ตลอดช่วงสองวันต่อมา ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พักอาศัยอยู่ในนิกายพันปีศาจ
ฉินอวี้โม่ก็หารือกับบรรดาผู้อาวุโสของนิกายพันปีศาจและบรรลุข้อตกลงที่ตรงกัน นิกายพันปีศาจในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนศิษย์ ทว่าต้องพัฒนาความแข็งแกร่งโดยรวมของทั้งนิกาย
ฉินอวี้โม่ใช้เวลาช่วงนี้หลอมอุปกรณ์เพิ่มเติมในขณะที่เฉินคุนกระตุ้นให้ศิษย์ทุกคนหมั่นเพียรฝึกฝน บรรดาผู้อาวุโสของนิกายต่างก็พัฒนาความแข็งแกร่งของตนอย่างจริงจังเช่นกันและกลายเป็นเสาหลักของนิกายพันปีศาจ
ในวันที่สาม ทุกคนก็ได้เดินทางออกจากนิกายพันปีศาจและมุ่งหน้าไปยังทิศทางของจวนตระกูลเฟิง
แม้ต้องเดินทางไปให้ถึงจุดหมายก่อนกำหนด ทว่าตอนนี้พวกนางก็ยังมีเวลาเหลืออีกพอสมควร เพราะเหตุนั้น ทุกคนจึงไม่เลือกที่จะเดินทางด้วยอสูรบินและเลือกเดินเท้าไปที่นั่นแทน
ทุกคราที่เดินทางผ่านเมืองใหญ่หลายแห่ง คณะเดินทางก็ต้องหยุดแวะเข้าไปในเมืองเหล่านั้นอย่างน้อยหนึ่งวันเพื่อให้เถาเซี่ยวเซี่ยวผู้ซึ่งไม่เคยออกไปเที่ยวชมที่ใดได้เพลิดเพลินกับการออกมาท่องโลกภายนอกในครานี้
แน่นอนว่าพวกนางก็ต้องยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายในเมืองใหญ่เป็นระยะ ๆ มิฉะนั้น ต่อให้เดินทางด้วยอสูรบิน ฉินอวี้โม่และทุกคนก็คงจะเดินทางไปไม่ถึงจวนตระกูลเฟิงภายในระยะเวลาหนึ่งปีด้วยซ้ำ
ระหว่างช่วงการเดินเที่ยวชมเมืองและเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ใหม่ ๆ คณะเดินทางก็ใช้เวลาถึงสองเดือนเต็มก่อนปรากฏตัวตรงหน้าเมืองจูเฟิงซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนตระกูลเฟิง
เมืองจูเฟิงเป็นหนึ่งในเมืองหลักของดินแดนนี้และเป็นเมืองที่รุ่งเรืองอย่างมาก เดิมทีเมืองจูเฟิงเคยเป็นเพียงเมืองระดับสามเท่านั้น ทว่าในภายหลัง อิทธิพลอำนาจของตระกูลเฟิงก็พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมืองจูเฟิงกลายเป็นเมืองระดับหนึ่งในที่สุด
ภายในเมืองจูเฟิง นอกเหนือจากตระกูลเฟิงก็ยังมีขุมกำลังระดับสามจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ทว่าพวกเขามิใช่ขุมกำลังที่จะต้องเกรงกลัว
เนื่องจากครานี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิงและพวกเขาส่งสาส์นเชิญออกไปเป็นจำนวนมาก วันนี้ตัวเมืองจึงคึกคักและมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
เมื่อฉินอวี้โม่และคณะเดินทางมาถึง คนตระกูลเฟิงที่อยู่หน้าประตูเมืองก็สังเกตเห็นได้ทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ทุกท่านคือตัวแทนจากนิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจใช่หรือไม่ ?”
ผู้ที่สังเกตเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เป็นคนแรกก็คือเฟิงโจวจือ—ผู้อาวุโสรองของตระกูลเฟิงและเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ประสานงานกับสมาชิกจากขุมกำลังต่าง ๆ ที่มาร่วมงานเลี้ยงในครานี้
เฟิงโจวจือเคยพบหน้าว่านหรูชูและเฉินคุนมาก่อน ทว่าสาเหตุที่เขายังมีความลังเลเป็นเพราะไม่คาดคิดว่าคนของทั้งสองขุมกำลังจะเดินทางมาด้วยกัน อีกทั้งยังดูเหมือนว่าพวกเขาสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทว่าในความทรงจำของผู้อาวุโสรอง เขาจดจำได้ว่าทั้งสองขุมกำลังนี้ไม่ถูกกันมาช้านาน
“ถูกต้องแล้ว ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสรองแห่งตระกูลเฟิง”
ว่านหรูชูกล่าวทักทายและแสดงให้เห็นว่าเขาก็จดจำเฟิงโจวจือได้
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายหมื่นกระบี่จะจดจำข้าได้ ช่างเป็นเกียรติจริง ๆ”
เฟิงโจวจือกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาเป็นคนที่จิตใจดีและมีความเป็นมิตรอย่างมาก
“ผู้อาวุโสรองแห่งตระกูลเฟิงวางตัวอย่างเปิดเผยและโปร่งใสมาตลอด อีกทั้งยังเป็นคนที่ข้าเคารพชื่นชมยิ่งนัก ข้าจะลืมได้อย่างไรเล่า ?”
ว่านหรูชูกล่าวความจริงพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน หากเทียบกับผู้อาวุโสใหญ่ที่เย็นชาของตระกูลเฟิง ผู้อาวุโสรองเป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่ายกว่ามาก
หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง เฟิงโจวจือก็นำทางว่านหรูชูและคนอื่น ๆ ตรงไปยังที่พักที่ตระกูลเฟิงเตรียมไว้ด้วยตัวเอง
“ผู้อาวุโสเฟิง พวกเรามีกันเพียงไม่กี่คน ท่านจัดเรือนให้พวกเราเพียงหลังเดียวก็พอ”
ว่านเฉินซีกล่าวขึ้น กลุ่มของพวกนางมีจำนวนไม่มากนักและสามารถพักอยู่ในเรือนหลังเดียวกันได้อย่างไม่เป็นปัญหา
“ผู้อาวุโสสามแห่งนิกายหมื่นกระบี่ไม่ต้องมีพิธีรีตองนักหรอก เรียกชื่อของข้าก็พอ การได้ยินคำว่าผู้อาวุโสเฟิงซ้ำ ๆ ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย”
เฟิงโจวจือกล่าวขึ้นก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “สหายว่าน ข้าได้ยินมาว่านิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดมิใช่หรือ ? เหตุใดจู่ ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่านจึงดูสนิทสนมกันเช่นนี้ได้ ?”
แม้การเอ่ยถามออกไปโดยตรงเช่นนี้อาจเป็นการเสียมารยาทเล็กน้อย เฟิงโจวจือก็ใคร่รู้อย่างยิ่งและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเพื่อหาคำตอบ
ไม่ว่าพิจารณาอย่างไรก็ไม่มีทางเลยที่สองขุมกำลังนี้จะกลายเป็นมิตรกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ภาพลักษณ์ของนิกายพันปีศาจก็เลวร้ายยิ่งนัก ด้วยลักษณะความชอบธรรมของนิกายหมื่นกระบี่ เรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะผูกมิตรกับนิกายพันปีศาจที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่
“ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมไปตลอดหรอก อีกอย่าง…ตอนนี้นิกายพันปีศาจก็เปลี่ยนจ้าวนิกายแล้วและมิใช่พระปีศาจเฉินเฟิงเซี่ยวอีกต่อไป แน่นอนว่าเราไม่รังเกียจที่จะผูกมิตรกับนิกายพันปีศาจ”
ว่านเฉินซีกล่าวขึ้นและเปิดเผยออกไปว่านิกายพันปีศาจเปลี่ยนจ้าวนิกายเป็นคนใหม่แล้ว อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้บอกกับเฟิงโจวจือว่าจ้าวนิกายพันปีศาจคนใหม่คือฉินอวี้โม่
“เปลี่ยนจ้าวนิกายแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
เฟิงโจวจือชะงักไปเล็กน้อย นิกายพันปีศาจถือเป็นหนึ่งในขุมกำลังระดับสอง เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะไม่ทราบข่าวใหญ่เช่นนี้ซึ่งก็คือการที่นิกายพันปีศาจเปลี่ยนจ้าวนิกายไป ?
“ใช่ จ้าวนิกายคนใหม่สังหารเฉินเฟิงเซี่ยวด้วยตนเองและขึ้นดำรงตำแหน่งจ้าวนิกายพันปีศาจคนใหม่ นิกายพันปีศาจในปัจจุบันแตกต่างไปจากในอดีตมากนัก พวกเขากลับตัวกลับใจและผันตัวไปสู่ทางสว่างมากขึ้น พวกเรานิกายหมื่นกระบี่จึงยินดีผูกมิตรสร้างไมตรีกับนิกายพันปีศาจ”
ว่านหรูชูกล่าวอย่างเห็นด้วย ทว่าเขาก็ไม่ได้เปิดเผยออกไปเช่นกันว่าฉินอวี้โม่คือจ้าวนิกายคนใหม่
“จ้าวนิกายคนใหม่ของเราลั่นวาจาไว้อย่างชัดเจนว่านิกายพันปีศาจจะต้องเก็บตัวสงบเสงี่ยมและไม่ก่อเรื่องวุ่นวายใด ๆ รวมถึงกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ในภายภาคหน้า หลักปฏิบัติที่พวกเราจะยึดมั่นคือ หากไม่มีผู้ใดระรานพวกเราก่อน เราก็จะไม่ไประรานผู้ใดเช่นกัน”
เฉินคุนกล่าวเสริมและยืนยันข้อเท็จจริงนี้
“ดูเหมือนว่าจ้าวนิกายคนใหม่ของท่านจะน่าสนใจมากทีเดียว ไม่ทราบว่าจ้าวนิกายคือผู้ใดหรือ ? เขาคงจะเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับต้น ๆ ของดินแดนใช่หรือไม่ ?”
เฟิงโจวจือตกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนกล่าวลองเชิงและแสดงให้เห็นว่าเขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับจ้าวนิกายพันปีศาจคนใหม่เป็นอย่างมาก
“มิใช่หรอก จ้าวนิกายของเรายังอายุน้อยและไม่แกร่งกล้าเหมือนอย่างบรรดาเฒ่าปีศาจของดินแดนหรอก หากผู้อาวุโสเฟิงใคร่รู้ หลังจากงานเลี้ยงครานี้สิ้นสุดลง เชิญกลับไปเยี่ยมเยือนนิกายพันปีศาจพร้อมกับพวกเราและท่านจะได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด”
เฉินคุนกล่าวตัดบทและเบี่ยงเบนประเด็นสนทนา
หลังจากนั้นว่านเฉินซีก็แนะนำฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ให้เฟิงโจวจือได้รู้จัก แน่นอนว่าตัวตนของฉินอวี้โม่ตอนนี้เป็นเพียงศิษย์คนหนึ่งของนิกายหมื่นกระบี่เท่านั้น มิใช่จ้าวนิกายพันปีศาจ
เฟิงโจวจือยังคงตกตะลึงเล็กน้อย ทว่าเขาก็กล่าวทักทายฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แม้ยังอยู่ในภวังค์ความคิดและนึกสงสัยเกี่ยวกับนิกายพันปีศาจก็ตาม
ที่พักที่ตระกูลเฟิงเตรียมไว้สำหรับขุมกำลังต่าง ๆ ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงครานี้มิใช่จวนของตระกูลเฟิง หากแต่เป็นเขตคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลมากนัก
เขตคฤหาสน์แห่งนี้เทียบเท่าได้กับพระราชวังในดินแดนระดับต่ำ มันมีขนาดที่กว้างใหญ่มากและมีเรือนแยกยิบย่อยกว่าหลายสิบหลังซึ่งมีห้องภายในกว่าหลายร้อยห้อง
“ขุมกำลังระดับหนึ่งและระดับจะสองพักอยู่ในบริเวณนี้ หากมีสิ่งใดขัดข้องหรือต้องการสิ่งใดก็มาแจ้งกับข้าได้เลย หากไม่มีสิ่งใดต้องทำ ทุกท่านก็สามารถท่องชมไปรอบ ๆ ได้ตามต้องการ เมืองจูเฟิงของเราไม่มีกฎเกณฑ์ใดมากนัก ตราบใดที่ไม่มีอันตรายจนถึงแก่ชีวิต เราก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง”
ขณะนำทางทุกคนไปยังเรือนทางตะวันตก เฟิงโจวจือก็กล่าวขึ้นและแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของตระกูลเฟิง
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้าใจได้เป็นอย่างดี ถึงอย่างไร การที่มีขุมกำลังมากมายจากทั่วดินแดนเดินทางมาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดครานี้ ต่อให้ตระกูลเฟิงต้องการจะควบคุมสถานการณ์ มันก็ดูจะเกินเอื้อมเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น มีบางขุมกำลังที่ตระกูลเฟิงแอบหวาดหวั่นอยู่ลึก ๆ สิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีเพียงการจัดการให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดเสียชีวิตไปเท่านั้น หากเป็นความขัดแย้งเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือขัดขวาง
อย่างไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องการพอดิบพอดี นางไม่มีโอกาสได้ยืดเส้นยืดสายมานานหลายวัน หากมีผู้ใดที่หน้ามืดตามัวและกล้าเข้ามาหาเรื่องกวนใจนาง นางก็ไม่รังเกียจที่จะยืดเส้นยืดสายสักหน่อย
ว่านหลิวอวิ๋น ว่านหลิวชางและเถาเซี่ยวเซี่ยวต่างก็แสดงความกระตือรือร้นออกมาเช่นกันและคาดหวังว่าจะมีคนเข้ามาหาเรื่องกวนใจพวกตนโดยเร็ว