ตอนที่ 1432 อ้วนขึ้นสามจิน + ตอนที่ 1433 ฉันต้องเอาชนะชายผู้นี้ให้ได้ Ink Stone_Romance
ตอนที่ 1432 อ้วนขึ้นสามจิน
เหยียนหมิงซุ่นพาเหมยเหมยไปที่ถนนคนเดินอาหารที่ขึ้นชื่อมากในเมืองหลวง พลางเอ่ยถามอย่างยียวนว่า “อยากดื่มน้ำถั่วไหม?”
เหมยเหมยส่ายหน้าเป็นพันละวันเหมือนกลองลูกคลื่น “ไม่เอา ฉันอยากดื่มน้ำเต้าหูกินทังเปา[1]”
เพราะน้ำถั่วแม้แต่หลายคนในพื้นที่เองยังไม่คุ้นชินรสชาติเลย เธอเองคงจะไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอก ดื่มน้ำเต้าหู้ดีกว่า รวมถึงหลูจู่หั่วเชา[2]อะไรพวกนั้นด้วยซึ่งเธอก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินในรสชาติเช่นกัน ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยเพียงแต่ด้วยรสชาติที่แตกต่างกันก็เท่านั้น
เช่นเดียวกับที่คนทางเหนือไม่คุ้นชินรสชาติจืดชืดและหวานเลี่ยนของคนทางใต้
เหยียนหมิงซุ่นดึงจมูกเล็ก ๆปลายเชิดของเหมยเหมยเบาๆ พร้อมพูดอย่างเอาใจ “ได้ วันนี้เอาตามเธอว่าเลย”
เหมยเหมยเหลือบมองเขาอย่างได้ใจ ท่าทีออดอ้อนของเธอนั้นแทบจะทำให้อดใจกัดเข้าที่ใบหน้าเล็ก ๆนั่นไม่อยู่แล้ว จนเหยียนหมิงซุ่นคันไม่คันมืออย่างอดไม่ได้จึงดึงแก้มไปหลายครั้ง กระทั่งได้รับสายตามองแรงจากเหมยเหมย นั่นถึงได้จอดรถ แล้วเดินจูงมือภรรยาตัวน้อยของเขาไปทานอาหารเช้า
ถนนคนเดินอาหารยังพอมีของว่างของคนทางใต้อยู่บ้าง อีกทั้งยังมีร้านสาขาย่อยของภัตตาคารเฟิ่งหลายแห่งเมืองจินมาเปิดสาขาขยายธุรกิจถึงเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้เลยเวลาอาหารเช้ามาแล้วแต่ภายในห้องโถงใหญ่ยังแออัดไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
พวกเขาไม่ได้เข้าไปที่ห้องไพรเวท ทานมื้อเช้าก็ต้องทานที่ห้องโถงใหญ่ บรรยากาศครึกครื้นหน่อยถึงจะได้อรรถรส เหยียนหมิงซุ่นให้เหมยเหมยนั่งรอ ส่วนตัวเขาไปต่อคิว ผ่านไปห้าหกนาทีก็ยกเอาเข่งสี่เข่งเข้ามา โดยมีเข่งใหญ่สองเข่ง เข่งเล็กสองเข่ง พร้อมกับหลอดดูดสองอัน
เมื่อได้เห็นของว่างที่คุ้นเคย เหมยเหมยก็ดวงตาเป็นประกายอย่างห้ามไม่ได้ เหยียนหมิงซุ่นตบมือเล็ก ๆของเธอที่ใจร้อนจนรอไม่ไหวไปหนึ่งที พลันเอ่ยดุ “ระวังลวก รอให้เย็นก่อนค่อยกิน พี่สั่งเกี๊ยวนึ่งมาด้วย เรากินเกี๊ยวกันก่อน”
ไม่นานก็มีพนักงานยกเอาเกี๊ยวนึ่งสองเข่งมาเสิร์ฟ เหยียนหมิงซุ่นคีบเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งชิ้น พร้อมกันยื่นไปที่ปากของเหมยเหมย “อ้าม…”
เหมยเหมยอ้าปากอย่างเชื่อฟัง กัดไปครึ่งชิ้น พลันแววตาก็เป็นประกายเพราะเป็นไส้หมูผักจี่ไฉ่ที่เธอชอบกินที่สุด หอมอร่อยที่สุด อร่อยจนลิ้นแทบหลุดได้เลย
“พี่ตั้งใจสั่งไส้ผักจี่ไฉ่ เพราะรู้ว่าเธอชอบกินอันนี้”
เหยียนหมิงซุ่นจึงเอาครึ่งชิ้นที่เหลือนั้นกินเสียเอง ใบหน้าแลดูอ่อนโยนมากขึ้นและเผยให้เห็นถึงความอบอุ่น เหมือนกับทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพัง
เหมยเหมยกลืนเกี๊ยวเข้าไป จึงเอื้อมไปคีบขึ้นมาอีกชิ้น พร้อมทั้งยื่นไปที่ปากของคนบางคนอย่างเอาใจ ต้องประจบประแจงเสียหน่อย
เหยียนหมิงซุ่นอมยิ้มไปกินเกี๊ยวไป ทั้งคู่ต่างผลัดกันเธอป้อนฉัน ฉันป้อนเธอไปมาเช่นนี้ ความรักแผ่อบอวลเข้มข้นซึ่งแลจะเข้มเสียยิ่งกว่ากลิ่นหอมในร้านอาหารเสียอีก ลูกค้าคนอื่นต่างพากันยิ้มอย่างเห็นได้ชัด แอบอวยพรให้คู่รักวัยรุ่นคู่นี้ที่สมกันดั่งกิ่งทองใบหยกนี้มีความสุข
เหมยเหมยกระเพาะเล็ก กินเข้าไปแค่สามชิ้นก็ไม่กินแล้ว เอาแต่จับจ้องซาลาเปาไข่ปูไม่วางตา เธอจะต้องเก็บท้องไว้กินต่อสิ
เหยียนหมิงซุ่นนำหลอดสองอันยัดเข้าไปในซาลาเปา ทั้งคู่ต่างดูดกันคนละหลอด ดูดเอาความอร่อยและกลิ่นหอมกรุ่นของน้ำซุปเข้าปาก สาดกระจายทั่วทั้งซอกมุมปาก แทรกซึมไปตามปลายประสาทสัมผัสต่าง ๆของร่างกาย…
“อร่อยมาก…”
ทั้งคู่ดูดกินทังเปาลูกใหญ่จนแห้ง พลางถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ซาลาเปาไข่ปูของภัตตาคารเฟิ่งหลายยังคงเป็นทีเด็ดของฮวาเซี่ย ฝีมือร้านอื่นทำออกมามักจะขาดรสชาติไปหน่อย
เหมยเหมยรู้สึกอิ่มบ้างแล้วจึงไม่อยากทานอะไรต่อ เหยียนหมิงซุ่นกลับให้เธอกินทังเปาลูกเล็กอีกสามชิ้น เหมยเหมยออดอ้อนอย่างไม่ยอม
“ไม่เอาสิ…ฉันอ้วนขึ้นตั้งสามจิน[3] พี่ดูสิว่าเหนียงฉันขึ้นแล้วนะ…”
เมื่อนึกถึงจุดนี้เหมยเหมยจึงรู้สึกขมขื่น คนอื่นไปฝึกทหารต่างก็พากันน้ำหนักลด เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ลดลงไปตั้งหกจิน แม้แต่ฉีฉีเก๋อก็ลดไปสามจิน มีแต่เธอที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเต็ม ๆสามจิน
เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกได้ตั้งแต่แรก จึงหันไปกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูเธอ “เนื้อหนังเพิ่มขึ้นมาหน่อยยิ่งดี…เมื่อกี้พี่ลองทาบดูแล้ว…ใหญ่ขึ้นมาหน่อย…”
ใบหน้าของเหมยเหมยร้อนเสียยิ่งกว่าน้ำซุปที่อยู่ในทังเปาอีก อดไม่ได้ที่จะได้ออกแรงกัดถึงจะช่วยระบายอารมณ์ออกมาได้บ้าง เชิดปากขึ้นสูง ต่อให้พูดอย่างไรก็จะไม่ยอมกินแล้ว
โฮ่วเชิ่งหนานได้พาชายวัยรุ่นผู้หนึ่งที่ท่าทางสุภาพอ่อนโยนสวมใส่แว่นตากรอบทองเดินเข้ามา โดยสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ “คุณเถียนมู่ ซาลาเปาไข่ปูร้านนี้อร่อยมาก เมื่อสองปีก่อนพึ่งจะย้ายมาเปิดสาขาย่อย ถ้าไม่งั้นพวกเราคงต้องไปกินถึงเมืองจินเลยนะ”
……………………………………………………………….
ตอนที่ 1433 ฉันต้องเอาชนะชายผู้นี้ให้ได้
ชายหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นก็คือเพื่อนของโฮ่วเซิ่งหนาน เจ้าชายตระกูลใหญ่ในญี่ปุ่น ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมชั้นและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ชายหนุ่มมีชื่อว่าเถียนมู่ฉื่อหลาง อย่ามองเพียงว่าเขาแลดูสุภาพอ่อนโยนเพราะเขาเป็นถึงปรมาจารย์ยูโดเชียวนะ
เถียนมู่เลื่อมใสในวัฒนธรรมของฮวาเซี่ยเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูมีความสุขไม่น้อย “งั้นเดี๋ยวฉันต้องกินให้เยอะ ๆหน่อยล่ะ เชิ่งหนาน เธอวางแผนจะกลับประเทศมาทำงานจริงหรือ?”
เขารู้สึกแปลกใจมาก ผู้หญิงรักอิสระอย่างโฮ่วเซิ่งหนาน จู่ ๆก็โทรมาบอกเขาว่าตนตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่งจะไปพิชิตใจคนนั้นมาให้ได้ อีกอย่างผู้หญิงคนนี้บทจะไปก็ไป แม้แต่คำร่ำลาก็ยังไม่คิดจะเอ่ยกับพวกเขาเลยสักคำ
เถียนมู่ตามโฮ่วเซิ่งหนานกลับมาที่ฮวาเซี่ย ก็เพื่อต้องการจะพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
โฮ่วเซิ่งหนานฉีกยิ้มราวกับโบยบินได้อย่างตามอำเภอใจ เดิมทีรูปลักษณ์หน้าตาของเธอก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก แต่ตอนนี้กลับดูมีประกายความงามแผ่ออกมา ดึงดูดความสนใจจากลูกค้าในร้านเป็นจำนวนมาก แต่ก็แค่เหลือบมองเพียงครู่เดียวซึ่งไม่ได้ให้ความสนใจโฮ่วเชิ้งหนานมากนัก
โฮ่วเซิ่งหนานนึกประหลาดใจ พูดถึงเสน่ห์ก็ยังนับว่ามีอยู่บ้างเพราะตัวเธอเองมีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นที่ผู้หญิงในฮวาเซี่ยขาดไป อีกทั้งเธอมีรูปร่างดี ทั้งยังรู้จักการแต่งตัว ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเป็นดั่งไข่มุกที่ส่องประกายวาววับ ดึงดูดสายตาจากผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วน
ทั้ง ๆที่วันนี้เธอตั้งใจแต่งหน้าแต่งตัว ด้วยเดรสพิมพ์ลายดอกสีสันแปลกตา ต่างหูสีเงินที่มีขนาดหนากว่ากำไลข้อมือ เสื้อไหมพรมสีขาวตัวยาวพร้อมห้อยโซ่กระดูกแบบอินเดียนด้วย อีกทั้งอายแชโดว์สีดำกับลิปสติกสีแดงเพลิง ดูสวยไปเสียทุกส่วน
แค่แฟชั่นการแต่งตัวของเธอในวันนี้ก็เพียงพอจะเตะตาใครได้ง่าย ๆแล้ว!
คนพวกนั้นตาบอดกันหรือไง?
“ใช่ค่ะ ฉันติดต่อทางที่ทำงานไว้แล้ว อาจารย์สอนภาษอังกฤษที่มหาวิทยาลัยในเมืองหลวง” โฮ่วเซิ่หนานหันกลับมาเพื่อตอบเถียนมู่ เพราะความได้ใจและดีใจที่เถียนมู่ตามเธอมาตอนเช้าขณะนี้ได้เลือนหายไปมากแล้ว รู้สึกเพียงแค่ปราบปลื้มเล็กน้อย
บรรดาลูกค่า: คู่นี้ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาเท่ากับคู่ที่กินเกี๊ยวเมื่อกี้เลย เบื่อที่จะดู!
ในใจของเถียนมู่รู้สึกไม่ดีนัก เขาตามจีบโฮ่วเซิ่งหนานมาสี่ปี แต่ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นดั่งสายลมคว้าไว้ไม่เคยได้ แม้แต่จะยอมสนุกกับเขาเพียงชั่วข้ามคืนก็ไม่ยินยอม
เหตุผลก็เพราะเธอไม่ชอบผู้ชายเอเชีย!
เอาเถอะ เขายอมรับว่าส่วนสูงของเขาเทียบไม่ติดกับบรรดาคนรักของโฮ่วเซิ่งหนาน ถือเป็นความบกพร่องแต่กำเนิด เถียนมู่จึงต้องยอมจำนนต่อโชคชะตา เขาคงไม่อาจทำการตัดชิ้นส่วนมาประกอบกันได้
แต่ตอนนี้…
โฮ่วเซิ่งหนานกลับบอกว่าเธอตกหลุมรักชายหนุ่มชาวฮวาเซี่ย?
เถียนมู่ถามออกไปอย่างตัดพ้อ “เซิ่งหนานเธอบอกว่าไม่มีทางตกหลุมรักผู้ชายเอเชียไม่ใช่เหรอ?”
โฮ่วเซิ่งหนานหันกลับมาประทับรอยจูบที่แก้มจนขึ้นรอยปากสีแดง พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแต่กลับเพียงพอให้หลงเสน่ห์ “เพราะว่าเจ้านั่นของเขาใหญ่กว่าของคนอื่น แล้วยังเซ็กซี่ด้วย…”
เถียนมู่เกรงหน้าท้องไว้แน่น อดไม่ได้ที่จะโอบเอวของโฮ่วเซิ่งหนานไว้และดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด พร้อมกับกดจูบอย่างเร้าร้อน โฮ่วเซิ่งหนานก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ตอบรับจูบอันลึกซึ้งแบบฉบับฝรั่งเศสของเขากลางห้องโถงใหญ่ในภัตตาคารเฟิ่งหลาย
แม้ว่าเธอและเถียนมู่จะยังไม่เคยร่วมหลับนอนด้วยกันมาก่อน แต่อย่างอื่นที่ควรทำก็ทำไปหมดแล้ว การจูบสำหรับเธอแล้วถือเป็นเรื่องธรรมดาเสียยิ่งกว่าการทานข้าวอีก
ฮวาเซี่ยในยุคเก้าศูนย์นั้น ต่อให้เป็นเมืองหลวง ประเพณีและวัฒนธรรมยังคงเป็นแบบอนุรักษ์นิยม แม้ว่าจะเป็นการกอดกันในที่สาธารณะก็นับว่ากล่าวเป็นที่โจษจันแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการจูบอันเร่าร้อนในที่สาธารณะของโฮ่วเซิ่งหนานหรอก คงจะเป็นภาพอุจาดตาที่ใครต่างก็รับไม่ได้
ทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก!
บางคนหน้าบางหน่อย ก็จะยกมือขึ้นมาปิดหน้าไว้ ไม่กล้าดู!
เหมยเหมยก็หันมาเห็นคู่นี้เข้า พลันตาเบิกกว้างอย่างตกใจ พร้อมหันไปสะกิดเหยียนหมิงซุ่นระคนเอ่ยเสียงเบา “ดูทางนั้น…ช่างร้อนแรงเหลือเกิน…”
จึ๊ ๆ ๆ คู่นี้นี่ช่างเปิดเผยเสียจริง ต่อให้เป็นวัยรุ่นในอีกยี่สิบปีข้างหน้าก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อถึงขนาดจูบกันต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้!
เหยียนหมิงซุ่นหันไปมอง เพียงแวบแรกก็เห็นโฮ่วเซิ่งหนานที่เพิ่งผละตัวออกจากเถียนมู่ ซึ่งมือของเถียนมู่ยังคงวางอยู่ที่สะโพกของโฮ่วเซิ่งหนาน เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วแน่น ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้กลับประเทศมาเหมือนกันล่ะ?
…………………………………………………………………….
[1] ซาลาเปาที่ด้านในจุน้ำซุปเอาไว้ ส่วนมากจะใช้หลอดเจาะแล้วดูดกินน้ำซุปด้านในก่อน
[2] เครื่องในตุ๋น โดยนำเอาลำไส้และปอดมาต้มรวมกัน และใช้เวลาตุ๋นให้เกิดความนุ่มแต่ไม่เละ
[3] 斤เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีนที่นิยมใช้ มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม