ผู้ที่ตราหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ว่าเป็นพวกบ้านนอกมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินอวี๋—บุตรสาวของผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลฉินนั่นเอง เนื่องจากตระกูลฉินมีทายาทไม่มากนักและไม่มีสตรีที่เป็นทายาทสายตรง นางจึงมักอวดอ้างว่าตนเองเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉิน
ผู้นำตระกูลฉินและบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลก็ประคบประหงมเอาใจฉินอวี๋เป็นอย่างดี และทุกคนที่ทราบถึงสถานะของนางต่างก็ไว้หน้านางและไม่กล้าทำสิ่งใดให้นางขุ่นเคืองใจ
เนื่องจากปัจจัยเอื้ออำนวยเหล่านี้ ฉินอวี๋จึงวางตัวเผด็จการและยกตนสูงกว่าผู้อื่นมากยิ่งขึ้น
ไม่เคยมีผู้ใดที่กล้าดูหมิ่นนางต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้มาก่อนและนั่นทำให้นางโกรธเกรี้ยวจนอยู่ไม่ติด
“พวกเจ้าไม่รู้รึว่าคุณหนูผู้นี้เป็นใคร ?”
นางกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยความโกรธแค้นและขัดจังหวะว่านหลิวอวิ๋นและเถาเซี่ยวเซี่ยวที่กำลังตอบโต้ไปมาอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“เหตุใดเราจะต้องรู้ด้วยว่าเจ้าเป็นใคร ? เจ้าจะเป็นใครมาจากที่ใดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรางั้นหรือ ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวแสดงสีหน้างุนงงและหันไปเอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงสงสัย “พี่อวี้โม่ สตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่จะพูดจาติดอ่างเท่านั้น ทว่าดูเหมือนนางจะมีสติที่ไม่ดีด้วยนะ”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็อย่าไปคุยกับคนสติไม่ดีเลย มันจะส่งผลกระทบต่อเจ้าไปด้วยและทำให้ระดับสติปัญญาลดต่ำลงเสียเปล่า ๆ”
อันที่จริง ฉินอวี้โม่พอจะคาดเดาตัวตนของฉินอวี๋ได้จากเสียงหารือของผู้คนโดยรอบแล้ว
ตระกูลฉินคือหนึ่งในขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของโลกแห่งเทพ ฉินหยวน—ผู้นำตระกูลฉินก็ถูกจัดเป็นหนึ่งในสามจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดน ซึ่งแม้แต่ว่านอู๋เริ่นก็มิใช่คู่มือของเขา
อย่างไรก็ตาม ภายในโลกแห่งเทพ ชื่อเสียงของตระกูลฉินอยู่ในทางลบมาเสมอ และว่านอู๋เริ่นก็ไม่ต้องการกล่าวถึงคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ
“ข้าคือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน ข้าคือบุคคลที่คนบ้านนอกเช่นพวกเจ้าไม่ควรท้าทาย หากริอาจท้าทายข้าขึ้นมา นั่นจะเป็นการรนหาที่ตายของพวกเจ้าเอง !”
ฉินอวี๋พยายามควบคุมโทสะที่คุกรุ่นในหัวใจและกล่าวเสียงดังเพื่อเปิดเผยสถานะของตนเอง จากนั้นนางก็กวาดสายตามองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยแววตาเหยียดหยาม
‘พวกบ้านนอกเหล่านี้คงไม่รู้ว่าข้าเป็นใครจึงได้กล่าววาจาอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ หากได้รู้ความจริง พวกนางจะต้องกลัวจนตัวสั่นและรีบขอโทษขอขมาข้าเป็นแน่…’
“คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ ?”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ทันทีที่ฉินอวี๋เปิดเผยตัวตนออกไป นางก็ได้เห็นสีหน้าหวาดหวั่นของฝ่ายตรงข้าม
“แม่เจ้า ! ที่แท้คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินก็สติไม่ดีหรือนี่… เราบังเอิญรู้ความลับนี้เข้าแล้ว หวังว่าพวกเราคงไม่ถูกฆ่าปิดปากไปหรอกนะ !”
ว่านหลิวอวิ๋นเสแสร้งทำเป็นหวาดหวั่น ทว่าสิ่งที่กล่าวออกไปช่างแตกต่างจากสิ่งที่ฉินอวี๋คาดไว้อย่างสิ้นเชิง
“คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เพราะถึงอย่างไรก็มิใช่พวกเราที่ปล่อยให้นางออกมาสร้างความอับอายให้กับตนเองเช่นนี้ อีกอย่าง…ผู้คนมากมายก็ได้เห็นตรงกัน การทำเช่นนั้นมิใช่ผลดีแน่ ตระกูลฉินไม่มีทางฆ่าปิดปากพวกเราทั้งหมดได้”
ฉินอวี้โม่ก็ให้ความร่วมมือและกล่าวถึงผู้คนรอบตัวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาแทบอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินวาจาของว่านหลิวอวิ๋นและฉินอวี้โม่ คนเหล่านี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ ! สำหรับความสามารถในการทำให้ฝ่ายตรงข้ามแทบกระอักเลือดออกมาโดยที่ไม่ใช้คำหยาบคายใด ๆ มิอาจคาดเดาได้เลยว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นใครมาจากที่ใด
“ฮึก ฮือ~ ข้ากลัวจังเลยว่าจะทำให้คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินไม่พอใจ”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกอดแขนฉินอวี้โม่ไว้แน่นและแสร้งกล่าวเสียงสะอื้น ทว่าสีหน้าของนางกลับไม่แสดงความหวาดหวั่นใด ๆ
“จะว่าไปแล้ว…ท่านพี่ทั้งหลาย พวกท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินบ้างหรือไม่ ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยิน ?”
คำถามของเถาเซี่ยวเซี่ยวทำให้ทุกคนหัวเราะเสียงดังออกมา
“ไม่รู้เลยว่าคนเหล่านี้มาจากที่ใด ทว่าพวกนางช่างเป็นกลุ่มคนที่น่าสนใจยิ่งนัก !”
ใครคนหนึ่งถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวขึ้น เขาเองก็ไม่ชอบหน้าฉินอวี๋เป็นทุนเดิม เป็นธรรมดาที่เขาจะเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับฉินอวี้โม่และสหาย
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนเหล่านี้มาก่อน ทว่าด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ พวกนางคงจะมาจากขุมกำลังระดับหนึ่งเช่นกัน แม้ตระกูลฉินจะทรงพลังและมีอิทธิพลมาก บรรดาขุมกำลังระดับหนึ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้เกรงกลัวพวกเขา”
ทุกคนส่ายศีรษะอย่างรวดเร็วและกล่าวในสิ่งที่ตรงกัน พวกเขาไม่เคยพบหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาก่อนจึงไม่ทราบว่าพวกนางเป็นใครมาจากที่ใด สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงการคาดเดาเท่านั้น
“พวกเจ้าไม่รู้จักที่ตายเสียแล้ว ! ริอาจกล่าววาจาเหยียดหยามคุณหนูใหญ่ของพวกเราเช่นนี้ รนหาที่ตายสิ้นดี !”
เสียงหนึ่งดังขึ้นและบุรุษผู้หนึ่งจากด้านหลังของฉินอวี๋ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวออกมาแสดงตัว แม้ว่าตัวเขาเองก็ไม่พอใจในความไร้สมองของฉินอวี๋ เขาก็ยังต้องปกป้องภาพลักษณ์และเกียรติศักดิ์ศรีของตระกูลฉิน
“เอ๋ ? นี่เป็นการทะเลาะกันของคนรุ่นเยาว์ ทว่าคนเฒ่าคนแก่ต้องการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยรึ ? เหตุใดคนพวกนี้จึงคิดว่าจะรังแกพวกเราได้ง่าย ๆ ?”
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าและยืนขวางหน้าเถาเซี่ยวเซี่ยวไว้
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เพิ่งก้าวออกมาด้านหน้าคือผู้อาวุโสของตระกูลฉิน เขาเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างมากและไม่ด้อยไปกว่าเฉินคุนที่เดินทางมาพร้อมกับนาง สำหรับตอนนี้ ฉินอวี้โม่และสหายเอาชนะเขาไม่ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ที่นี่คือเมืองจูเฟิง ฉินอวี้โม่จึงไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะลงมือทำสิ่งใดที่เกินขอบเขต นางจึงไม่มีท่าทีหวาดกลัวใด ๆ
“เหอะ ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องของคนรุ่นเยาว์นักหรอก อย่างไรก็ตาม การที่พวกเจ้ากล่าววาจาดูหมิ่นตระกูลฉิน ข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเข้ามาพัวพัน วันนี้พวกเจ้าจะต้องขอโทษต่อคุณหนูใหญ่ มิฉะชั้น พวกเจ้าก็ต้องกลับไปที่ตระกูลฉินกับข้า !”
ผู้อาวุโสตระกูลฉินแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวอย่างวางท่า ราวกับตนเองเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง
“หึ ตลกชะมัด หากคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินไม่มาหาเรื่องเราก่อน เราก็เมินเฉยและไม่คิดที่จะสนใจนางอยู่แล้ว การที่นางเรียกพวกเราว่าบ้านนอก เราก็ไม่สนใจและปล่อยผ่านไปแล้ว ทว่านางยังสั่งให้คนเข้ามาขวางทางเราไว้อีก เหตุใดท่าน…ผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินไม่คิดจะออกมาห้ามคุณหนูใหญ่เมื่อครู่ ทว่าคิดจะออกมาตำหนิพวกเราในตอนนี้รึ ? เพราะเหตุใดกัน เพียงเพราะตระกูลฉินเป็นตระกูลใหญ่มีหน้ามีตาจึงคิดว่าจะรังแกทุกคนได้งั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเหน็บแนมและไม่ไว้หน้าผู้อาวุโสตระกูลฉินแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการขอโทษขอโพยอีกฝ่าย
“ใช่แล้ว ตระกูลฉินเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน คนเหล่านี้เพียงปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองเท่านั้น แล้วมันผิดอย่างไรเล่า ? อีกอย่าง…พวกนางพูดความจริง ทว่าตอนนี้ตระกูลฉินกลับต้องการให้พวกนางกล่าวขอโทษ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ ?”
ผู้คนรอบนอกอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นเช่นกัน และวาจาของเขาได้รับการส่งเสริมยอมรับจากอีกหลายคน
“ถูกต้อง ตระกูลฉินเป็นถึงหนึ่งในขุมกำลังระดับหนึ่ง ต่อให้มีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก ตระกูลฉินก็ควรจะยึดมั่นตามหลักการความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มีพยานเห็นเหตุการณ์มากมาย คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินเป็นฝ่ายต่อว่าพวกนางก่อนและพวกนางเพียงตอบโต้กลับเท่านั้น มันจะเป็นความผิดของพวกนางได้อย่างไร ?”
คนอื่น ๆ กล่าวเสริมและกล่าวตำหนิตระกูลฉินตาม ๆ กัน
สำหรับผู้คนทั่วดินแดน ชื่อเสียงของตระกูลฉินถือว่าไม่ดีนักและหลายขุมกำลังก็เกลียดชังพวกเขา แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดยอมพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมมือกันตอกย้ำและรุมประณามความผิดของตระกูลฉินเช่นนี้
คำกล่าวหาของทุกคนทำให้สีหน้าของฉินอิง—ผู้อาวุโสหกแห่งตระกูลฉินบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม เขาจ้องหน้าฉินอวี้โม่ตาเขม็งก่อนกวาดสายตามองอีกสามคนด้วยแววตามุ่งร้ายอย่างไม่ปิดบัง
“เหอะ ! ยังต้องให้ข้าสอนพวกเจ้าถึงข้อเท็จจริงที่ว่าผู้แข็งแกร่งคือผู้ที่ได้รับความเคารพสูงสุดอีกรึ ? วันนี้…เด็กเมื่อวานซืนเหล่านี้ทำตัวเสียมารยาทต่อข้าและพวกนางจะต้องชดใช้อย่างสาสม !”
เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชาและแผ่แรงกดดันออกไปรอบบริเวณซึ่งทำให้ทุกคนเข่าทรุดไปตาม ๆ กัน
ความแข็งแกร่งของฉินอิงก้าวข้ามขอบเขตเทวราชและบรรลุถึงขอบเขตมหาเทวะแล้ว ในบรรดาทุกคนในที่แห่งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่เพียงขอบเขตเทวราชขั้นสูงสุดเท่านั้นและไม่ถือเป็นคู่มือของฉินอิง
.