เมื่อเห็นสีหน้าคาดหวังของฉินอวี้โม่และอีกสามคน เฟิงโจวจือก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่คิดเลยว่าศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายหมื่นกระบี่จะฮึกเหิมและกระหายการต่อสู้เช่นนี้ สีหน้าที่ราวกับปรารถนาให้ผู้อื่นเข้ามาหาเรื่องตนโดยเร็วเช่นนี้ช่าง…
เฟิงโจวจือไม่สามารถสรรหาคำใดมาอธิบายได้เลย เขาจึงไม่กล่าวสิ่งใดกับพวกนางและเพียงบอกลาทุกคน
“สหายว่าน อดีตผู้นำตระกูลเฟิงยังไม่ออกมาจากการเก็บตัวและผู้นำคนปัจจุบันก็ยังมีธุระต้องจัดการในช่วงนี้ เมื่อท่านผู้นำว่างแล้ว ข้าจะมาเชิญทุกท่านไปพบเขาอีกครา ระหว่างนี้เชิญทุกคนเที่ยวชมในเมืองจูเฟิงได้ตามสบาย”
เขากล่าวทิ้งท้ายและเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับมีอสูรดุร้ายที่กำลังไล่ตามหลังจนต้องหนีออกไป
ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่เหล่านี้ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าว่านหรูชูเสียอีกและเป็นกลุ่มคนที่ไม่ควรจะไปยุ่งด้วย…
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้สนใจท่าทีที่แปลกประหลาดของเฟิงโจวจือและเพียงแบ่งห้องพักสำหรับแต่ละคน
ห้องหนึ่งเป็นของว่านหรูชูและว่านเฉินซี อีกห้องหนึ่งเป็นของบุตรชายฝาแฝดของตระกูลว่าน ส่วนห้องต่อมาเป็นของฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยว ห้องที่สี่เป็นของเฉินคุนเพียงผู้เดียว และห้องสุดท้ายเป็นห้องสำหรับสมาชิกสองคนจากนิกายพันปีศาจ
หลังจากพักผ่อนเพียงสั้น ๆ เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ดึงมือฉินอวี้โม่ออกไปอย่างกระตือรือร้นโดยวางแผนที่จะไปเดินเที่ยวชมทั่วเมืองจูเฟิง
แน่นอนว่าว่านหลิวอวิ๋นและว่านหลิวชางเองก็ต้องการไปกับพวกนาง ส่วนศิษย์สองคนจากนิกายพันปีศาจก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเมืองจูเฟิงและต้องการติดตามไปเช่นกัน
ว่านหรูชูและอีกสองคนตัดสินใจพักผ่อนอยู่ในเรือนสักระยะและไม่คิดที่จะออกไปเที่ยวเล่นกับบรรดาคนรุ่นเยาว์
หลังออกจากอาณาเขตที่พักที่ตระกูลเฟิงเตรียมไว้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าไปยังถนนเส้นใหญ่ของเมือง
เนื่องจากมีงานเลี้ยงครั้งใหญ่เพื่อฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำตระกูลเฟิง เมืองจูเฟิงในวันนี้จึงมีชีวิตชีวากว่าปกติหลายเท่าตัวนัก ผู้คนมากมายสัญจรไปมาบนท้องถนน ในบรรดาคนเหล่านั้น มีหลายคนที่ทรงพลังมากจนฉินอวี้โม่ไม่สามารถมองทะลุถึงระดับพลังของพวกเขาได้ด้วยซ้ำ
“ว้าว ! ถังหูลู่เต็มไปหมด !”
* 糖葫芦 ถังหูลู่ เป็นของกินขึ้นชื่อของเมืองจีน โดยเฉพาะในปักกิ่ง ที่ผู้คนนิยมกินถังหูลู่กันมาก ซึ่งพบเห็นได้บ่อยในช่วงหน้าหนาว ตามตรอกซอกซอย สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จะมีพ่อค้าแม่ค้าขายถังหูลู่อยู่เต็มไปหมด
ดวงตาเป็นประกายของเถาเซี่ยวเซี่ยวหยุดลงที่ร้านค้าแผงหนึ่งข้างถนน เพียงได้เห็นถังหูลู่ซึ่งเป็นของโปรด นางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
เดิมทีว่านหลิวอวิ๋นก็เป็นพี่ชายที่ตามใจน้องสาวและเอาอกเอาใจนางมาตลอด เขาจึงรีบเดินตรงเข้าไปและซื้อถังหูลู่จำนวนมากมาแจกจ่ายให้กับเถาเซี่ยวเซี่ยวและฉินอวี้โม่โดยที่พวกนางสามารถรับประทานได้มากเท่าที่ต้องการ
“ขอบคุณพี่รองเจ้าค่ะ”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวขอบคุณพี่ชายอย่างสุภาพก่อนลงมือสวาปามถังหูลู่ในมือโดยที่ไม่รักษาภาพลักษณ์แม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่ก็รับไว้เพียงจำนวนหนึ่ง นางไม่ได้ลิ้มรสถังหูลู่มาเป็นเวลานานแล้ว ครั้งล่าสุดที่ได้ทานคือตอนที่แย่งทานคำหนึ่งจากเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่
เมื่อนึกถึงบุตรตัวน้อยทั้งสอง ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจใช้อุปกรณ์สื่อสารเพื่อติดต่อหาพวกเขา น่าเสียดายที่อุปกรณ์สื่อสารของฉินอวี้โม่ยังไม่สามารถเชื่อมต่อได้ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าทั้งสองมิได้อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็เดินหน้าต่อไปอย่างเอื่อยเฉื่อย เถาเซี่ยวเซี่ยวก็เลือกซื้ออาหารตลอดทาง แม้ว่าว่านหลิวอวิ๋น ว่านหลิวชางและศิษย์นิกายพันปีศาจสองคนจะถือข้าวของกันเต็มไม้เต็มมือ ทว่าสีหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย
ในขณะพูดคุยกันอย่างสบายใจ ทุกคนก็มาหยุดลงตรงหน้าภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจูเฟิง
“พี่อวี้โม่ เราเข้าไปหาอะไรกินกันเถอะ”
เถาเซี่ยวเซี่ยวจับมือฉินอวี้โม่ตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะซื้ออาหารและขนมขบเคี้ยวมาตลอดทาง ในฐานะนักกิน นางก็ไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้ลิ้มลองทุกอย่าง ก่อนหน้านี้ นางก็ได้สอบถามจนทราบแล้วว่านี่คือภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจูเฟิงและอาหารข้างในล้วนมีรสชาติที่เอร็ดอร่อยทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น อาหารจากภัตตาคารแห่งนี้ก็เปี่ยมไปด้วยพลังงานซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่รับประทานมัน
เถาเซี่ยวเซี่ยววางแผนที่จะรับประทานอาหารร่วมกับทุกคนก่อนซื้ออาหารบางส่วนกลับไปฝากบิดามารดาและลุงเฉินคุนเมื่อกลับไปที่เรือน
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ขัดข้อง แม้กระเพาะของพวกเขาจะไม่สามารถรองรับอาหารได้มากเท่ากับเถาเซี่ยวเซี่ยว พวกเขาก็รับประทานอาหารได้มากพอสมควร
“เฮอะ ! พวกบ้านนอกนี่เป็นใครกัน ? ดูของกินที่เต็มไม้เต็มมือนั่นสิ ยังอยากจะเข้าไปในภัตตาคารเอกพิภพอีกงั้นรึ ?”
จู่ ๆ น้ำเสียงห้วนไม่เข้าหูก็ดังขึ้นและแสดงถึงการเยาะเย้ยถากถางอย่างไม่ปิดบัง
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และทุกคนก็เมินเฉยและเดินหน้าเข้าไปในภัตตาคารต่อไป
“เฮ้ คุณหนูผู้นี้กำลังพูดกับพวกเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินรึไง ? เจ้าพวกบ้านนอก ! หยุดเดี๋ยวนี้ ! ที่นี่มิใช่ที่ที่พวกเจ้าจะเข้าไปได้”
น้ำเสียงไม่พอใจของนางดังขึ้นเมื่อตระหนักว่าถูกเมินเฉยไปโดยตรง และเมื่อเสียงตะโกนถ่ายทอดคำสั่งดังขึ้นอีกครั้ง คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาขวางหน้าฉินอวี้โม่และทุกคนไว้ทันที
“สุนัขที่ไหนเห่าอยู่ได้ ช่างหนวกหูชะมัด !”
เดิมทีฉินอวี้โม่ไม่ต้องการตอแยกับคนเหล่านี้เพราะกลัวว่าจะเสียความอยากอาหารไป คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมแพ้และพยายามหาเรื่องต่อซึ่งทำให้นางมิอาจทนอยู่เฉย ครานี้นางกวาดสายตามองกลุ่มคนตรงหน้าและกล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงเรียกข้าว่าสุนัข ?!”
เจ้าของเสียงเมื่อครู่ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของนางก็บูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม
ในฐานะคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉิน ไม่เคยมีผู้ใดกล้าหยามหน้านางเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้เลยว่าคนบ้านนอกเหล่านี้มาจากที่ใดจึงกล้านำนางไปเปรียบกับสุนัข
“พี่อวี้โม่ อย่าว่าให้สุนัขเสียเลยเจ้าค่ะ สุนัขทั้งน่ารักและเฉลียวฉลาดกว่าคนพวกนี้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางก็ไม่มีคำอื่นจะว่าเรานอกจากคำว่าบ้านนอกด้วยซ้ำ ต่อให้เราจะมาจากบ้านนอกจริง แล้วอย่างไร ? ใครกันที่กำลังขวางทางผู้อื่นอยู่ ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวมิใช่คนที่จะอดทนใจเย็นเช่นกัน นางเกาะแขนฉินอวี้โม่ไว้แน่นขณะสายตาจ้องเขม็งไปยังฝ่ายตรงข้ามและกล่าววาจาตำหนิอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“เหอะ ! พวกบ้านนอก ไม่รู้รึว่าคุณหนูผู้นี้เป็นใคร ?”
เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้ไม่รู้จักคำสบถหรือคำก่นด่ามากนัก นอกเหนือจากคำว่า ‘บ้านนอก’ นางก็ไม่สามารถนึกคำอื่นได้อีกเลยและเพียงจ้องหน้าฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวอย่างโกรธแค้น
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร การที่เราจะเข้าไปในภัตตาคารแห่งนี้ มันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้ารึ ? ภัตตาคารเอกพิภพมิใช่ธุรกิจของตระกูลเจ้าและไม่มีกฎห้ามพวกเราเข้าไป เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขวางเราไม่ทราบ ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกลอกตาไปมาและไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“แม่สาวน้อย ข้าขอแนะนำให้เจ้าอ่านตำราเสียบ้างหรืออย่างน้อยก็เรียนรู้คำด่าเพิ่มเติม ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เจ้าไม่มีคำด่าคำใดนอกจากพวกบ้านนอกเลย ข้าอายแทนเจ้าจริง ๆ ส่วนเจ้าจะเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญในตอนนี้คือเราจะเข้าไปหาของอร่อยทานข้างในภัตตาคาร และสุนัขที่ดีย่อมไม่ขวางทางผู้อื่น เจ้าคงจะเข้าใจความจริงข้อนี้ดี”
ว่านหลิวอวิ๋นกล่าวขึ้นและวาจาของเขาทำให้อีกฝ่ายแทบเป็นลมล้มพับ เขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการก่นด่าโดยที่ไม่มีคำหยาบคายเป็นอย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่าว่านหลิวอวิ๋นที่ภายนอกดูสุภาพอ่อนโยนจะปากคอเราะร้ายได้ถึงเพียงนี้…
“เจ้า ! เจ้า ! พวกเจ้า…”
อีกฝ่ายเดือดดาลอย่างที่สุดจนพูดไม่ออกและได้เพียงชี้หน้าว่านหลิวอวิ๋นพร้อมดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น
“โอ้ ข้าคงจะโทษสตรีผู้นี้ไม่ได้เสียแล้ว ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นคนติดอ่าง หากเป็นเช่นนี้ เราจะยกโทษให้ก็แล้วกัน ไม่ง่ายเลยที่คนติดอ่างจะเอ่ยพูดได้แต่ละคำ นับประสาอะไรกับการเรียนรู้คำศัพท์เพิ่มเติม”
แน่นอนว่าว่านหลิวอวิ๋นไม่นิ่งเงียบและกล่าวต่อไป จากนั้นเขาก็หันไปหาเถาเซี่ยวเซี่ยวและกล่าวกับนาง “น้องเล็ก เห็นแก่คนติดอ่างเถอะ อย่าปฏิบัติต่อนางดังคนทั่วไป ท่านตาสอนเราเสมอมิใช่รึว่าควรอ่อนโยนต่อบุคคลทุพพลภาพ ?”
“จริงสิ..ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้ามีโรคอยู่ ข้าผิดเอง…”
เถาเซี่ยวเซี่ยวพยักศีรษะและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แน่นอนว่าพี่ชายฝาแฝดทั้งสองและน้องเล็กย่อมมีความเข้าใจที่ตรงกัน
.