้บนภูเขาเซียวฝู

ชิงเฉามีอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น นางเป็นเพียงเด็กหญิงที่ยังไม่โตเต็มวัย ร่างกายผอมบาง แต่กลับมีความซื่อสัตย์อย่างน่าประทับใจ นอกจากนี้ นางยังมีความสนิทสนมกับอันอัน เมื่อเห็นว่าสามารถเข้ากับบุตรสาวตนเองได้ดี ชิงเล่ยจึงรับตัวไว้เลี้ยงดู

ชิงเฉาเพิ่งจะมาอยู่กับพวกนางได้เพียงสามวันเท่านั้น กลับต้องมาเสียชีวิตอย่างคิดไม่ถึง

หลินเป่ยเฉินย่อกายลงสำรวจซากศพคนตายอย่างละเอียด

เห็นบาดแผลกระบี่ชัดเจน

ถูกแทงเข้าใส่หน้าอกหนึ่งกระบี่

เสื้อผ้าเผาไหม้ อวัยวะภายในหลอมละลาย

โลหิตไหลทะลักออกมาจากบาดแผล

สัมผัสได้ถึงพลังของเปลวไฟ

แต่ผิวหนังและโครงกระดูกไม่ได้รับความเสียหาย

น่าจะเป็นการโจมตีด้วยพลังเวทมนตร์

“อันอัน อันอัน…”

ชิงเล่ยกลับมาได้สติรีบเดินค้นหาทั่วคฤหาสน์ด้วยความกระวนกระวาย

หลังจากนั้นไม่นาน

“พี่ฮันหลาน…”

ชิงเล่ยร้องเสียงหลงด้วยความเศร้า

ศพของฉู่ฮันหลานถูกพบอยู่ในศาลานั่งเล่นกลางสวนดอกไม้

หญิงสาวผู้โชคร้ายนอนหงายหน้าอยู่ในเก๋งศาลา โลหิตไหลทะลักออกมาจากบาดแผลบริเวณลำคอ อวัยวะภายในก็หลอมละลายจากการเผาไหม้เช่นกัน…

ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ทั้งภายในและภายนอกศาลานั่งเล่น

ฉู่ฮันหลานกำกระบี่อยู่ในมือซ้าย มือขวากำเศษอะไรบางอย่างแนบแน่น

ปรากฏว่าเป็นเศษผ้าชิ้นหนึ่ง

“นี่มันชายเสื้อคลุมของเฉียนเซวียน”

ชิงเล่ยกล่าว “ข้าน้อยจำเนื้อผ้าชนิดนี้ได้ดี…”

หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ลุกขึ้นกวาดสายตามองรอบตัว

“คุณชายรีบตามหาอันอันเร็วเข้า… อันอัน…”

ชิงเล่ยไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินโอบกอดหญิงสาวในอ้อมแขนพลางปลอบโยนว่า “ไม่ต้องตามหาแล้ว อันอันไม่ได้อยู่ที่นี่…”

“ไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้น…” ชิงเล่ยพยายามบังคับให้ตนเองใจเย็นลง

“อันอันกับเฉียนเซวียนน่าจะถูกลักพาตัวไป”

หลินเป่ยเฉินลอบสื่อสารกับกงกงและกล่าวว่า “น่าประหลาดที่ฆาตกรมาเพื่อลักพาตัวเด็กหญิงทั้งสอง”

ไม่มีร่องรอยของการปล้นทรัพย์ในคฤหาสน์ ไม่มีร่องรอยของการค้นหาสิ่งของทั้งด้านในด้านนอกคฤหาสน์

ฉู่ฮันหลานกับสาวรับใช้ชิงเฉาเสียชีวิต

เด็กหญิงทั้งสองคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ตรวจดูจากเบาะแสในสถานที่เกิดเหตุ การบุกรุกน่าจะเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่าสองชั่วยามแล้ว

“ข้าน้อยจะลองหาดูอีกครั้ง เผื่อบางทีอันอันกำลังซ่อนตัวอยู่…”

ชิงเล่ยยังคงมีความหวังสุดท้ายว่าบุตรสาวของตนเองจะโชคดีและเริ่มต้นค้นหาภายในคฤหาสน์อีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินเดินตามไปเพื่อรักษาความปลอดภัยให้นาง

กงกงยังคงค้นหาเบาะแสที่มีประโยชน์ต่อไป

หลินเป่ยเฉินพยายามนึกทบทวนข้อมูลที่ตนเองได้รับทราบมาก่อนหน้านี้

เขาจำได้ว่าฉินโซวเคยเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของภรรยา ฉู่ฮันหลานก่อนที่จะมาแต่งงานกับฉินโซว นางเป็นนักล่าอสูรฝีมือฉกาจฉกรรจ์ในหุบผาอเวจี ฝีมือการต่อสู้เทียบเท่ากับนักรบเทวะชั้นแนวหน้า แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หญิงสาวกลับวางกระบี่มาแต่งงานกับคนเสเพลอย่างฉินโซว

หลังจากนั้น นางก็ทำหน้าที่เป็นภรรยาเต็มตัว คอยดูแลสามีและบุตรสาวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นั่งจึงเป็นเหตุผลให้ฝีมือการต่อสู้ของฉู่ฮันหลานเสื่อมถอยลง…

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ใดก็ไม่อาจประมาททักษะการต่อสู้ที่ติดตัวนางอยู่ได้เด็ดขาด

สำหรับหญิงสาวผู้นี้ ขอเพียงนางชักกระบี่ออกมา ก็สามารถฆ่าคนได้โดยไม่ลังเล

ดูเหมือนว่าก่อนที่นางจะเสียชีวิต ฉู่ฮันหลานกำลังพยายามปกป้องบุตรสาวอย่างสุดความสามารถ แต่นางก็ทำได้เพียงปกป้องชายเสื้อของบุตรสาวไว้เท่านั้น

ใครคือผู้ที่ลักพาตัวเด็กหญิงทั้งสองคนไป?

หลินเป่ยเฉินคิดมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็นึกอะไรได้บางอย่าง

เขาหันไปจ้องมองชิงเล่ยและถามว่า “จริงด้วยสิ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าอดีตสามีของท่านเคยไปที่บ้านหลังเก่าเพื่อพาตัวอันอันไปใช่หรือไม่?”