ตระกูลฉินมักจะวางตัวเผด็จการและไม่เคยสนใจความคิดเห็นของขุมกำลังอื่นมาเสมอ ในวันนี้ ฉินอวี้โม่และคนเหล่านี้ก็ไม่แสดงความเคารพต่อตระกูลฉินแม้แต่น้อย เป็นธรรมดาที่ฉินอิงจะเดือดดาลจนอยู่ไม่ติด
เดิมทีเขาเพียงต้องการให้ฉินอวี้โม่และสหายกล่าวขอโทษ ทว่าตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะสั่งสอนให้พวกนางได้รู้สำนึกและแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงจุดจบของผู้ที่ริอาจดูหมิ่นตระกูลฉินของพวกเขา !
“ท่านลุงหก ท่านจะต้องมอบบทเรียนที่แสนเจ็บปวดให้กับคนพวกนี้และอย่าปล่อยให้รอดตัวไปได้เด็ดขาด !”
ฉินอวี๋ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน แววตาของนางก็เต็มไปด้วยความริษยาอย่างเห็นได้ชัด
สาเหตุที่นางได้รับการยอมรับและได้รับการเอาอกเอาใจจากผู้นำตระกูลฉินและผู้อาวุโสของตระกูลหลายคนคือพรสวรรค์และรูปลักษณ์อันโดดเด่นของนาง ทว่าตอนนี้กลับมีสตรีที่มีทั้งรูปลักษณ์และพรสวรรค์ที่เหนือกว่านางปรากฏตัวขึ้นมา ฉินอวี๋จึงไม่สามารถทนยอมรับได้เลย
“ว่าอย่างไร ? พวกเจ้าตัดสินใจได้แล้วหรือยัง ? จะเชื่อฟังแต่โดยดีและขอโทษคุณหนูใหญ่ ต่อหน้าทุกคน หรือจะไปที่จวนตระกูลฉินกับข้าเพื่อสะสางเรื่องนี้ต่อ !”
ฉินอิงมองฉินอวี้โม่และทุกคนอย่างเย็นชาขณะใช้น้ำเสียงข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง แรงกดดันที่แผ่ออกไปก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เฮอะ ! คิดว่าที่นี่คือตระกูลฉินของพวกเจ้างั้นรึ ? ที่นี่คือเมืองจูเฟิง และตระกูลฉินไม่มีอำนาจข่มขู่ผู้ใด คิดจะให้พวกเราขอโทษรึ ? ฝันไปเถอะ !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวพยายามต้านทานแรงกดดันของฉินอิงอย่างสุดความสามารถและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างชัดเจน
“ใช่แล้ว ที่นี่มิใช่อาณาเขตของตระกูลฉินหรือที่ที่พวกเจ้าจะใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่นได้ตามต้องการ สหายน้อยเหล่านี้เพียงตอบโต้เพราะถูกระรานก่อนและไม่ได้ทำอะไรผิด หากคิดที่จะจับตัวสหายน้อยเหล่านี้ไปละก็ พวกเราไม่มีทางยอมแน่ !”
ผู้คนโดยรอบเดือดดาลไม่แพ้กัน หลายคนที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเทวราชขั้นสูงสุดและได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของฉินอิงเพียงเล็กน้อยต่างก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันเพื่อช่วยปกป้องกลุ่มของฉินอวี้โม่ก่อนประกาศกร้าวออกไป
“เหอะ ! ต่อให้ตระกูลฉินเป็นขุมกำลังระดับหนึ่ง พวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์วางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ หากคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก เราก็ควรนำเรื่องนี้ไปเสนอต่อตระกูลเฟิง ข้าก็อยากเห็นนักว่าตระกูลเฟิงจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ !”
คนอื่น ๆ กล่าวขึ้นเช่นกันและวางแผนที่จะทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตโดยนำเรื่องนี้ไปร้องเรียนต่อตระกูลเฟิง
“เหอะ หุบปากไปเสีย !”
ฉินอิงแค่นเสียงในลำคอและกวาดสายตามองทุกคนก่อนกล่าวขึ้น “พวกเจ้าคิดว่าตระกูลเฟิงจะยอมแตกหักกับพวกเราตระกูลฉินเพียงเพราะบุคคลไร้ค่าเหล่านี้หรือ ? อย่าลืมสิว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฟิงและตระกูลฉินของพวกเราเป็นอย่างไร !”
ฉินอิงไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฟิงและตระกูลฉินจะละเอียดอ่อนอย่างมาก ทว่าหากเป็นเรื่องนี้ เขาก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าตระกูลเฟิงจะเข้าข้างตระกูลฉินอย่างแน่นอน
ณ มุมหนึ่งด้านหลังฝูงชน เฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านก็บังเอิญได้ยินวาจาอาจหาญของฉินอิงพอดิบพอดี อย่างไรก็ตาม ขณะพวกเขากำลังจะก้าวออกไปข้างหน้า ใครคนหนึ่งก็ก้าวลงมาจากชั้นที่สองของภัตตาคารเอกพิภพเสียก่อน
เมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างชัดเจน เฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านก็หยุดฝีเท้าลง ดูเหมือนว่าไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้อีกแล้ว…
“ฮ่า ๆ ๆ นี่ตระกูลฉินลืมเลือนกฎของขุมกำลังเอกพิภพของข้าไปแล้วรึ ?”
เสียงหัวเราะอย่างเย็นชาดังขึ้นในหูของทุกคนและบุรุษหนุ่มที่ดูมีอายุเพียงยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีก้าวออกมาอย่างช้า ๆ
บุรุษหนุ่มผู้นี้สวมอาภรณ์สีม่วงและมีรูปลักษณ์ที่งดงามไร้ที่ติ ร่างของเขาก็แผ่กลิ่นอายที่สูงส่งอันยากที่จะหยั่งถึงออกมา อีกทั้งยังมีสง่าราศีของผู้ที่มีสถานะสูงศักดิ์จนสามารถดูแคลนจอมยุทธ์ทั่วทั้งดินแดน ซึ่งทำให้ให้ไม่มีผู้ใดกล้าสบตาเขาตรง ๆ
เขามองตรงไปที่ฉินอิงและคณะคนตระกูลฉินด้วยแววตาเย้ยหยัน และแม้จะยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ แรงกดดันที่แผ่ไปทั่วบริเวณก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิงและร่างกายของทุกคนก็กลับสู่สภาวะปกติ
“เจ้าเป็นใครกัน ? กล้าดีอย่างไรจึงมายุ่งเรื่องของตระกูลฉิน ?”
ทันทีที่บุรุษหนุ่มชุดม่วงปรากฏตัว แววตาของฉินอิงก็ฉายประกายความหวาดหวั่นเล็กน้อย พลังของบุรุษผู้นี้แปลกประหลาดจนเกินไปและเขาไม่สามารถมองทะลุได้เลย ในเวลานี้ก็ราวกับมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นครอบงำทั่วร่างฉินอิงและทำให้เขาเกิดความคิดที่จะถอยร่นหนีไปโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้อาวุโสหกแห่งตระกูลฉิน เขาถือเป็นหน้าเป็นตาของตระกูลฉินและไม่สามารถถอยหนีได้ตามต้องการ เพราะเหตุนั้น เขาจึงกล่าวลองเชิงออกไปอย่างไม่เกรงกลัวและหวังว่าการใช้ชื่อเสียงของตระกูลฉินเป็นข้ออ้างจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้
“โอ้ ข้าก็ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลฉินหรอก อย่างไรก็ตาม ข้าต้องจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของขุมกำลังเอกพิภพของข้า แม้ตระกูลฉินจะทรงพลังมาก ทว่าอย่าลืมกฎของพวกเราไปล่ะ เชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการฝ่าฝืนกฎของขุมกำลังเอกพิภพมาแล้ว !”
บุรุษหนุ่มชุดม่วงเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาอย่างช้า ๆ พลางแสยะยิ้มและกวาดสายตามองทุกคนก่อนหยุดลงที่ฉินอวี้โม่
“หากข้าคาดเดาไม่ผิด ท่านคงจะเป็นจ้าวนิกายคนใหม่ของนิกายพันปีศาจใช่หรือไม่ ?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในความคิดของฉินอวี้โม่และมันเป็นเสียงของบุรุษหนุ่มชุดม่วงที่ส่งข้อความผ่านกระแสจิตมาหานางนั่นเอง
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและนางก็ไม่รู้สึกถึงความเป็นปฏิปักษ์จากบุรุษหนุ่มผู้นี้ แม้จะคาดเดาตัวตนและจุดประสงค์ของเขาไม่ได้ ตอนนี้เขาก็ดูเหมือนจะเป็นมิตรมากกว่าศัตรู
“ท่านจอมยุทธ์ พวกนางเป็นคนละเมิดกฎของขุมกำลังเอกพิภพก่อน มิใช่พวกเราตระกูลฉิน ข้าเพียงอยากจะเตือนพวกนางด้วยความเมตตา ทว่าพวกนางกลับไม่เห็นค่าและยังต่อว่าด่าทอพวกเราอีก เราไม่อยากจะให้เกิดเรื่องขึ้นเลยจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีม่วง หัวใจของฉินอวี๋ก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ในดินแดนนี้มีบุรุษหนุ่มรูปลักษณ์หล่อเหลาอยู่เพียงน้อยนิดและในตระกูลฉินเองก็มีอยู่สองคน ทว่าหากเทียบกับบุรุษหนุ่มลึกลับและยากเกินคาดเดาตรงหน้า บุรุษเหล่านั้นก็ยังด้อยกว่าเขามาก
บุรุษผู้นี้มีความแข็งแกร่งที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง มีรูปลักษณ์ที่งดงามไร้ที่ติและยังมีกลิ่นอายของเสน่ห์ที่เย้ายวนน่าหลงใหล ทุกอย่างล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวตนของเขาไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน บุรุษที่เพียบพร้อมรอบด้านเช่นนี้คือผู้ที่นางต้องการแต่งงานด้วย บุรุษอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนด้อยกว่าเขาอย่างไม่ติดฝุ่น
ในเวลานี้ ฉินอวี๋ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ด้วยอากัปกิริยาที่นางมั่นใจว่าดูดีและงดงามที่สุดพร้อมโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับฉินอวี้โม่และสหาย
“ช่วยถอยออกไปไกล ๆ จะได้รึไม่ ? ข้าอยากจะอาเจียน”
บุรุษชุดม่วงขมวดคิ้วมุ่นและมองฉินอวี๋ด้วยแววตารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง สตรีผู้นี้กล้ากล่าวอวดอ้างว่าตนเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉิน ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดที่โดดเด่นคู่ควรกับตำแหน่งดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ อากัปกิริยาหรือสง่าราศี กล่าวได้ว่าทุกอย่างเกี่ยวกับนางล้วนธรรมดาและไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ
รอยยิ้มหวานหยดย้อยบนใบหน้าของฉินอวี๋ชะงักไปทันที วาจาของบุรุษตรงหน้าเหนือความคาดหมายจนนางมิอาจทำใจเชื่อได้เลย
“ท่านกำลังพูดกับข้าอยู่หรือ ?”
นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามยืนยันออกไปเนื่องจากคิดว่าหูของตนคงจะฝาดและได้ยินผิดไป
“จะใครอีกรึ ? เพราะเจ้าคือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินตัวปลอม เป็นเพียงแค่บุตรสาวของผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลฉิน แต่กลับอวดอ้างว่าตนเองเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน ช่างน่าขันสิ้นดี”
บุรุษหนุ่มเจาะลึกถึงสถานะของฉินอวี๋อย่างตรงไปตรงมาและไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย
“ข้า…”
วาจาของอีกฝ่ายทำให้ฉินอวี๋แทบร่ำไห้ออกมา ในตระกูลฉิน อย่างน้อยที่สุดนางก็ได้รับการยอมรับและได้รับการเชิดชู ทว่ากลับถูกบุรุษหนุ่มตรงหน้าแสดงความรังเกียจถึงเพียงนี้ !
“เจ้าเป็นใครกัน ?!”
ใบหน้าของผู้อาวุโสฉินอิงเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าบุรุษหนุ่มลึกลับผู้นี้จะไม่ไว้หน้าตระกูลฉินของพวกเขาเลยสักนิด
“เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้หรอก !”
บุรุษชุดม่วงเมินเฉยต่อวาจาของฉินอิงและปรบมือส่งสัญญาณเล็กน้อยก่อนผู้พิทักษ์ชุดดำสองคนปรากฏกายตรงหน้าทุกคน
“แสดงให้คนพวกนี้ได้เห็นว่าบทลงโทษของการฝ่าฝืนกฎของขุมกำลังเอกพิภพเป็นอย่างไร !”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ผู้พิทักษ์ทั้งสองก็เริ่มเคลื่อนไหว