แสงกระจ่างทอดลง สวีโหย่วหรงใช้เคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์รักษาบาดแผลให้เฉินฉางเซิง
ต่อมา เฉินฉางเซิงใช้เข็มทองคลายชีพจรของเซียวจาง หลังจากนั้นก็ป้อนยาลูกกลอนเพื่อให้โลหิตไหลเวียนดี
เซียวจางไม่ได้ขอบคุณเขา กลับไม่พอใจ เขาเอ่ยว่า “ยาจูซาเล่า เหตุใดไม่เอามาให้ข้าลองชิมสักเม็ด”
ภายใต้การโอ้อวดอย่างจงใจของเหล่าอาจารย์พระราชวังหลีในการนำของอันหวาและเหล่าศิษย์ผู้บ้าคลั่งเหล่านั้น ทั่วทั้งดินแดนทราบดีถึงที่มาและวิธีการทำของยาจูซา
ยาวิเศษที่สูงส่งอย่างยิ่ง และศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งนี้ ทำมาจากโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของใต้เท้าสังฆราชเอง
เซียวจางเองก็ทราบ เพียงแต่ไม่สนใจเท่าใดนัก ในใจเขาคิดเพียงว่า ยาเจ้าแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า
เฉินฉางเซิงอธิบาย “ยาที่หลอมเสร็จเมื่อหลายวันก่อนขวดนั้นได้ส่งไปยังจวนซงซานแล้ว หากท่านอยากทาน ต้องรออีกสิบกว่าวัน”
ตอนนี้สงครามยังไม่เริ่ม และเซียวจางเองก็สำคัญกับเผ่ามนุษย์มากนัก เขากลับไม่สนใจ
แต่สวีโหย่วหรงสนใจ อาจเพราะสงสารเฉินฉางเซิง และอาจเพราะโลหิตในกายของเฉินฉางเซิงนั้นมีโลหิตของนางไหลเวียนอยู่ด้วย แทบจะแยกออกจากกันไม่ได้เลย
หรือจะเอ่ยว่า ยาจูซานั้นมีครึ่งหนึ่งที่เป็นของเขา เดิมทีก็ควรจะเป็นของนางครึ่งหนึ่ง ถือดีอย่างไรที่เจ้าเพียงคนเดียวจะเป็นคนตัดสินใจ
นางมองไปยังเซียวจางก่อนเอ่ย “ท่านแน่ใจรึว่าจะทาน”
เมื่อนึกถึงบทสนทนาของนางและบรรพตเยียนจือก่อนหน้า เซียวจางจู่ๆ ก็รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา ก่อนเอ่ยว่า “ถือว่าข้าผายลมไปก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นภาพนี้ หวังผ้อก็อารมณ์ดีนัก เขาหัวเราะออกเสียงออกมาเลยทีเดียว
เซียวจางเอ่ยเสียงเย็นชา “เสียงผายลมของเจ้าดังยิ่งนัก”
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “ท่านมาได้อย่างไร”
นี่คือคำถามที่สวีโหย่วหรงและเซียวจางอยากทราบเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจนถึงตอนสุดท้ายผู้คุมกฎมารจะไม่ปรากฏตัว แต่กับดักของคนชุดดำนี้ไม่ได้มีปัญหา
เซียวจางตอบข้อความผ่านเผ่าหมี เผ่ามารเริ่มไล่ล่าสังหาร นี่คือเรื่องเมื่อสิบกว่าวันก่อน
เฉินฉางเซิงกว่าจะได้รับข้อความก็เมื่อสองวันก่อนนี่เอง
เหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเหมาชิวอวี่หรือเซี่ยงอ๋องนี้ หากต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันอย่างกองทัพเผ่ามารนี้ แทบจะไม่มีใครรู้เรื่องเลย
คืนนี้เซียวจางบรรลุระดับขั้น เหมาชิวอวี่ เซี่ยงอ๋อง รวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็รับรู้ได้เช่นกัน
แต่ทั้งสองระยะห่างกันนัก ต่อให้ผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็มาไม่ทันแน่ นอกเสียจากว่าเปี๋ยยั่งหงจะฟื้นชีวิตกลับมาอีกครั้ง
สาเหตุดั้งเดิมยังคงเป็นคำว่า ‘เชื่อใจ’ สองคำนี้
เซียวจางไม่ชอบโลกใบนี้ แน่นอนว่าต้องไม่เชื่อใจโลกใบนี้แน่
ในสายตาเขา บุคคลอย่างเหมาชิวอวี่และเซี่ยงอ๋องเกรงว่าจะอันตรายยิ่งกว่ายอดฝีมือแห่งเผ่ามาร
เหมือนกับซูหลีในปีนั้น
หรือกระทั่งเฉินฉางเซิง
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เขาแทบจะไม่ทันได้คิดคำนวณเลย
ต่อให้รู้ดีว่าเป็นกับดักของเผ่ามาร เขาก็ทำได้เพียงบุกเข้าไป
เหตุใดหวังผ้อจึงปรากฏตัวได้
เขาออกจากเมืองไป๋ตี้ สวีโหย่วหรงออกจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มายังทุ่งหญ้าแห่งนี้ เนื่องจากพวกเขามีวิธีการส่งสารพิเศษ และมีความเร็วที่รวดเร็วอย่างมาก
นี่ยืนยันได้เพียงว่าหวังผ้อรู้ข่าวนี้ล่วงหน้า
ผู้ใดบอกเขากัน
“ในหลายคืนก่อน กิเลนเมฆาอัคคีไปยังสำนักต้นถง นำจดหมายไปหนึ่งฉบับ”
หวังผ้อเอ่ยว่า “จดหมายฉบับนั้นมาจากลั่วหยาง”
ในลั่วหยางมีอารามฉางชุน
เฉินฉางเซิงมองไปยังหวังผ้อ
หวังผ้อพยักหน้า
เฉินฉางเซิงตกตะลึง ในใจคิดว่าเหตุใดอาจารย์จึงได้ทราบกลลวงของเผ่ามารล่วงหน้าได้
“คนชุดดำมีสิ่งผิดปกติ” สวีโหย่วหรงเอ่ยขึ้น
คำสนทนาสุดท้ายระหว่างนางและบรรพตเยียนจือ ก็คือต้องการยืนยันในสิ่งนี้
“ตอนนี้เมื่อมองแล้ว ทางอาจารย์ของเจ้านั่นเองที่มีปัญหา หากอยากจะพิสูจน์ชัด ท่านต้องไปลั่วหยางสักครา”
ลมรัตติกาลค่อยๆ สงบลง ฝุ่นควันจางหาย ขอบฟ้าเหมือนจะปรากฏสีขาวเสี้ยวหนึ่งออกมา
แสงอรุณรุ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันใหม่ใกล้มาเยือน
หวังผ้อเอ่ยกับเซียวจางว่า “ไปกับข้าไหม”
กระดาษขาวปลิวพึ่บพั่บ นั่นเพราะเซียวจางกำลังหายใจ เพราะอารมณ์โกรธนั่นเอง
“ตอนนี้ข้าไม่ด้อยไปกว่าเจ้า ต้องให้เจ้ามาสนใจหรือ”
หลายสิบปีมานี้ ฟังคำพูดอย่างนี้มามากมายนัก หวังผ้อหัวเราะ ไม่สนใจเขา
เซียวจางยังคงเย่อหยิ่งและขี้หงุดหงิดอย่างนั้น นิสัยย่ำแย่นัก
เฉินฉางเซิงสงสัยนักว่านิสัยอย่างเขานี้คิดอย่างไรมาขอความช่วยเหลือจากตน
เซียวจางให้เหตุผลไว้ง่ายดายนัก แต่กลับดูเหมือนมีพลัง กระทั่งทำให้คนหวั่นไหวได้เลย
“ข้าบำเพ็ญพรตมากว่าสิบปี บอกได้อย่างไม่อายเลยว่าฝึกหนักมาก มุ่งมั่นอย่างถึงที่สุด ไม่หวั่นแม้จะธาตุไฟเข้าแทรก จึงได้มาถึงขั้นนี้ได้ เมื่อเห็นความเป็นไปได้ในการข้ามขั้นนั้น หากตายตอนนี้จะน่าเสียดายถึงเพียงนั้นเลยหรือ ต่อให้ตายไป ก็ให้ข้าได้ไปยลทิวทัศน์ด้านนั้นก่อนสักหน่อยเถิด”
“และหากข้ามธรณีประตูด่านนั้นมาไม่ได้ รบราจนตัวตายบนทุ่งหิมะก็ยังถือได้ว่าเศร้าสลดและเร้าใจ ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เผ่ามนุษย์จะชนะอยู่แล้ว ข้าเองก็เป็นไปได้ที่จะเข้าสู่อาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว อย่างนั้นข้าก็จะมีร่างที่เป็นประโยชน์ อย่างนั้นข้าจะสิ้นชีวิตไปตามอำเภอใจได้อย่างไร ข้าต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังต่างหาก”
หากข้ามผ่านด่านนี้ได้ เขาที่เคยรักแรงเกลียดแรง กังขาโลกใบนี้ เย่อหยิ่งและทำตามอำเภอใจ ล้วนต้องพักไว้ทั้งสิ้น
เนื่องจากเขาต้องมีชีวิตต่อไป มีชีวิตเพื่อเผ่ามนุษย์ หรือจะกล่าวอีกอย่างก็คือ เขาไม่ได้เป็นตัวเองอีกต่อไป อย่างน้อยก็ไม่เพียงแค่ตัวเขาเอง
หวังผ้อรู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง เฉินฉางเซิงรู้สึกปลงอยู่บ้าง สวีโหย่วหรงรู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้าง ในใจคิดว่าความงดงามหลังการข้ามผ่านด่านนั้น สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว มีผลกระทบมากอย่างนั้นเลยหรือ
ลมอรุณรุ่งหนาวเย็นเล็กน้อย บรรยากาศอบอุ่นเล็กน้อย แต่เซียวจางเองกลับไม่ชอบนัก
เขาชอบที่จะถูกคนให้ความเคารพ ถูกคนเกรงกลัว ไม่ชอบถูกคนชื่นชม ชื่นชอบ
เขาคุ้นเคยกับชีวิตที่เยือกเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้บทสนทนาเข้าสู่ถ้อยวาจาอันอบอุ่นใจ เขาจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยท่าทีแข็งทื่อ
“วิชาประสานกระบี่ของพวกเจ้าร้ายกาจยิ่งนัก”
เซียวจางมองไปยังเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงพลางเอ่ย
ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน แต่สีหน้าของเขาจริงจังมาก เนื่องจากเขากำลังพูดเรื่องจริง
วิชาประสานกระบี่ที่ว่า หมายถึงวิชาสองกระบี่ประสานพลังของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง แต่ไม่ได้จำกัดเพียงเท่านี้ ยังรวมไปถึงการร่วมมือกันต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองกับบรรพตเยียนจือด้วย
การร่วมมืออันไร้ที่ติ เป็นอิสระหมุนเวียน ราวกับดวงดาวที่สาดส่องมหานทีนั้น ล้วนต้องมีเจตนาอันแน่วแน่ของคนสองคนที่ตรงกัน
ทั่วทั้งดินแดนล้วนทราบดี เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงล้วนเป็นคู่บำเพ็ญพรตกัน แต่ผู้ใดก็ล้วนทราบดี จิตใจประสานรวมเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในดินแดนนี้
ต่อให้เป็นมารดาและบุตร เพื่อร่วมชะตากรรมที่เป็นตายร่วมกันมา สามีภรรยาที่ร่วมชีวิตกันมา ก็ยากจะทำได้ เหตุใดพวกเขาทำได้
แม้แต่คนอย่างเซียวจางยังเอ่ยชม เฉินฉางเซิงค่อนข้างดีใจ ทั้งยังรู้สึกกลัดกลุ้ม
อันดับแรกคือคำถามนี้ตอบยาก ลำดับต่อมาก็คือคืนนี้โหย่วหรงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขากังวลว่าหากตอบไม่ดีจะทำให้นางไม่ปลื้มได้
สายตาของเซียวจางมองกลับไปมาระหว่างเขาและสวีโหย่วหรง ก่อนเอ่ย “ระหว่างพวกเจ้าทั้งมองมีปัญหาอะไรหรือไม่”
……
……
“ระหว่างพวกเจ้าทั้งมองมีปัญหาอะไรหรือไม่”
แสงดาวทอดตกลงระหว่างลานบ้าน สาดส่องพื้นสีเขียวเสียจนกลายเป็นสีเงิน ทำให้อาภรณ์สีเหลืองห่านกลายเป็นสีเหลืองงาช้าง
เมื่อเห็นเจ๋อซิ๋วอยู่นอกรั้ว ชีเจียนรู้สึกไม่สบายใจนัก มือทั้งสองข้างกุมแขนเสื้อแน่น
หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน เวลานี้เขาคงกำลังจดจ้องไปยังอิฐสีเงินเหล่านั้นเนื่องจากเขาเองก็ชื่นชอบเงินมาก
ไม่อย่างนั้น เขาก็คงจดจ้องมายังตนเอง เขาชอบอาภรณ์ชุดนี้ที่สุด ชอบมองตนเองที่สุด
นับตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ทั้งหมดล้วนเปลี่ยนไปแล้วหรือ
มองไปยังแผ่นหลังของเจ๋อซิ่ว สีหน้าของชีเจียนดูเหงาหงอยอยู่บ้าง
เจ๋อซิ่วไม่ได้มีท่าทีจะหันหลังกลับ และก็ไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ
“อย่าคิดไปเรื่อย รีบนอนเสีย อีกเดี๋ยวข้ากลับมา”
……
……