การเคลื่อนไหวของผู้พิทักษ์ชุดดำทั้งสองรวดเร็วอย่างยิ่งโดยที่คนของตระกูลฉินไม่ทันได้ตอบสนองแม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงถูกโยนออกไปจากอาณาเขตของภัตตาคารเอกพิภพอย่างที่ไร้ทางต้าน
“ส่งข่าวออกไปให้ทุกคนได้รู้โดยทั่วกัน ต่อจากนี้ไป คนพวกนี้จะไม่มีสิทธิ์เหยียบย่ำเข้ามาในอาณาเขตที่อยู่ภายใต้อำนาจของขุมกำลังเอกพิภพอีก !”
บุรุษหนุ่มชุดม่วงถ่ายทอดคำสั่งออกไปอย่างชัดเจน แววตาเป็นประกายของฉินอวี๋เมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ขุมกำลังเอกพิภพก็เป็นขุมกำลังที่เคร่งครัดกับกฎระเบียบ หากปล่อยให้ผู้อื่นละเมิดหรือฝ่าฝืนกฎ พวกเขาจะรักษาอำนาจและบารมีไว้ได้อย่างไร ?
“การที่ทำเช่นนี้มันไม่ถูกต้อง ! เห็นกันอยู่ว่าคนพวกนี้เป็นฝ่ายละเมิดกฎก่อน เหตุใดจึงขับไล่เฉพาะพวกเราเช่นนี้ !”
คนของตระกูลฉินยังคงไม่ยอมแพ้ ในเวลานี้ ฉินอวี๋ก็จ้องมองฉินอวี้โม่และสหายอย่างโกรธแค้นพร้อมกับมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเก
“คนเหล่านี้ฝ่าฝืนกฎข้อใดหรือ ? บอกข้ามาสิ”
บุรุษหนุ่มเอ่ยถามอย่างเย็นชา กฎระเบียบที่สำคัญที่สุดของขุมกำลังเอกพิภพคือห้ามมิให้มีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นในอาณาเขตภายใต้การปกครองของพวกเขา สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาซึ่งอยู่ชั้นบนของภัตตาคารรับรู้และได้ยินทุกอย่าง ฉินอวี้โม่และสหายมิใช่ฝ่ายที่เข้าไปท้าทายหรือหาเรื่องฝ่ายตระกูลฉินก่อน
“คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินอาจจะหมายถึงการที่คนต่ำต้อยอย่างพวกเราต้องการจะนำอาหารพวกนี้เข้าไปข้างใน อย่างไรก็ตาม ข้าจำได้ว่าขุมกำลังเอกพิภพไม่มีกฎข้อห้ามเช่นนี้อยู่”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและรู้สึกถูกชะตากับบุรุษหนุ่มผู้ดูแลของขุมกำลังเอกพิภพเป็นอย่างมาก เขาเป็นบุรุษที่ให้ความสำคัญกับความถูกต้องเที่ยงธรรมและพร้อมที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างไม่ลังเล
อย่างไรก็ตาม ขุมกำลังเอกพิภพก็คือหนึ่งในขุมกำลังที่ลึกลับที่สุดของดินแดน แม้แต่ขุมกำลังระดับหนึ่งเช่นตระกูลฉินก็ยังไม่กล้าประกาศศึกกับพวกเขาอย่างเปิดเผย
นอกเหนือจากความลึกลับและความพิศวงของพวกเขา ผู้นำของขุมกำลังเอกพิภพก็แกร่งกล้าอย่างที่สุด เพียงแต่ยังไม่เคยมีผู้ใดในโลกแห่งเทพที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้นำคนนั้นมาก่อน
“เหอะ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชนชั้นสูงหรือชนชั้นต่ำหรอก มนุษย์ทุกคนย่อมเกิดมาเท่าเทียมกัน เจ้าอาจจะมองว่าสถานะของตนเองสูงส่ง ทว่าแท้จริงแล้วเจ้าก็เพียงเกิดมาในที่ที่ดีกว่าผู้อื่นเท่านั้น มันมิใช่สิ่งที่พิเศษเลยสักนิด อีกอย่าง…ข้าก็ชอบกินถังหูลู่มาก และขุมกำลังเอกพิภพของเราไม่เคยมีกฎไร้สาระที่ห้ามมิให้นำสิ่งเหล่านี้เข้าไปข้างใน เพราะฉะนั้น ข้าจะถามอีกครา สุดท้ายแล้วคนเหล่านี้ละเมิดกฎข้อใดอย่างนั้นหรือ ?”
บุรุษหนุ่มชุดม่วงเหลือบมองถังหูลู่ที่อยู่ในมือของว่านหลิวอวิ๋นและแววตาเป็นประกายขึ้นมาราวกับเขาสนใจขนมดังกล่าวอย่างแท้จริง
ฉินอวี๋ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นางต้องการกล่าวว่าเป็นเรื่องผิดที่ฉินอวี้โม่และสหายต้องการนำอาหารหรือขนมเหล่านี้เข้าไปข้างในภัตตาคาร ทว่าเมื่อไตร่ตรองดู ภัตตาคารเอกพิภพก็ไม่เคยมีกฎข้อห้ามดังกล่าวอย่างแท้จริง การที่ผู้คนต้องการนำสิ่งใดเข้าไปย่อมเป็นอิสระของพวกเขา
“คนบางคนเป็นเพียงบุตรสาวของผู้อาวุโสใหญ่ในตระกูล แต่กลับคิดว่าตนเองเป็นเทพธิดาที่มีอำนาจเหนือทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังวางมาดเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินตลอดเวลา ราวกับตระกูลฉินไม่มีทายาทสายตรงคนใดนอกจากตน ช่างหน้าไม่อายเลยจริง ๆ”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกลอกตาไปมาและแทบจะปรบมือให้กับบุรุษหนุ่มลึกลับที่ขับไล่คนตระกูลฉินออกไปจากภัตตาคารของขุมกำลังเอกพิภพ
“น้องสาวเอ๋ย ทุกคนย่อมอยากมีหน้ามีตาเป็นธรรมดา ช่างมันเถอะ อย่าไปเสียเวลาสนใจคนเช่นนั้นเลย ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว เราเข้าไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานกันเถอะ”
ว่านหลิวอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินนำหน้าเข้าไปสู่โต๊ะว่างภายในภัตตาคาร
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เมินเฉยต่อคนตระกูลฉินทั้งหมดและเดินเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับว่านหลิวอวิ๋นก่อนสั่งอาหารที่ขึ้นชื่อทั้งหมดของภัตตาคารเอกพิภพอย่างรวดเร็วและพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ ระหว่างรอ
ณ ด้านนอกประตูภัตตาคาร ฉินอวี๋และฉินอิงผู้มีใบหน้าบูดบึ้งจ้องมองไปยังกลุ่มของฉินอวี้โม่ที่เมินพวกตนไปอย่างสิ้นเชิง แม้ใจอยากจะบุกเข้าไปสังหารพวกนางในทันที อย่างไรก็ตาม ขุมกำลังเอกพิภพเป็นขุมกำลังที่น่าหวาดหวั่นสำหรับพวกเขาทุกคน ในเมื่อถูกขับไล่และอีกฝ่ายก็ประกาศกร้าวเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าขัดคำสั่งและบุกเข้าไป
“กลับกันก่อนเถอะ !”
ฉินอิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะชายตามองฉินอวี๋ด้วยซ้ำ
ฉินอวี๋ก็จ้องมองไปที่ฉินอวี้โม่และสหายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินตามผู้อาวุโสหกไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อไป สมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลฉินต่างก็รู้สึกอับอายขายหน้าและรีบเดินตามทั้งสองไปอย่างรวดเร็วโดยที่มีใบหน้าบูดบึ้งไม่ต่างกัน
“หึ ! ด้วยตำแหน่งและจุดยืนของตระกูลฉิน คนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยเราไปง่าย ๆ แน่”
ภายในห้องโถงของภัตตาคาร ฉินอวี้โม่กำลังนั่งพูดคุยและรับประทานอาหารกับทุกคน เมื่อนึกถึงท่าทางอวดดีของฉินอิงและฉินอวี๋ก่อนหน้านี้ ว่านหลิวอวิ๋นก็ถอนหายใจยาวออกมา
“ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก อย่าให้คนโอหังพวกนั้นทำลายบรรยากาศการรับประทานอาหารของเราเลย”
ฉินอวี้โม่โบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในใจของนางก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตระกูลฉินในโลกแห่งเทพอยู่เล็กน้อย ไม่เพียงเท่านั้น นางก็มีความสนใจเกี่ยวกับขุมกำลังเอกพิภพมากเช่นกัน นางจำได้ดีว่าในดินแดนอ้างว้างก็มีขุมกำลังที่มีชื่อว่าเอกพิภพ ทั้งสองแห่งนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันรึไม่ ?
ในขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารร่วมกัน บุรุษผู้สวมอาภรณ์สีม่วงก็เดินทอดน่องเข้ามา
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย ข้าขอนั่งร่วมด้วยจะได้หรือไม่ ?”
เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มและชี้ไปยังที่นั่งว่างถัดจากว่านหลิวชาง
“พี่ชาย เชิญนั่งและสั่งอาหารที่ท่านอยากทานได้ตามต้องการ มื้อนี้ข้าจะเลี้ยงท่านเอง”
เถาเซี่ยวเซี่ยวลุกขึ้นยืนและกล่าวอย่างกระตือรือร้น นางรู้สึกถูกชะตากับบุรุษชุดม่วงผู้นี้ยิ่งนัก เมื่อครู่นี้เขาช่วยพวกนางไว้ที่หน้าประตูและตอนนี้เขาก็ยังตามเข้ามาอย่างเป็นมิตร คาดว่าอาจมีเรื่องบางอย่างที่เขาต้องการจะพูดคุยกับพวกนางก็เป็นได้
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายเรียกข้าว่าจื่อเมี่ยวก็แล้วกัน ข้าคือตัวแทนของขุมกำลังเอกพิภพที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเครือข่ายของเราในเมืองจูเฟิง”
เขาเริ่มจากการแนะนำตัวเองและกล่าวต่อ “ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าทุกท่านมาจากที่ใด…นิกายหมื่นกระบี่และนิกายพันปีศาจ”
เขาบ่งชี้ถึงตัวตนของเถาเซี่ยวเซี่ยวและทุกคนในทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทราบเรื่องเหล่านี้มาก่อนแล้ว
ภัตตาคารของขุมกำลังเอกพิภพมิใช่เป็นเพียงสถานที่รับประทานอาหารเท่านั้น ทว่ายังเป็นสถานที่สืบหาข่าวสารที่มีเครือข่ายกว้างขวาง เรื่องราวส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในโลกแห่งเทพไม่สามารถเล็ดลอดผ่านหูผ่านตาของขุมกำลังเอกพิภพได้ แน่นอนว่าตัวตนของเถาเซี่ยวเซี่ยวและทุกคนย่อมเป็นสิ่งที่เขาสืบหาได้ไม่ยาก
“ส่วนท่านคือฉินอวี้โม่ ผู้เป็นจ้าวนิกายพันปีศาจคนใหม่และมาจากดินแดนอ้างว้างซึ่งเป็นดินแดนระดับต่ำ”
ในที่สุดสายตาของจื่อเมี่ยวก็เลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“คิดไว้ไม่มีผิด ขุมกำลังเอกพิภพของที่นี่มีความเกี่ยวข้องกับขุมกำลังเอกพิภพในดินแดนอ้างว้างจริง ๆ ด้วย…”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใดและนางคาดเดาได้ทันที หากไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ต่อให้ขุมกำลังเอกพิภพพยายามสืบเรื่องราวของนาง พวกเขาก็ไม่มีทางสืบหาข้อมูลได้อย่างละเอียดจนถึงขั้นทราบเรื่องที่นางมาจากดินแดนอ้างว้าง
ถึงอย่างไร ดินแดนอ้างว้างก็เป็นเพียงดินแดนขนาดเล็กซึ่งยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าของโลกแห่งเทพสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดายภายในกระบวนท่าเดียว พวกเขาไม่มีทางเห็นดินแดนเช่นนั้นอยู่ในสายตา
“ขุมกำลังเอกพิภพของเรามีสาขาอยู่ในแต่ละดินแดน ในบางดินแดนอาจจะใช้ชื่อว่าขุมกำลังเอกพิภพเหมือนกัน ทว่าในบางดินแดนก็อาจจะใช้ชื่ออื่น สาเหตุที่ข้าจดจำท่านได้เป็นเพราะเคยเห็นภาพวาดของท่านมาก่อน ถึงอย่างไร เพียงเห็นแวบเดียวก็ยากที่จะลืมเลือนใบหน้านี้ได้”
จื่อเมี่ยวอธิบายตามความจริง
รูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่งดงามจนมิอาจลืมเลือนอย่างแท้จริง…
“ขอบคุณสำหรับคำชม ทว่าตัวตนของท่านก็คงจะไม่ได้ธรรมดาเช่นกันและคงจะไม่ได้เป็นเพียงผู้รับผิดชอบดูแลของที่นี่”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มและกล่าวลองเชิงออกไป